เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 178 จะช่วยรักษาให้เจ้าเอง

หลังจากที่เถาวัลย์ปรากฏขึ้นมาก็ได้ถูกยกสูงประดุจแส้ยาวที่ถูกควบคุมเอาไว้ ฟาดเข้าไปที่ใบหน้าของหลงเฉินอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินส่งเสียงดังชิขึ้นมาอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “เจ้านี่เพี้ยนหนักเสียยิ่งกว่าเดิมแล้ว ทว่าก็ช่างเถิด อีกสักครู่ข้าจะช่วยรักษาให้เจ้าเอง”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันทีที่กล่าวจบหลงเฉินก็หลับตาลง และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ได้มีเสียงดังปะทุขึ้นมาเป็นสาย

 

 

 

 

 

 

 

 

“โอสถเพลิง!”

 

 

 

 

 

 

 

 

ตูม!

 

 

 

 

 

 

 

 

เพลิงกาฬมหาศาลถูกปลดปล่อยออกไปกินอาณาบริเวณโดยรอบหลายเซียะ อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับแผดเผาไปทั่วทั้งผืนฟ้า

 

 

 

 

 

 

 

 

“อา”

 

 

 

 

 

 

 

 

เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวดังออกมาจากเงาร่างของลู่ฉวน ผู้คนมากมายที่ได้ยินต่างก็ขนลุกชันขึ้นมาด้วยความสยดสยอง

 

 

 

 

 

 

 

 

เหล่าผู้รักษาจากศาลาการแพทย์มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ภายในดวงตาทุกคู่สะท้อนประกายเพลิงกาฬที่กำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง ภายในจิตใจเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาจึงอดไม่ได้ที่จะเดินถอยหลังออกไปหลายก้าวอย่างไม่รู้ตัว

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในก้นบึ้งของจิตใต้สำนึกของพวกเขานั้นเพลิงกาฬเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวเกินกว่าจะต้านทานได้ อีกทั้งยังเป็นศัตรูโดยกำเนิดของพวกเขาทั้งหมด เสมือนดาวเพชฌฆาตที่สามารถเด็ดชีพของพวกเขาได้ในพริบตาเดียวเลยก็ว่าได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อยื่นมือออกไปแล้วปลดปล่อยคมวายุสายหนึ่งเข้าไปตัดเถาวัลย์ที่พันผูกอยู่รอบกายของหลงเฉินในทันที และเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของลู่ฉวนก็ค่อยๆ แผ่วเบาลงไป

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้ว่าเถาวัลย์เหล่านั้นจะถูกสร้างขึ้นมาจากพลังภายในร่างกาย ทว่ากลับแตกต่างจากคมวายุของถังหว่านเอ๋อเป็นอย่างมาก เนื่องจากเถาวัลย์และลู่ฉวนราวกับเป็นการผสานไปจนถึงจิตใจ ใช้จิตวิญญาณหลอมรวมขึ้นมาเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นเขาจึงสามารถควบคุมเถาวัลย์ให้เคลื่อนไหวประดุจมีชีวิตได้อย่างใจนึก

 

 

 

 

 

 

 

 

ฉะนั้นหากเถาวัลย์ถูกโจมตี แน่นอนว่าภายในร่างกายของเขาก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย นี่จึงเป็นข้อเสียเปรียบที่ใหญ่หลวงที่สุดของผู้ฝึกพลังธาตุไม้ แม้ว่าพลังการต่อสู้จากธาตุไม้จะเป็นการสนับสนุนที่ยอดเยี่ยม อันเป็นจุดแข็งของเขา อีกทั้งยังใช้พลังแห่งชีวิตอันบริสุทธิ์ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของผู้คนได้อย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้ว่าลู่ฉวนจะเป็นศิษย์พี่ผู้หนึ่ง ทว่าพลังการต่อสู้ของเขากลับไม่อาจเทียบชั้นได้กับเหล่ายอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นที่เป็นสายต่อสู้โดยตรง เช่นนั้นลู่ฉวนจึงได้ใจไปว่าแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งนัก ทว่าก็คงจะมากพอที่จะจัดการกับผักปลาที่เพิ่งเข้าสู่หมู่ตึกมาได้

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ทำให้เขาแทบจะไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนหน้านี้เขาสามารถใช้เถาวัลย์รัดไปที่เงาร่างของหลงเฉินจนแน่นประดุจขนมหม่าฮวา (麻花) อย่างไรอย่างนั้น ทว่าหลงเฉินกลับเบิกเพลิงกาฬขึ้นมาแผดเผาบรรยากาศโดยรอบ เขาจึงไม่อาจชักนำเถาวัลย์ของตัวเองกลับคืนมาได้

 

 

 

 

 

 

 

 

การโจมตีของพลังเพลิงกาฬนั้นแทบจะไม่ต่างอันใดไปจากการถูกเพลิงเผาผลาญพลังแห่งจิตวิญญาณ ความเจ็บปวดอย่างทุรนทุรายจึงบังเกิดขึ้นมาอย่างไม่อาจทนทานเอาไว้ได้

 

 

 

 

 

 

 

หากถังหว่านเอ๋อไม่ตัดมันออก ลู่ฉวนคงจะต้องเจ็บปวดไปจนถึงจิตวิญญาณอย่างแน่นอน ยิ่งปล่อยไว้นานก็ยิ่งทำให้จิตวิญญาณบาดเจ็บอย่างรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย และถังหว่านเอ๋อก็ไม่ต้องการให้หลงเฉินถูกลงโทษจากการทำผิดกฎของทางหมู่ตึก

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

เพลิงกาฬอันร้อนระอุค่อยๆ เลือนรางหายไปกลางอากาศ ร่างกายของหลงเฉินถูกคืนอิสรภาพอีกครั้ง เถาวัลย์ที่เคยผูกรัดเอาไว้ก็ได้ถูกเผาผลาญจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปจนหมดสิ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อหลุดรอดจากการจับกุมแล้ว หลงเฉินก็เอาแต่ปัดฝุ่นบนร่างกายอย่างวุ่นวาย แล้วกล่าวต่อฉีเยวี่ยที่กำลังทอสีหน้าแตกตื่นว่า “ขอขอบคุณแม่นางฉีเยวี่ยที่มารักษาพวกเรา ข้าขอรบกวนเวลาของท่านเสียหน่อยเถิด ดื่มน้ำชาด้วยกันก่อนไปจะได้หรือไม่?”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ออ วันนี้ข้าคงต้องขอปฏิเสธ พวกเราต้องรีบกลับไปพักฟื้นพลังก่อน หากมีโอกาสคงได้รบกวนพวกเจ้าอีก ขอตัวก่อน” ทันทีที่กล่าวจบ ฉี่เยวี่ยก็เดินนำผู้คนจากศาลาการแพทย์จากไปอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ลู่ฉวนทอสีหน้าขาวซีดราวกับกระดาษขาว ดวงตาคู่นั้นว่างเปล่าคล้ายกับสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปจนหมดสิ้น สิ่งนั้นเป็นผลมาจากการถูกทำลายจิตวิญญาณไปบางส่วนนั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าหนู ฝากเอาไว้ก่อนเถิด”

 

 

 

 

 

 

 

 

ลู่ฉวนขบเคี้ยวเขี้ยวฟันด้วยความเกรี้ยวกราด จากนั้นก็รีบย่างฝีเท้าติดตามผู้คนมากมายไป ทว่าท่าทีที่จากไปนั้นช่างต่างจากตอนที่มาเยือนราวฟ้ากับเหว โซซัดโซเซดั่งสุนัขที่ไร้เจ้าของ

 

 

 

 

 

 

 

 

“พี่ใหญ่ ท่านช่างน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง”

 

 

 

 

 

 

 

 

กัวเหรินรีบวิ่งออกมาจากฝูงชน แล้วยกหัวแม่โป้งให้แก่หลงเฉิน “ทว่าเหตุใดทุกที่ที่ท่านไปจะต้องเกิดปัญหาอยู่ได้ตลอดเลยนะ ไม่ว่าที่ใดก็มีแต่ผู้คนจ้องแต่จะหาเรื่องท่าน”

 

 

 

 

 

 

 

 

แล้วถังหว่านเอ๋อก็กล่าวเสริมขึ้นมาว่า “ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้น”

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนมากมายต่างก็พยักหน้ารับ อีกทั้งยังทอดวงตาโง่งมไปที่หลงเฉิน เนิ่นนานจนทำให้หลงเฉินรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“ในเมื่อจบเรื่องแล้ว พวกเจ้าก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถิด หากเป็นตามที่ท่านผู้อาวุโสบอกกล่าวเอาไว้แล้ว พวกเรายังมีเวลาพักผ่อนถึงสามวันเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากครบสามวันแล้ว พวกเราก็จะต้องไปรายงานตัวที่ลานกว้างของหมู่ตึก และหลังจากนั้นก็คงจะไม่มีการรวมตัวกันอีก หากเบื่อหน่ายก็ออกไปเดินเล่นแถวนี้กันก่อนก็ได้ ทว่าอย่าเดินหลงทางก็แล้วกัน”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ชิงยวูก็จ้องมองไปที่หลงเฉินแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยความห่วงใยว่า “หลงเฉิน หากว่าเจ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าชีวิตในวันข้างหน้าของเจ้าคงจะไม่ราบรื่นอย่างแน่นอน อดทนเสียบ้างก็ได้ อย่าได้ทำเสียเรื่องไปเสียทุกครั้งเลย”

 

 

 

 

 

 

 

 

ชิงยวูทราบดีว่าด้วยนิสัยของหลงเฉินนั้นไม่เกรงกลัวแม้แต่ฟ้าดิน และไม่ช้าก็เร็วจะต้องพบเจอกับเสี้ยนหนามอีกมากมายเข้ามาแน่นอน เพราะไม่ว่าอย่างไรภายในหมู่ตึกแห่งนี้ก็มียอดฝีมืออยู่อีกมาก

 

 

 

 

 

 

 

 

“ชิงยวูเจี่ยเจี่ย ข้าทราบดี ครั้งต่อไปข้าจะพยายามอดทนอดกลั้นเอาไว้ก็แล้วกัน” หลงเฉินยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบกลับออกไป ทว่าภายในใจกลับเอาแต่นึกคิดว่า: หากทนไม่ไหวก็อย่าได้โทษข้าก็แล้วกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินนั้นต้องการอยู่อย่างสงบสุขอยู่แล้ว อีกทั้งยังหมายที่จะฝึกยุทธ์เพียงลำพังและเงียบสงบ ทว่าตั้งแต่ที่เข้ามาเยือนที่แห่งนี้ก็มีผู้คนมากมายจ้องแต่จะหาเรื่องเขาอยู่เรื่อยไป อีกทั้งคนเหล่านั้นก็ไม่รู้จักที่ตาย รั้นแต่จะมาสร้างความยุ่งยากให้เขาอยู่โดยตลอด

 

 

 

 

 

 

 

 

แทบจะทุกครั้งที่เขาอดทนอดกลั้นเอาไว้ว่าช่างมันเถิด ทว่าการถูกก่อกวนอย่างต่อเนื่องก็ได้ทำให้ภายในหัวสมองของเขาเกิดความคิดว่าไม่อยากจะพลาดท่าต่อผู้คนเหล่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งนับตั้งแต่ที่เขาได้ฝึกเคล็ดกายานวดารา ความแน่วแน่ภายในจิตใจก็ยิ่งแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ มีความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่หวั่นกลัว ต่อให้เป็นความตายก็ไม่ยอมหันหลังกลับ

 

 

 

 

 

 

 

 

หากต้องตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับเมื่อสักครู่นี้ หลงเฉินก็สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีได้อีกหลายวิธี หรือไม่ก็เพียงแสดงพลังจากโอสถเพลิงออกมาเพื่อข่มขู่ลู่ฉวนให้ตกใจแล้วจากไปเองก็ย่อมได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด เขาถึงเลือกใช้วิธีหยามน้ำหน้าผู้คนได้ถึงเพียงนั้น อีกทั้งหลังจากที่จัดการไปแล้วภายในจิตใจของเขายังรู้สึกไม่พอใจอยู่

 

 

 

 

 

 

 

 

“หว่านเอ๋อ เจ้าก็อย่าเอาอย่างหลงเฉินเชียว ดูการแสดงออกของผู้อื่นเสียบ้าง หากกระทำผิดพลาดก็เพียงแค่ยอมรับออกมาด้วยความกล้าหาญ

 

 

 

 

 

 

 

 

แล้วดูเจ้าสิ หากข้ากล่าวกับเจ้ายังไม่ถึงสองประโยค เจ้าก็จะเริ่มถกเถียงขึ้นมาแล้ว แล้วเมื่อใดเจ้าจะเชื่อฟังและเป็นเด็กที่ดีเสียที” ชิงยวูถอนหายใจพร้อมกับทอสีหน้าเป็นกังวลมองไปที่ถังหว่านเอ๋อ

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อจึงจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าเสแสร้งแกล้งตายของหลงเฉิน ชิงยวูเจี่ยเจี่ยถูกตัวบัดซบผู้นี้หลอกให้ตายใจไปเสียแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากนี้ชิงยวูจากไป หลงเฉินก็ถูกถังหว่านเอ๋อดึงตัวให้ไปช่วยสำรวจพื้นที่โดยรอบของภูเขาลูกนี้ เนื่องจากตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาสำหรับการรายงานตัว หากผลีผลามออกไปจากสถานที่แห่งนี้แล้วเกรงว่าจะกลายเป็นการขัดต่อกฎของหมู่ตึกโดยไม่รู้ตัวอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่แต่เพียงถังหว่านเอ๋อและหลงเฉินเท่านั้น ขุมกำลังของนางต่างก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันออกไปทุกพื้นที่โดยรอบ ทุกสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยประกายเจิดจ้าเพราะความแปลกใหม่ของต้นไม้ใบหญ้าที่เติบโตอยู่ในสถานที่แห่งนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อและหลงเฉินเยื้องย่างมาจนถึงทางเดินขนาดเล็กสายหนึ่ง ดวงตาคู่งามจดจ้องไปยังดอกไม้ใบหญ้าที่แปลกตาแล้วถอนหายใจออกมาอย่างอดสู “นึกไม่ถึงเลยว่าในที่สุดก็ได้เข้ามาอยู่ในหมู่ตึกพลิกสวรรค์ได้แล้ว หลังจากที่ต้องผ่านเรื่องราวอันเลวร้ายมาหลายวัน เห้อ สถานที่แห่งนี้ช่างสมกับเป็นดินแดนแห่งเซียนอย่างแท้จริง”

 

 

 

 

 

 

 

 

“เหอะเหอะ คงไม่ใช่ที่ข้าช่วยระบายอารมณ์ให้เจ้าหรอกหรือ หากว่าเขาไม่ถูกหักไป เจ้าก็คงจะไม่ได้ลิ้มรสชาติอันหอมหวานเช่นนี้” หลงเฉินแสยะยิ้ม

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อหัวเราะร่าออกมาประดุจดอกไม้เบ่งบาน แล้วกล่าวขึ้นมาว่า “หลงเฉิน ข้าไม่รู้สึกว่าเจ้าเป็นผู้ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้าเลย ดูคำพูดคำของเจ้าสิ ช่างคล้ายกับคนที่ผ่านร้อนหนาวมามากเสียเหลือเกิน”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วตอบกลับไปว่า “คงจะได้มาจากผีเฒ่าที่อยู่ในถ้ำกระมัง”

 

 

 

 

 

 

 

 

นิสัยของหลงเฉินมักจะแปรเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ผ่านพ้นมา ฉะนั้นเขาจึงไม่มีสหายที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่สามารถสนทนาด้วยวาทศิลป์เฉกเช่นเดียวกับเขาได้ จึงมีบางครั้งที่ภายในจิตใจของหลงเฉินรู้สึกเหว่หว้าเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ฉะนั้นทุกครั้งที่หลงเฉินอยู่กับถังหว่านเอ๋อและพวกพ้อง เขามักจะหยอกเย้าพวกนางมากกว่า น้อยนักที่จะแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา เนื่องจากรู้อยู่แล้วว่าพวกนางนั้นต่างก็เป็นคนฉลาดเฉลียวอยู่ไม่น้อยจึงไม่ต้องกล่าวถึงเหตุผลให้มากความ

 

 

 

 

 

 

 

 

“กล่าวออกมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าเองก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ มารร้ายที่แข็งแกร่งผู้นั้นได้บอกว่าเจ้าได้หลอกลวงเขา เจ้าไปหลอกเขาจริงหรือ? แล้วเพราะเหตุใดเขาถึงจงเกลียดจงชังเจ้าได้ถึงเพียงนั้น?” ถังหว่านเอ๋อเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยไม่เสื่อมคลาย

 

 

 

 

 

 

 

 

การทำให้จิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของยอดฝีมือที่เป็นถึงมารร้ายผู้หนึ่งเกิดโทสะขึ้นมาอย่างรุนแรงถึงเพียงนั้นได้ แน่นอนว่าหลงเฉินผู้นี้คงจะเ**้ยมหาญยิ่งนักราวกับทำให้คนตายฟื้นกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“อาจเป็นเพราะข้าทำให้เขาสำนึกขึ้นมาก็เป็นได้” หลงเฉินทอสีหน้าซ้ำซ้อนพร้อมกับกล่าวขึ้นมาราวกับย้อนเข้าไปสู่ห้วงแห่งความทรงจำ

 

 

 

 

 

 

 

 

“เพ่ย อย่าได้กล่าวเหลวไหลอีกนะ” ถังหว่านเอ๋อทอสีหน้ารังเกียจไปที่หลงเฉิน

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าคิดอันใดอยู่กัน? ที่ข้าจะบอกก็คือเขาเห็นว่าข้ามีพรสวรรค์อย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ถึงขั้นหายากเลยก็ว่าได้ เช่นนั้นเขาจึงคิดจะสิงร่างของข้า” หลงเฉินส่งสายตาดูแคลนจ้องกลับไปที่ถังหว่านเอ๋อ

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อทอสีหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา ทว่าไม่นานนักก็กลับคืนสู่ความปกติในทันที จากนั้นก็กล่าววาจาจริงจังขึ้นมาว่า “ในเมื่อเจ้ากล่าวออกมาเช่นนี้ ข้าก็คงต้องเชื่อ”

 

 

 

 

 

 

 

 

“หมายความว่าอย่างไร?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไป

 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้ารู้สึกว่าทุกเรื่องที่เจ้ากระทำลงไปต่างก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย และหากผีเฒ่าผู้นั้นอยากจะรับเจ้าไปเป็นศิษย์ก็ย่อมเลือกได้ถูกคนแล้ว” ถังหว่านเอ๋อปรายสายตามองไปที่หลงเฉินแล้วตอบกลับไป

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจ้องเขม็งไปที่ดวงตาคู่งามของถังหว่านเอ๋อที่กำลังทอประกายสนุกร่าขึ้นมาอย่างท่วมท้น เขาจึงรู้ได้ทันทีว่านางกำลังหยอกล้อเขาอยู่นั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจึงคิดจะตอบกลับไป ทว่าเขากลับไม่อาจสรรหาคำพูดที่เหมาะสมได้ แท้ที่จริงแล้วเขาเหมาะที่จะเป็นคนของพรรคมารอย่างนั้นหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นว่าหลงเฉินเหม่อลอยอย่างแน่นิ่ง แสดงสีหน้าคล้ายกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถังหว่านเอ๋อจึงส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นสาย ตั้งแต่ที่รู้จักหลงเฉินมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน เจ้าทราบหรือไม่ว่าในตอนที่ข้าได้เป็นสุดยอดรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งตระกูลถังแล้ว ท่านปู่ทั้งหลายที่อยู่ภายในตระกูลต่างก็รักและทะนุถนอมข้ายิ่งกว่าไข่ในหิน ไม่ว่าข้าจะดื้อรั้นหรือก่อเรื่องมากมายอย่างไร พวกเขาก็ไม่เคยด่าทอข้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว……”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไร้สาระ เจ้าในตอนนี้ก็ชมชอบก่อเรื่องราวอยู่บ่อยครั้งเช่นกันไม่ใช่หรือ” หลงเฉินส่ายหน้าแล้วกล่าวตัดบทขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าตัวเลวร้าย อย่าเพิ่งขัดข้า”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อมองค้อนไปที่หลงเฉินแล้วกล่าวต่ออีกว่า “ทว่าหลังจากที่ข้าเติบใหญ่ขึ้นมาแล้ว ข้าจึงเริ่มเข้าใจได้ว่าที่พวกเขารักข้า ทุ่มเททุกสิ่งอย่าง เพื่อที่ว่าสักวันหนึ่งจะได้เห็นพลังของต้นตระกูลตื่นขึ้นมา หากเส้นโลหิตตื่นขึ้นแล้วก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดของตระกูลถัง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากนั้นมาข้าก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล ไม่ต้องให้ผู้ใดมากำชับ ข้าเพียงแต่เริ่มต้นการฝึกฝีมืออย่างลำบากด้วยตัวเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันทีที่ข้าได้เข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตแล้ว ทางตระกูลก็จงใจส่ง ‘มือสังหาร’ มาหลายครั้งเพื่อบีบให้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์เป็นตาย หากเป็นช่วงเวลาเช่นนี้ก็จะเป็นการปลุกปั่นพลังของต้นตระกูลให้ตื่นขึ้นมาได้นั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าน่าเสียดายที่ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ไม่สำเร็จ แม้แต่เหตุการณ์ที่เป็นความเป็นตายครั้งแรกก็ไม่สามารถทำให้พลังของตันตระกูลตื่นขึ้นมาได้ และหลังจากนั้นโอกาสที่จะสำเร็จก็ยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่กล่าวอันใดออกมา ทว่าข้าเองก็ทราบดีอยู่แก่ใจว่าพวกเขาคงจะผิดหวังอย่างยิ่ง ข้า ……”

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ถังหว่านเอ๋อก็โอบกอดหลงเฉินพร้อมกับปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมายกใหญ่ หลงเฉินที่ยืนอยู่นั้นก็ได้ตะลึงลานขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ร่างกายของเขาเกร็งแข็งขึ้นมา ไม่อาจขยับหนีออกไปทางใดได้ รับรู้ได้แค่เพียงกลิ่นกายอันหอมหวานของถังหว่านเอ๋อที่พัดเข้ามาเตะจมูก

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อร้องไห้ออกมายกใหญ่อยู่พักใหญ่ ทันใดนั้นร่างอรชรอ้อนแอ้นก็เริ่มมีปฏิกิริยากลับคืนมา มืออันขาวผ่องผลักไปที่ร่างของหลงเฉิน แล้วเบือนหน้าหนีออกไปเพื่อปาดเช็ดน้ำตา ถังหว่านเอ๋อในตอนนี้คล้ายกับเป็นทารกน้อยผู้หนึ่งเลยก็ว่าได้

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset