เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 171 พลังสภาวะทั้งหมดของหลงเฉิน

กุ่ยซาแผดร้องออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด เงามายาสีดำทมิฬสายหนึ่งพุ่งทะยานสู่เบื้องหน้าของหลงเฉินด้วยความเร็วที่ยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด

 

 

 

 

 

 

 

 

“วายุทลายจันทรา”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อชิงลงมือก่อนเป็นคนแรก นางยังไม่แน่ใจว่าพลังฝีมือของหลงเฉินนั้นจะมากน้อยเพียงใด ฉะนั้นจึงรีบออกไปต้านทานเอาไว้ให้หลงเฉินก่อน

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไสหัวไป”

 

 

 

 

 

 

 

 

กุ่ยซาแผดเสียงคำรามขึ้นมาแล้วใช้มือข้างหนึ่งฟาดไปที่คมวายุของถังหว่านเอ๋อ ประกายแสงสว่างวาบขึ้นมาพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น ผู้คนทั้งหมดต่างเกิดอาการหวาดผวาไปตามๆ กัน เพราะพลังดั้งเดิมของถังหว่านเอ๋อนั้นเกิดจากการใช้ยันต์อักขระผนึกกับคมวายุ ทว่าคนผู้นั้นกลับใช้เพียงฝ่ามือเดียวสลายพลังนั้นลงไปได้อย่างง่ายดาย

 

 

 

 

 

 

 

 

ด้วยพลังอันมหาศาลของคนผู้นั้น ไม่เพียงแต่ปัดป้องและหยุดคมวายุเอาไว้ได้เท่านั้น ทว่ายังถึงกับสามารถใช้เป็นการสวนคืนต่อถังหว่านเอ๋อในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

“กำแพงเยือกแข็ง”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นก็ได้มีกำแพงน้ำแข็งปรากฏขึ้นมาขวางกั้นเอาไว้ระหว่างถังหว่านเอ๋อและกุ่ยซา

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

กรงเล็บอันคมกล้าของกุ่ยซาฟาดไปโดนกำแพงน้ำแข็งอย่างเต็มแรง จนทำให้กำแพงน้ำแข็งแตกสลายไปกลางอากาศ ถังหว่านเอ๋อจึงรีบใช้โอกาสถอยหลังออกไปไกลในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

นับตั้งแต่ที่กุ่ยซาหลุดออกจากการขุมขังนั้นยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งลมหายใจเสียด้วยซ้ำไป ทว่าเขากลับทลายพลังสภาวะของยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดไปแล้วถึงสองครั้ง

 

 

 

 

 

 

 

 

หนึ่งการโจมตีกับอีกหนึ่งการป้องกัน เมื่อปรากฏขึ้นมาต่อหน้าของกุ่ยซาแล้วกลับไร้ซึ่งประโยชน์อันใด ผู้คนที่มองดูการต่อสู้อยู่นั้นต่างก็ปากอ้าตาค้างขึ้นมาด้วยความตกตะลึง มารร้ายผู้นี้แข็งแกร่งมากถึงเพียงใดกัน? นี่เขาได้ถูกลดทอนพลังลงไปแล้วกว่าห้าส่วนจริงหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

ทางด้านขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวต่างก็ถอดหัวใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่มในทันที มารร้ายผู้นั้นช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว ไม่ยุติธรรมต่อพวกเขาเอาเสียเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่เพียงแต่กลุ่มคนที่ตื่นตกใจเท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสของหมู่ตึกเองก็ยังทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง “เกรงว่าจิตวิญญาณของคนผู้นั้นจะต้องเป็นสุดยอดฝีมือที่เลื่องลือในครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่แน่นอน อีกทั้งยังเป็นจิตวิญญาณที่ชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด ไม่เช่นนั้นคงจะไม่มีพลังที่แข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางเองก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาไม่น้อย พลังทำลายล้างของมารร้ายผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเดิมมากนักจนไม่แน่ใจเลยว่าพวกเขาทั้งสามคนจะต้านทานเอาไว้ได้หรือไม่

 

 

 

 

 

 

 

 

“พวกเจ้าเตรียมตัวกันเอาไว้ให้ดี เมื่อข้าให้สัญญาณก็ให้ใช้ค่ายกลขึ้นมาอีกครั้ง”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางนั้นไม่ต้องการสูญเสียยอดฝีมือทั้งสามคนไปด้วยเหตุการณ์เช่นนี้ได้ หากทั้งสามคนบาดเจ็บล้มตายไป เขาคงจะไม่อาจยกโทษให้ตัวเองได้

 

 

 

 

 

 

 

 

โดยปกติแล้วการที่มีผู้เข้าร่วมการทดสอบตายตกไป ทางหมู่ตึกย่อมไม่ได้ใส่ใจและสนใจอยู่แล้ว ทว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาดที่เป็นความหวังของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องเลวร้ายกับพวกเขาได้อย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่กุ่ยซาทะลายกำแพงน้ำแข็งไปได้แล้ว ก็ไม่ลังเลที่จะกวาดกรงเล็บอันคมกล้าไปที่เยี่ยจื่อชิว

 

 

 

 

 

 

 

 

“เอากรงเล็บสุนัขของเจ้าออกไป” เสียงอันเย็นชาดังขึ้นมาจากอีกทิศหนึ่ง เงาดาบขนาดใหญ่ฟาดฟันลงมาที่กุ่ยซาด้วยพลังสภาวะที่สั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั้งฟ้าดิน

 

 

 

 

 

 

 

 

บรรยากาศบนคมดาบยักษ์สั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง อากาศโดยรอบหมุนควงจนเกิดสายลมกรรโชกแรง กุ่ยซายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไปรับคมดาบที่ฟันลงมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

ผืนดินโล่งกว้างเกิดการสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง คลื่นลมลอยระบำสู่ห้วงบรรยากาศโดยรอบ หลงเฉินและกุ่ยซาต่างก็ลอยละล่องออกไปคนละทิศทางในเวลาเดียวกัน ก่อนจะร่วงหล่นลงสู่พื้นดินจนเกิดเป็นรอยแตกระแหงประดุจใยแมงมุมตีแผ่เป็นวงกว้าง ฉากการต่อสู้เบื้องหน้าทำลายพื้นดินโดยรอบไปนับร้อยเซียะ จนทำให้ผู้คนที่มองดูอยู่ต่างก๊อกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน

 

 

 

 

 

 

 

 

“แข็งแกร่ง……มาก”

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อได้เห็นการควบคุมดาบยักษ์เล่มนั้นของหลงเฉิน ผู้คนมากมายก็ร้องเสียงหลงขึ้นมาในทันที หลงเฉินในช่วงเวลานั้นช่างเสมือนกับเทพเซียนจากสรวงสวรรค์ลงมาจุติบนโลกหล้า ภายในจิตใจของพวกเขาจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกรงกลัวต่อหลงเฉินอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

เพราะน้อยคนนักที่จะเคยพบเห็นการลงมือของหลงเฉิน แม้จะเคยได้ยินมาบ้างว่าหลงเฉินนั้นมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทว่าก็ยังมีความคิดว่าเขาคงจะไม่อาจต่อกรกับเหล่าสัตว์ประหลาดทั้งห้าคนได้เป็นแน่

 

 

 

 

 

 

 

 

จนมาถึงช่วงที่กุ่ยซาสามารถสลายกระบวนท่าของสองสาวงามไปได้ด้วยฝ่ามือเดียวก็ยังไม่สะทะสะท้านแต่อย่างใด ทว่าเมื่อต้องกับคมดาบเดียวของหลงเฉินกลับลอยกระเด็นออกไปได้หลายก้าว เห็นได้ชัดแล้วว่าหลงเฉินผู้นี้มีพลังการต่อสู้มากเพียงใด ทว่าก็ยังเป็นการต่อสู้ที่ก้ำกึ่ง นั่นก็หมายความว่าพวกเขาทั้งสอบคนสามารถต่อสู้ได้สูสีกันไปเรื่อยๆ ได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้อาวุโสหลายคนเกิดอาการแตกตื่นขึ้นมาไม่น้อย “ช่างเป็นพลังฝีมือที่แกร่งกล้ายิ่งนัก ทั้งยังสามารถควบคุมอาวุธได้อย่างแม่นยำ ช่างเป็นสภาวะที่หนักแน่นอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน”

 

 

 

 

 

 

 

 

เพียงแค่มองดูปราดเดียว พวกเขาก็สามารถมองออกได้แล้วว่าดาบในมือของหลงเฉินนั้นถูกผนึกเอาไว้ด้วยพลังอันบริสุทธิ์จนเต็มเปี่ยม เมื่อออกกระบวนท่าโดยใช้ปลายดาบที่ฟันตัดลงไปในท่วงท่าที่สง่างามและสมบูรณ์แบบจึงทำให้ปะทุพลังทำลายออกมาได้อย่างเต็มที่

 

 

 

 

 

 

 

 

การใช้ดาบขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้น แม้แต่ผู้ที่ผ่านการจับดาบจนคุ้นเคยมานานนับหลายสิบปีก็ใช่ว่าจะสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวเอาไว้ได้อย่างหมดจดเฉกเช่นหลงเฉินได้กระทำอยู่ ฉะนั้นผู้อาวุโสเหล่านั้นจึงบังเกิดความชื่นชมขึ้นมาเต็มหัวใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าผีเฒ่า ตอนอยู่ในถ้ำแห่งนั้นเจ้าข่มขู่ข้าสารพัดมีความสุขมากนักหรือ? ฉะนั้นข้าขอเอาคืนบ้างก็แล้วกัน”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินแผดเสียงร้องออกมาประดุจฟ้าร้องยามอากาศปลอดโปร่ง สองมือกุมกระชับไปที่ด้ามดาบ พลันก็ได้ไหลเวียนพลังภายในจุดดารากักวายุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พลังปราณอันมหาศาลเวียนวนไปมาอยู่ภายในร่างกายของหลงเฉินอย่างบ้าคลั่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนโดยรอบต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าบรรยากาศบนร่างกายของหลงเฉินเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมาอย่างช้าๆ อีกทั้งยังส่งเสียงโหยหวนของคลื่นลมขึ้นมาต่อเนื่องประดุจเป็นห้วงมหาสมุทรที่เดือดพล่านอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้

 

 

 

 

 

 

 

 

“แข็งแกร่ง…….แข็งแกร่งยิ่งนัก”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวเองก็มีอาการไม่ต่างไปจากผู้คนเหล่านั้นมากนัก อีกทั้งพวกนางยังอยู่ใกล้ขุมพลังของหลงเฉินที่สุด ภายในจิตใจเกิดความหวาดหวั่นกับพลังสภาวะที่ท่วมท้นขึ้นมามากมายมหาศาลและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงได้เลย หลงเฉินในตอนนี้ช่างแตกต่างไปจากที่พวกนางรู้จักมักคุ้นโดยสิ้นเชิง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินไม่ทราบว่าเด็กน้อยที่อยู่เบื้องหน้าสายตาของเขาผู้นี้มีพลังฝีมือที่น่ากลัวเก็บซ่อนไว้อีกมากเพียงใด ฉะนั้นเขาจึงไม่อาจออมแรงต่อไปได้อีกแล้ว นี่เป็นครั้งแรกหลังจากทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตที่เขาปะทุพลังทั้งหมดที่มีออกมา

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับใหลไปช่วงเวลาหนึ่ง จุดดารากักวายุก็ได้ปะทุพลังอันมหาศาลออกมาประดุจคลื่นมหาสมุทรถาโถมในยามฝนฟ้าคะนอง ไหลทะลักเข้าสู่เส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกายของหลงเฉินอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

บรรยากาศโดยรอบตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความตาย พลังขุมใหญ่พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้าอันใกล้โพ้น อาภรณ์ปลิวว่อนไปตามสายลมกรรโชกแรง เส้นผมสีดำขลับลอยระบำไปมากลางอากาศ ฉากเบื้องหน้าในตอนนี้ทำให้ผู้คนมากมายคล้ายกับเห็นเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางสงครามกลางเมือง

 

 

 

 

 

 

 

 

“นั่น….อี้ซู่อย่างนั้นหรือ? เหยียดสวรรค์เย้ยโลกา ถล่มไปทั่วทั้งใต้หล้าที่เยื้องย่างไป ไร้ซึ่งผู้ต้านทาน…..อย่างนั้นหรือ?” ถู่ฟางกล่าวพึมพำกับตัวเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายใต้โลกหล้าแห่งนี้จะมีผู้ใดกันที่สามารถปะทุพลังสภาวะอันท่วมท้นเช่นนี้ออกได้บ้าง? แล้วจะมีมีผู้ใดที่หาญกล้ากวัดแกว่งพลังของตัวเองให้พุ่งสูงขึ้นได้อย่างตามใจนึกเช่นนี้ได้?

 

 

 

 

 

 

 

 

พลังลมปราณภายในร่างกายของหลงเฉินประดุจม้าศึกหมื่นสายวิ่งตะบึงข้ามแม่น้ำอันเชี่ยวกราด ภายในเส้นลมปราณบังเกิดพลังหมุนวนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างกายของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาล เขาชมชอบอารมณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ยิ่งนัก

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้า…..ซ่อนเร้นพลังเอาไว้อยู่อีกหรือ?” กุ่ยซาทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงเมื่อเห็นบรรยากาศบนร่างกายของหลงเฉินที่เพิ่มสูงขึ้นจนน่าหวาดหวั่น ช่างแตกต่างจากชายหนุ่มผู้ที่เคยอยู่ภายในถ้ำกับเขาโดยสิ้นเชิง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินชี้ปลายดาบยักษ์ออกไปในระดับเดียวกับหัวไหล่ แล้วแสยะยิ้มขึ้นมา ก่อนที่จะกล่าวต่อกุ่ยซาอย่างเย็นชาว่า “ไร้สาระสิ้นดี หากข้าไม่เก็บซ่อนพลังเอาไว้ มีหรือที่จะหลบหนีออกมาจากเงื้อมมือของเจ้าได้”

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อได้ยินคำตอบเย้ยหยันเช่นนั้น กุ่ยซาก็ได้ระเบิดเพลิงโทสะขึ้นมาจนร่างกายแห้งกรังสั่นเทาไปมาอย่างรุนแรง ในตอนนั้นเขาไม่อาจสัมผัสได้เลยว่าภายในร่างของหลงเฉินจะมีพลังแห่งอัสนีบาตแฝงเอาไว้ด้วยจึงได้พลาดท่าครั้งใหญ่ไป

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งหลงเฉินยังเสแสร้างแกล้งทำได้อย่างหมดจดจนเกินไป หากหลงเฉินปะทุพลังเฉกเช่นตอนนี้ขึ้นมาตั้งแต่ครั้งนั้น เขาก็คงจะระวังตัวและป้องกันทุกวิถีทาง ทว่าก็ไร้ประโยชน์ที่จะต้องมาพูดถึงเรื่องที่ไม่อาจย้อนกลับไปได้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ดวงตาคู่งามของถังหว่านเอ๋อจ้องมองไปยังแผ่นหลังของหลงเฉินด้วยความประหลาดใจปนยินดีขึ้นมา อีกทั้งยังรู้สึกว่าเจ้าตัวบัดซบผู้นี้ช่างน่าลุ่มหลงเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“สาวงามทั้งสอง ข้าจะต่อสู้กับผีเฒ่าผู้นี้ให้ที่สุด พวกเจ้าทั้งสองจงหาโอกาสที่เหมาะสมแล้วลงมือพร้อมกัน ผีเฒ่าผู้นี้ไร้ซึ่งจุดอ่อน หากต้องการสังหารเขา มีแต่จะต้องทำให้เขาใช้พลังแห่งจิตวิญญาณออกมาจนหมด พวกเจ้าระวังตัวเอาไว้ด้วย” หลงเฉินกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะยังไม่เคยต่อกรกับมารร้ายมาก่อน ทว่าเขาก็พอที่จะคาดเดาได้ว่าร่างศพนั้นมีชีวิตขึ้นมาได้ก็เพราะพลังแห่งจิตวิญญาณภายในร่างกายคอยหนุนนำเอาไว้ อีกทั้งร่างศพนั้นก็ยังแข็งแรงกว่ากายเนื้อทั่วไป ฉะนั้นมีเพียงแต่ต้องทำให้อีกฝ่ายใช้พลังแห่งจิตวิญญาณของตัวเองลงไปจดหมดจึงจะเอาชนะได้

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าก็ระวังตัวด้วย” ถังหว่านเอ๋อกล่าวต่อหลงเฉิน

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินพยักหน้ารับในทันที จากนั้นก็เบือนสายตาไปที่กุ่ยซา พลันก็ได้ก้าวเท้าข้างหนึ่งพุ่งทะยานสู่เบื้องหน้าพร้อมกับดาบยักษ์ในมือด้วยความเร็วที่มากที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตายซะ!”

 

 

 

 

 

 

 

 

รังสีอำมหิตจากคมดาบเริงระบำออกไปสู่เงาร่างสีดำทมิฬของกุ่ยซาในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

กุ่ยซาส่งเสียงดังชิขึ้นมาอย่างเย็นชา พร้อมทั้งออกกำปั้นหนึ่งที่มีร่องรอยแปลกประหลาดชนิดหนึ่งปรากฏขึ้นมากระแทกเข้าไปบนคมดาบของหลงเฉิน

 

 

 

 

 

 

 

 

“เพล้ง”

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวกำลังจะตามติดการเคลื่อนไหวของหลงเฉินไปอยู่นั้น จู่จู่เบื้องหน้าของพวกนางก็มีขุมพลังที่น่าหวาดกลัวขุมหนึ่งแผ่กระจายออกมากดดันจนพวกนางต้องถอยร่นออกไปตั้งหลักไกลหลายเซียะ

 

 

 

 

 

 

 

 

สองโฉมงามจับจ้องไปที่ฉากการต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้า เพียงการปะทะกันของพวกเขาก็สามารถกดดันพวกนางจนไม่อาจเข้าไปใกล้ได้ นี่เป็นพลังระดับใดกันแน่นะ?

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูมตูมตูม……”

 

 

 

 

 

 

 

 

ประกายแสงสว่างวาบของคมดาบสาดส่องไปทั่วทั้งผืนฟ้า พลังสภาวะอันมหาศาลปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ หมอกควันลอยคละคลุ้งขึ้นมาบดบังทัศนียภาพที่อยู่โดยรอบ พริบตาเดียวเหล่าผู้คนก็ไม่อาจพบเห็นเงาร่างของหลงเฉินและกุ่ยซาได้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

เหร่ยเชียนซังและชีซิ่งต่างก็ทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมาอย่างไม่เสื่อมคลาย ดวงตาของทั้งสองยอดฝีมือจ้องเขม็งไปที่ฉากการต่อสู้เบื้องหน้าอย่างไม่กระพริบตา

 

 

 

 

 

 

 

 

ในสายตาของพวกเขานั้นหลงเฉินเป็นเพียงตัวเลวร้ายที่น่ารังเกียจ อีกทั้งยังไม่เคยคิดเลยว่าหลงเฉินจะขึ้นมาทัดเทียมกับพวกข้าได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าขณะนี้หลงเฉินกลับมีพลังฝีมือมหาศาลที่แม้แต่พวกเขายังไม่อาจมีได้ แม้แต่พวกเขาก็ยังต้องเนื้อตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาได้ ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าหลงเฉินผู้นี้ได้ซ่อนเร้นพลังอันลึกล้ำมากมายเอาไว้มาโดยตลอด

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางเหม่อมองไปยังการต่อสู้ของหลงเฉินด้วยจิตใจที่ลิงโลดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาไปนั้นไม่ใช่พลังฝีมือที่แข็งแกร่ง หรือพลังลมปราณที่เดือดพล่านขึ้นมาของหลงเฉิน ทว่าเป็นความเชื่อมั่นที่ไร้ผู้เทียมทานนั่นต่างหาก

 

 

 

 

 

 

 

 

จุดมุ่งหมายของเหล่าอาจารย์ภายในสำนักแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ปรารถนาที่จะบ่มเพาะลูกศิษย์ให้มีความเชื่อมั่นและแน่วแน่อย่างไร้ซึ่งผู้ต้านในทุกผู้คน หากมีสิ่งนี้บังเกิดขึ้นมาแล้ว แน่นอนว่าคนผู้นั้นจะต้องปะทุพลังที่แท้จริงภายในตัวเองออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าการจะบ่มเพาะผู้คนให้เป็นเช่นนั้นได้ถือว่ายากเย็นอย่างถึงที่สุด ฉะนั้นทางหมู่ตึกจึงได้รับศิษย์ที่ล้วนแต่เป็นลูกหลานของตระกูลผู้มั่งคั่งเข้ามา เพราะเชื่อว่าคนเหล่านี้จะมีความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ทว่าจากที่ผ่านมานั้นกลับกลายเป็นการสร้างความเย่อหยิ่งทระนงตัวขึ้นมาในแบบผิดๆ แทน

 

 

 

 

 

 

 

 

การทระนงตนว่าตัวเองนั้นสูงส่งกว่าผู้ใดนั้น แม้ว่าจะดูโง่งม ทว่าก็ยังดีกว่าบ่มเพาะให้เกิดความอัปยศขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ด้วยเหตุนี้ภายในการทดสอบจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยอุปสรรคที่ยากลำบาก เพื่อฝึกฝนให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบบังเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาบ้างเท่านั้นเอง ละทิ้งความทระนงตนของตัวเองออกไป หลงเหลือเพียงจิตใจที่แน่วแน่และมั่นคงเอาไว้ ด้วยประสบการณ์ความเป็นตายที่ผ่านพ้นมาย่อมทำให้พวกเขาก้าวเดินเข้าสู่เส้นทางของยอดฝีมือได้อีกยาวไกล

 

 

 

 

 

 

 

 

นับตั้งแต่แรกเริ่มหลงเฉินมีพลังแห่งจิตที่แกร่งกล้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ด้วยพลังแห่งจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นและแน่วแน่อย่างประหลาดจึงไม่มีผู้ใดหรือเหตุการณ์ใดมาสั่นคลอนจิตใจของเขาได้ ในขณะนี้ยังหาญกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมารร้ายที่มีความเก่งกาจถึงเพียงนี้อีก ฉะนั้นเขาจึงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างไร้ผู้เทียมทานไปแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางจึงเข้าใจขึ้นมาได้ว่าเพราะเหตุใดหลงเฉินถึงได้หลบหนีออกมาจากเงื้อมมือของมารร้ายที่แข็งแกร่งกว่าเขาหลายสิบเท่าได้ ในโลกหล้าแห่งนี้ย่อมไม่มีความบังเอิญเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

เหล่าผู้คนที่จ้องมองการต่อสู้อย่างไม่ลดละต่างก็ปากอ้าตาค้างไปตามๆ กัน ใบหน้าทั้งหมดแสดงอาการหวาดหวั่นขึ้นมา ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งใดคือสิ่งที่เรียกว่าสัตว์ประหลาดที่แท้จริง หากเรียกขานว่าเหร่ยเชียนซังคือสัตว์ประหลาด เช่นนั้นหลงเฉินก็คงจะเป็นสุดยอดของสัตว์ประหลาดในหมู่สัตว์ประหลาดด้วยกันแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ดาบยักษ์พวยพุ่งฝ่าอากาศที่สั่นไหวออกไปยังเบื้อหน้า การต่อสู้อันดุเดือดเป็นไปอย่างต่อเนื่องกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ทว่าความรุนแรงของทุกการปะทะยังคงเดิมประดุจลมคลุ้มฝนคลั่งที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย ในทางกลับกันพลังสภาวะภายในนั้นกลับแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการโจมตีก็ยิ่งพิสดารมากขึ้นไปด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวเองก็ได้ปลดปล่อยคมวายุและพลังแห่งน้ำแข็งผสานกันออกไปเป็นระลอก ด้วยการสนับสนุนจากทั้งสองโฉมงามและการจู่โจมอันหนักหน่วงของหลงเฉินก็ได้ควบคุมการเคลื่อนไหวของกุ่ยซาเอาไว้ได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่การต่อสู้คล้ายกับกำลังจะสงบลงไปแล้ว ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาจากปากของกุ่ยซา

 

 

 

 

 

 

 

 

“บัดซบ พวกเจ้าจงตายไปเสียเถิด ห้วงความมืดผลาญวิญญาณ!”

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset