เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 189 เพลิงกาฬสีฟ้าครามของกิ้งก่าเพลิง

ไอร้อนระอุประดุจลาวาสายหนึ่งหลั่งไหลเข้าสู่ฝ่ามือทั้งสองข้างของหลงเฉินเข้าสู่ใจกลางของเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกายอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในเส้นลมปราณเกิดเสียงระเบิดตูมตามดังขึ้นมายกใหญ่ ความร้อนอัดแน่นอยู่ทุกอณูประดุจภูเขาไฟระเบิดที่กำลังถาโถมเข้าสู่เส้นลมปราณจนทำให้เกิดความเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกาย

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินพยายามควบคุมการไหลเวียนที่เป็นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังสภาวะอันแข็งแกร่ง ทว่าด้วยการไหลเวียนที่บ้าคลั่งเช่นนี้ย่อมทำให้เส้นลมปราณของเขาแตกระเบิดออกได้อย่างง่ายดาย

 

 

 

 

 

 

 

 

จากนั้นที่จุดดารากักวายุก็ได้ไหลเวียนพลังขึ้นมาโดยฉับพลัน เข้าปกคลุมตลอดทั่วทั้งร่างกายภายในจนเกิดเป็นกระแสพลังมากมายที่เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างไร้ขีดจำกัด

 

 

 

 

 

 

 

 

เขาจำเป็นที่จะต้องทำให้เส้นลมปราณของตัวเองยอมรับระดับความร้อนระอุที่เพิ่มสูงขึ้นของโอสถภายในของกิ้งก่าเพลิง และหากสามารถชักนำพลังของโอสถภายในขึ้นมาได้ พลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวก็จะท่วมท้นขึ้นมาจนถึงขึ้นสังหารสัตว์มายาระดับสามให้วอดวายไปได้ภายในพริบตาเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

การไหลเวียนยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ หลงเฉินเองก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่เสื่อมคลาย ความร้อนที่สามารถแผดเผาได้ทุกสิ่งอย่างกำลังผลาญเส้นลมปราณของเขาไม่หยุด

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าหลงเฉินได้มีการเตรียมความพร้อมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วด้วยการใช้โอสถหลอมรวมเพลิงที่คอยห่อหุ้มเส้นลมปราณเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง ฉะนั้นเขาจึงป้องกันการไหลทะลักของพลังมหาศาลของโอสถภายในเอาไว้ได้ส่วนหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะเดียวกันหลงเฉินก็เกิดอาการลิงโลดอยู่ภายในจิตใจไม่น้อยเลย หากเขาไม่ทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตระดับเจ็ดจนมีเส้นลมปราณที่แข็งแกร่งขึ้น ในตอนนี้ก็คงจะไม่อาจต้านทานพลังอันแรงกล้าเช่นนี้เอาไว้ได้ถึงแม้ว่าจะมีโอสถหลอมรวมเพลิงคอยหนุนเสริมก็ตาม

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินทำการดูดซับพลังอันมหาศาลของโอสถภายในเข้าไปอย่างช้าๆ เนื่องจากพลังอันมหาศาลของโอสถภายในนั้นไร้ซึ่งขีดจำกัด เขาจึงไม่กล้าเร่งความเร็วในการดูดซับมากจนเกินไป จนในที่สุดก็ได้ใช้เวลาไปกว่าสามชั่วยามจึงจะสามารถดูดกลืนพลังอันมหาศาลทั้งหมดของโอสถภายในเอาไว้ได้อย่างหมดจด

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ดูดกลืนสัตว์เพลิงของกิ้งก่าเพลิงมาได้ทั้งหมดแล้ว พลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวก็ได้ทำให้สัตว์เพลิงที่มีอยู่ตั้งแต่แรกเกิดช่องว่างของเพลิงกาฬขั้นต้นขึ้นมา อีกทั้งเส้นลมปราณของหลงเฉินเองก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาลจากโอสถภายในของกิ้งก่าเพลิง

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในเส้นลมปราณของเขามีการไหลเวียนของเพลิงแห่งชีวิตของกิ้งก่าเพลิงเอาไว้อย่างหนาแน่น เขาจึงใช้พลังแห่งจิตวิญญาณค่อยๆ ลบล้างจิตมารแห่งการทำลายล้างที่แฝงอยู่ออกไป

 

 

 

 

 

 

 

 

โชคยังดีที่เพลิงแห่งพลังชีวิตของกิ้งก่าเพลิงนั้นไม่ได้เป็นสำนึกคิดที่แท้จริง หลงเฉินจึงใช้วิธีการประดุจการนำน้ำอุ่นไปต้มกบเข้าชำระล้างจิตมารภายในนั้นออกไปได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งไม่ต้องกังวลถึงผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ได้สลายสำนึกดั้งเดิมของเพลิงแห่งชีวิตได้แล้ว หลงเฉินก็สูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง จะเป็นมังกรหรือว่างูดินนั้นก็คงจะต้องมาดูกันตรงนี้แล้วล่ะ

 

 

 

 

 

 

 

 

“ผนึกรวม!”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินร้องขึ้นมาเสียงดัง ภายในจุดดารากักวายุก็เริ่มปะทุพลังอันบ้าคลั่งออกมา หลังจากที่สลายผนึกในเส้นลมปราณออกไปแล้ว สัตว์เพลิงก็ได้หลั่งไหลออกมาอย่างบ้าคลั่งประดุจอาชาพยศอย่างไรอย่างนั้น มุ่งหน้าตรงสู่จุดตันเถียนในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่จุดตันเถียนเกิดเสียงปะทุอันแรงกล้าดังขึ้นมาไม่หยุด

 

 

 

 

 

 

 

 

“ซูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินกระอักโลหิตออกมาอย่างรุนแรง ใบหน้าที่เคยมีสีแดงระเรื่อก็ได้ซีดเผือดลงไป

 

 

 

 

 

 

 

 

“มารดาเถิด ล้มเหลวอย่างนั้นหรือ เหอะ ข้าไม่ได้โชคดีเสมอไปอยู่แล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินพยายามควบคุมสติอารมณ์ที่กำลังฉุนเฉียวเอาไว้ หลังจากที่ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ เหน็ดเหนื่อยจนแทบจะสิ้นลมหายใจลงไปทว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้

 

 

 

 

 

 

 

 

“ถึงแม้จะไม่สำเร็จ ทว่าข้าคล้ายกับมองเห็นเงาของอักขระบ้างแล้ว หากเป็นเช่นนี้ก็ยังพอจะมีวิธีอื่นอยู่บ้าง”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจึงพยายามทะลวงพลังอีกครั้ง การหลอมรวมพลังสัตว์เพลิงก็คือการจับอักขระแห่งชีวิตดั้งเดิมของกิ้งก่าเพลิง เพราะว่ากิ้งก่าเพลิงนั้นเป็นสัตว์มายาชนิดเพลิง อีกทั้งยังจัดอยู่ในลำดับที่เก้าสิบเจ็ดของสัตว์เพลิงทั้งหมด ฉะนั้นพลังของมันจึงเปรียบเสมือนสิ่งที่สืบทอดเชื้อสายระดับตำนานมาอย่างยาวนานเลยก็ว่าได้

 

 

 

 

 

 

 

 

สัตว์มายาเหล่านี้จึงมีการคงอยู่ของโอสถภายในและพลังอักขระ ทว่าอักขระเหล่านั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่มีไว้ให้มนุษย์เช่นหลงเฉินนำออกไปใช้ได้พร่ำเพรื่อ

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าหลงเฉินก็ยังพยายามจะนำออกมา เขาเองก็นึกวิธีการขึ้นมาได้อีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือปล่อยให้สัตว์เพลิงทะลวงเข้าสู่ร่างกายอย่างบ้าคลั่ง แล้วหลังจากนั้นค่อยใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเข้าจับพลังอันมหาศาลของอักขระเอาไว้

 

 

 

 

 

 

 

 

เนื่องจากว่าเขาสามารถควบคุมโอสถภายในของกิ้งก่าเพลิงได้แล้ว เรียกได้ว่าเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบก็ว่าได้ ขอเพียงสามารถทำให้พลังอันมหาศาลเหล่านั้นปะทุขึ้นมาก็จะสามารถทำให้อักขระปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

 

 

 

 

 

 

โอสถหลอมรวมเพลิงที่หลงเฉินกลืนลงไปเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาเส้นลมปราณเท่านั้น ทว่าผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของมันก็คือการทำให้พลังเพลิงกาฬผนึกรวมกันได้นั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นแล้วคงจะต้องสูญเสียจุดตันเถียนไปตั้งแต่แรกแล้วอย่างแน่นอน ทว่าหลงเฉินกลับไม่ได้ใส่ใจในความข้อนี้มากนัก เพราะไม่ว่าอย่างไรที่จุดตันเถียนของเขาก็เงียบสงัดอยู่เช่นนั้นตลอดเวลาอยู่แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“มาอีก”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

“……”

 

 

 

 

 

 

 

 

เสียงระเบิดจากการปะทุอย่างรุนแรงดังขึ้นมาติดต่อกันหลายครั้ง หลงเฉินเองก็กระอักโลหิตออกมาหลายคำเช่นนั้น เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของตัวเองคล้ายกับกำลังจะแตกสลายไป ทว่าเขาก็ยังคงทำจิตใจให้มุ่งมั่นคอยควบคุมร่างกายเอาไว้

 

 

 

 

 

 

 

 

พลังสภาวะภายในร่างกายเริ่มเห็นร่องรอยของอักขระได้ครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยังชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพียงแต่ว่าอักขระเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาในช่วงเวลาที่สั้นเกินไปจนเขาไม่อาจผนึกเอาไว้ได้ทัน

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

“อีกนิด……เห้อ ล้มเหลวอีกแล้วหรือ”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่เสียงระเบิดในครั้งนี้เงียบสงัดลงไป ที่ใจกลางของเพลิงกาฬก็มีอักขระสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา หลงเฉินจึงรีบใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเข้าไปจับอักขระเหล่านั้นเอาไว้ ทว่าน่าเสียดายที่พลังเพลิงกาฬของเขาได้สลายหายไปก่อนจึงทำให้อักขระเหล่านั้นเลือนหายไปด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่ไหวแล้ว ข้าต้องใช้ส่วนที่เหลือแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินทอสีหน้าสลดหดหู่ขึ้นมาในทันที ถึงแม้ว่าจะกระอักโลหิตออกมาหลายครั้ง ทว่าด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งของเขาจึงไม่ได้สร้างความหวาดกลัวขึ้นมาเลยแต่อย่างใด ด้วยการขับไล่ของเพลิงกาฬที่มหาศาลประดุจแม่น้ำนับร้อยสายมุ่งหน้าเข้าปะทะกันครั้งใหญ่จึงทำให้เขาสูญเสียพลังแห่งจิตวิญญาณไปมากพอสมควร

 

 

 

 

 

 

 

 

โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดการปะทะกันจนเห็นอักขระปรากฏขึ้นมา ในช่วงเวลานั้นเขาต้องเพิ่มพูนพลังแห่งจิตวิญญาณให้สูงขึ้นไปอีกนับสิบเท่าจึงจะจับอักขระเหล่านั้นได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะนี้ได้เกิดปะทะกันขึ้นมาติดต่อกันหลายสิบครั้งเข้าไปแล้ว และร่างกายของหลงเฉินก็เข้าสู่ขีดจำกัด จิตวิญญาณไม่อาจทนรับพลังสภาวะอันมหาศาลเอาไว้ได้อีกต่อไปจึงทำให้ทั่วทั้งร่างกายเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาจนแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นว่าย่ำแย่แล้ว หลงเฉินจึงกลืนโอสถปลุกจิตวิญญาณลงไปโดยฉับพลัน เพื่อให้โอสถช่วยฟื้นคืนพลังแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น หลังจากปล่อยให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นมากว่าหนึ่งชั่วยาม บัดนี้พลังแห่งจิตวิญญาณของเขาก็ฟื้นฟูกลับคืนมาได้ส่วนหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ในครั้งนี้จะต้องทำให้สำเร็จ”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะล้มเหลวมาโดยตลอด ทว่าในความผิดพลาดเหล่านั้นทำให้เขาได้รับประสบการณ์ที่ล้ำค่าอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังสามารถไหลเวียนพลังได้อย่างง่ายดายและคุ้นเคยมากยิ่งขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

พลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวพัวพันกันไปอย่างยุ่งเหยิง แล้วอักขระสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาภายในใจกลางของพลังเพลิงกาฬ

 

 

 

 

 

 

 

 

“เร็วหน่อย……เร็วหน่อย……เข้ามาเร็วหน่อยเถิด”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ซูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นศีรษะของหลงเฉินก็ได้เกิดการสั่นไหวไปมาเล็กน้อย การเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดสายหนึ่งพัดกรรโชกอยู่ในส่วนลึกของพลังแห่งจิตวิญญาณราวกับเป็นความทรงจำชนิดหนึ่งเพิ่มเข้ามา

 

 

 

 

 

 

 

 

“สำเร็จแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินลืมตาขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือออกไป พลันก็ได้เห็นเพลิงกาฬสีฟ้าครามสายหนึ่งลุกโชนขึ้นมาที่ใจกลางฝ่ามือ ถึงแม้ว่าจะมีความยาวเพียงแค่เซียะกว่า ทว่าความร้อนแรงนั้นกลับน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทำให้ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่รอบข้างแห้งเ**่ยวไปภายในพริบตาเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจึงค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้งพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง ภายในส่วนลึกของพลังแห่งจิตวิญญาณเริ่มเกิดการเคลื่อนไหวไปมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

เพลิงกาฬสีฟ้าครามที่ลุกโชนอยู่กลางฝ่ามือเริ่มขยับและเปลี่ยนรูปร่าง และทันใดนั้นเองภายในใจกลางของเพลิงกาฬสายนั้นก็มีอักขระสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน

 

 

 

 

 

 

 

 

ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่โดยรอบมอดไหม้เพิ่มมากขึ้น กินอาณาบริเวณไปไหลกว่าสิบจั่ง พื้นดินที่เคยเป็นสีเขียวกลับกลายเป็นเถ้าถ่านสีดำทมิฬ

 

 

 

 

 

 

 

 

“ฮาฮา สำเร็จแล้ว ข้า……”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินเพิ่งจะส่งเสียงหัวเราะออกไปได้เพียงไม่ถึงลมหายใจเดียว จู่จู่ก็รู้สึกว่าฟ้ากำลังหมุนแผ่นดินกำลังพลิกผัน ความแข็งแกร่งที่เคยมีกลับกลายเป็นความเหนื่อยล้าเข้ามาแทนที่อย่างหมดจด จากนั้นร่างกายก็ล้มลงไปและไม่รับรู้เหตุการณ์อันใดอีกเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปนานเท่าใดก็ไม่อาจทราบได้ เมื่อหลงเฉินลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกำลังนอนแผ่อยู่บนเตียงใหญ่ ร่างกายยังถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าห่มผืนหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าได้สติแล้วหรือ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าไปทำสิ่งใดมา ในตอนที่ข้าพบเจ้า ข้าเห็นว่าร่างกายของเจ้ากลายเป็นสีดำไปทั้งหมด อีกทั้งยังมีกลิ่นไหม้ลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ” ถังหว่านเอ๋อร้องเสียงหลงด้วยความตื่นตกใจ ที่มืออันขาวผ่องกำผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งเอาไว้จนแน่น

 

 

 

 

 

 

 

 

“หึหึ ข้าทำภารกิจอันยิ่งใหญ่มา” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

“จนเกือบจะเผาร่างของตัวเองไปแล้วอย่างนั้นหรือ อย่าบอกข้านะว่าเจ้ากำลังเสาะหาวิธีการย่างเนื้ออยู่” ถังหว่านเอ๋ออมยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมา พลันก็ยื่นมือไปเบื้องหน้าหมายจะเช็ดหน้าให้หลงเฉิน

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินเกิดอาการแตกตื่นตกใจจนกระเด้งตัวขึ้นมาในทันที แล้วรีบรับผ้าชุบน้ำผืนนั้นมาถือเอาไว้เอง “ให้ข้าจัดการด้วยตัวเองจะดีกว่า เรื่องเช่นนี้ไม่ควรรบกวนท่านหัวหน้าพรรค เกรงว่าจะเป็นที่น่าอับอายจนเกินไป”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อทอสีหน้าแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับกล่าวขึ้นมาอย่างแผ่วเบาว่า “เจ้ายังมีเรื่องที่ต้องอับอายอยู่อีกหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ข้าหามเจ้ากลับมาในสภาพที่ไม่ต่างอันใดจากขอทานตัวน้อยๆ ข้าและชิงยวูเจี่ยเจี่ยก็ได้ช่วยชำระล้างร่างกายของเจ้าจนสะอาดสะอ้านทั้งหมดแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินแตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ จากนั้นก็ก้มลงไปมองยังเรือนร่างของตัวเอง แล้วก็พบว่าอาภรณ์ทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นตัวใหม่เรียบร้อยแล้ว พลันก็รีบมองลอดเข้าไปยังเนื้อหนังที่อยู่ใต้อาภรณ์อย่างร้อนรน ภายในจิตใจจึงเกิดความรู้สึกผ่อนคลายลงไปในทันที ยังดีที่เสื้อทับด้านในยังไม่ถูกถ่ายออกไปด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าตัวบัดซบ เจ้ามอแววตาเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน” ถังหว่านเอ๋อตะเบ็งเสียงแข็งด้วยโทสะขึ้นมา พร้อมกับคว้าแขนของหลงเฉินอย่างรุนแรง

 

 

 

 

 

 

 

 

“หว่านเอ๋อ เจ้ารังแกหลงเฉินอีกแล้วนะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นเองชิงยวูก็เดินเข้ามาประจวบกับขณะที่ถังหว่านเอ๋อกำลังแยกเขี้ยวยิงฟันใส่หลงเฉินอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวตำหนิขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

“ชิงยวูเจี่ยเจี่ย เหตุใดท่านถึงเอาแต่เข้าข้างเจ้าตัวบัดซบผู้นี้อยู่เสมอเลย เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าเขารังแกข้า” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาในเชิงแง่งอนคล้ายกับว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวขึ้ยมาว่า “ชิงยวูเจี่ยเจี่ย ท่านเข้าใจผิดไปแล้ว ข้ากับหว่านเอ๋อกำลังหยอกล้อกันเล่นก็เท่านั้นเอง”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อหันไปมองหลงเฉินอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าบึ้งตึงก็เปลี่ยนเป็นความอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาคู่งามจ้องมองไปที่ชายหนุ่มราวกับว่าเด็กน้อยผู้นี้ช่างเจรจายิ่งนัก

 

 

 

 

 

 

 

 

“ใช่แล้ว ตอนนี้เป็นเวลาเท่าใดแล้ว?”

 

 

 

 

 

 

 

 

“เวลาเท่าใดอะไรกันอีกเล่า เจ้าสลบไปถึงสองวันเต็ม ตอนนี้เป็นยามบ่ายของวันที่สามแล้ว” ถังหว่านเอ๋อกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้าหลับไปถึงสองวันเลยหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินตกใจขึ้นมายกใหญ่ พลันก็รีบกระโจนตัวลุกออกจากเตียง “หว่านเอ๋อและชิงยวูเจี่ยเจี่ย พวกเจ้าช่วยปิดประตูใหญ่ก่อน จากนั้นก็ใช้ค่ายกลศิลาปราณระดับสูงสุดป้องกันเอาไว้ด้วย”

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าคิดจะทำอันใด?” ถังหว่านเอ๋อเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล

 

 

 

 

 

 

 

 

“อย่าเพิ่งถาม รีบทำตามก่อนเถิด”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินย่างฝีเท้าเดินไปที่ห้องโถงใหญ่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นำสมุนไพรที่ซื้อมาออกมาจัดเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ พลันก็ล้วงเอาเตาหลอมโอสถออกมาวางไว้บนพื้น

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อและชิงยวูต่างก็ทำตามที่หลงเฉินออกคำสั่ง หลังจากที่ช่วยกันปิดประตูใหญ่แล้ว พวกนางก็เปิดค่ายกลศิลาปราณขึ้นมาถึงระดับสูงสุด เพื่อเสริมความแน่นหนาให้ปิดสนิทได้ดียิ่งขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

การใช้ค่ายกลศิลาปราณภายในถ้ำของพวกเขาจำเป็นจะต้องใช้ก้อนศิลาปราณทั้งหมดแปดชิ้น เมื่อเปิดใช้แล้วก็จะสามารถผนึกเอาไว้ได้เป็นเวลาทั้งหมดสามชั่วยามด้วยกัน หากเป็นไปตามนี้ ศิลาปราณเหล่านี้ก็จะสามารถใช้งานได้เพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น ฉะนั้นหลังจากนี้เป็นต้นไปพวกเขาคงจะต้องใช้อย่างประหยัดเสียแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน เจ้าจะหลอมโอสถหรือ?” ชิงยวูถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

 

 

 

 

 

 

 

 

“อือ” หลงเฉินตอบในขณะที่จัดแจงสมุนไพรออกเป็นชุดเพื่อให้สะดวกต่อการหลอม อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลว่าจะใส่สมุนไพรผิดลำดับไป

 

 

 

 

 

 

 

 

“แล้วพวกเราต้องออกไปหรือไม่?” ถังหว่านเอ๋อถาม ถึงแม้ว่านางจะไม่เข้าใจหลักการของการหลอมโอสถมากนัก ทว่านางก็แน่ใจว่าผู้หลอมโอสถคงจะต้องการสมาธิเฉกเช่นผู้ฝึกยุทธ์อย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่จำเป็น ข้ามีบางอย่างที่จะต้องให้พวกเจ้าช่วย” หลงเฉินยิ้มแล้วตอบกลับไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันทีที่กล่าวจบ หลงเฉินก็ยื่นมือใหญ่ออกไป ประกายเพลิงสีฟ้าครามสายหนึ่งลุกโชนขึ้นมาจนส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องแสดงฤทธิ์เดชแล้ว อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset