เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 193 ก่อนเริ่มต้นการต่อสู้

หลังจากที่เสียงระฆังดังไปทุกซอกทุกมุมของหมู่ตึก คนผู้หนึ่งก็ได้ลืมตาขึ้นมาช้าๆ เป็นเพราะหลงเฉินที่ทำให้เขาถูกผู้อาวุโสถู่ฟางลงโทษให้มาอยู่หลังเขาแห่งนี้ถึงครึ่งเดือนด้วยกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน ทักษะยุทธ์ที่อยู่ในตัวเจ้า ข้าจะต้องช่วงชิงมาให้จงได้”

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้อาวุโสซุนกล่าวพึมพำกับตัวเอง แววตาเหม่อมองไปยังที่ที่ไกลออกไปด้วยประกายละโมบโลภมาก วงแหวนแห่งเทพที่หลงเฉินปลดปล่อยออกมาในวันนั้นช่างตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาอย่างไม่เสื่อมคลาย

 

 

 

 

 

 

 

 

ยิ่งในช่วงเวลาที่หลงเฉินปะทุพลังแล้วใช้วิชาเบิกสวรรค์ออกมานั้นก็ยิ่งทำให้เขาเกิดอาการลิงโลดจนแทบจะบ้าคลั่งเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นเขาก็แอบตรวจสอบประวัติของหลงเฉินโดยละเอียดก็พบหลงเฉินผู้นี้ไม่มีข้อมูลของผู้ให้การสนับสนุนแต่อย่างใด ฉะนั้นเขาจึงตระเตรียมการช่วงชิงทักษะยุทธ์นั้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

และเมื่อหลายวันก่อนที่เข้าพบหลงเฉิน เขาก็คิดจะจัดการกับหลงเฉินจนยอมศิโรราบต่อตัวเอง จากนั้นก็จะทำการช่วงชิงทักษะยุทธ์ชุดนั้นมาครอบครอง ทว่าน่าเสียดายที่แผนการทั้งหมดกลับพังทลายลงด้วยน้ำมือของผู้อาวุโสถู่ฟางเพียงผู้เดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

นอกจากจะไม่ได้ช่วงชิงทักษะยุทธ์มาแล้ว ยังถูกลงโทษให้มาทำความสะอาดถ้ำหลังเขาแห่งนี้อีก จึงทำให้เขาแค้นเคืองต่อถู่ฟางเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเขาไม่กล้าที่จะต่อกรกับถู่ฟางจึงถ่ายโอนความเกลียดชังทั้งหมดไปที่หลงเฉิน “ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะรับมือได้สักกี่น้ำกัน?”

 

 

 

 

 

 

 

 

……

 

 

 

 

 

 

 

 

บัดนี้ที่ลานกว้างพลิกสวรรค์เนืองแน่นไปด้วยผู้คนจนละลานตาไปทั้งหมด หลงเฉินกวาดสายตามองไปที่ศีรษะของผู้คนที่พลุกพล่านไปมาจนลอบร่ำร้องขึ้นมาภายในจิตใจ ขุมกำลังของหมู่ตึกแห่งนี้ช่างมากมายและน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

บริเวณแห่งนี้มีขุมกำลังอัดแน่นกันอยู่ถึงสิบเจ็ดกลุ่ม ซึ่งเหล่าผู้นำทั้งหมดต่างก็เป็นศิษย์สายตรงทั้งหมดสิบเจ็ดคน เมื่อรวมกับผู้คนภายในขุมกำลังแล้วก็มีอยู่ทั้งสิ้นหนึ่งพันเจ็ดร้อยคน และพวกเขาต่างก็เป็นยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นด้วยกันทั้งสิ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินสังเกตเห็นว่ามีผู้คนอยู่ไม่น้อยเลยที่กำลังส่งสายตาแปลกประหลาดมองมาที่เขา อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความท้าทายและความไม่แยแสแฝงอยู่ นี่เป็นการเหยียดชนชั้นของผู้คนหรืออย่างไรกัน?

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อกวาดสายตาคู่งามมองไปยังผู้คนมากมายที่อยู่โดยรอบแล้วแสยะยิ้มอันเย็นชาขึ้นมา ภายในจิตใจรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเมื่อครู่นี้อย่างมาก ถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะเป็นยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นกันหมดแล้ว ทว่าบรรยากาศของพวกเขากลับไม่ค่อยสงบนิ่งนัก ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าพวกเขายังไม่สามารถรวมพลังสภาวะได้อย่างสมบูรณ์นั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

มีเพียงผู้คนภายในขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวเท่านั้นที่มีบรรยากาศคงที่ด้วยกันทั้งหมด สภาวะที่พึ่งพาได้เช่นนั้นเปรียบเสมือนความได้เปรียบของพวกนางเลยก็ว่าได้

 

 

 

 

 

 

 

 

เหล่าผู้คนภายในขุมกำลังของพวกนางสามารถใช้พลังของยอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้ถึงเก้าส่วนแล้ว ทว่าขุมกำลังอื่นกลับใช้ออกมาได้ไม่ถึงเจ็ดส่วนเสียด้วยซ้ำไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อจึงส่งสายตาทอเป็นประกายไปที่หลงเฉิน ภายในจิตใจเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ยากจะก้าวข้ามมากมายเพียงใด ขอเพียงมีเด็กน้อยผู้นี้อยู่ด้วยก็จะถูกคลี่คลายกลายเป็นความราบรื่นขึ้นมาได้ในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าภายในขุมกำลังของนางจะมีศิษย์สายในอยู่ไม่มาก ทว่าหากเป็นการต่อสู้ร่วมกันทั้งหมด ด้วยพลังสภาวะที่แข็งแกร่งของเหล่าผู้คนย่อมไม่แพ้ผู้ใดอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าคือถังหว่านเอ๋อใช่หรือไม่?”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นเองก็มีชายหนุ่มร่างกายกำยำเดินเข้ามาหาถังหว่านเอ๋อ จากนั้นก็กวาดสายตามองสำรวจเรือนร่างของนางด้วยแววตาเป็นประกายเจิดจ้า อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อรู้จักชายหนุ่มผู้นี้แล้ว เขาคือกู่หยางที่หลงเฉินเคยเผชิญหน้าด้วยเมื่อก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังทราบว่าคนผู้นี้มีความแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวมากเพียงใด ทว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเหร่ยเชียนซังและชีซิ่ง ฉะนั้นนางจึงไม่อาจเป็นสหายกับกู่หยางผู้นี้ได้อย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางไม่รีรอให้ถังหว่านเอ๋อตอบกลับมา พลันก็ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ช่างงดงามยิ่งนัก หากเจ้าร่วมมือกับข้า ข้าจะรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง”

 

 

 

 

 

 

 

“ขอบใจมาก แต่ไม่จำเป็น” ถังหว่านเอ๋อตอบกลับไปอย่างเฉยชา

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าถังหว่านเอ๋อจะต้องปฏิเสธอย่างแน่นอนจึงไม่ได้เกิดโทสะขึ้นมาแม้แต่น้อย เพียงแต่มองไปยังหลงเฉินที่ยืนอยู่ข้างกายของสาวงามว่า “ก็แค่คนที่มีดีเพียงหน้าตา นอกจากนั้นก็ไม่มีประโยชน์อื่นใดต่อเจ้าเลย หลังจากนี้เจ้าจะประจักษ์กับสายตาและเข้าใจเอง”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อทอสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย กู่หยางผู้นี้ช่างก้าวร้าวเกินไปแล้ว ถึงกับเหยียดหยามหลงเฉินต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ พลันก็คิดจะโพล่งวาจาด่าทอออกไป ทว่ากลับถูกหลงเฉินดึงรั้งเอาไว้ในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้าเคยได้ยินมาว่าคนที่ฉลาดเฉลียวมักจะไม่มีขนงอกเงยขึ้นมาบนศีรษะ ทว่าเจ้าเองก็ไม่มีเส้นผมสักเส้นเดียว แล้วเหตุใดถึงไม่ฉลาดอย่างที่เขากล่าวกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

คิดว่าการต้องกับกระจกหรือแสงอาทิตย์จนส่องสว่างเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาได้นั้นจะสามารถเพิ่มพูนพลังแห่งจิตวิญญาณของตัวเองขึ้นมาได้แล้วอย่างนั้นหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

เหอะ การทอแสงในยามกลางวันนั้นย่อมไม่ถือเป็นความสามารถอันสูงล้ำแต่อย่างใด หากคิดว่าตัวเองมีความสามารถที่แท้จริงก็ทอแสงในยามกลางคืนดูสิ”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่น พยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองให้ถึงที่สุด ดวงตาคู่งามไม่อาจละไปจากหนังศีรษะอันเกลี้ยงเกลาของกู่หยางได้เลย เป็นไปตามที่หลงเฉินกล่าวเอาไว้ไม่มีผิด ภายใต้แสงอาทิตย์ที่กำลังสาดส่องลงมา อื้อหือ ช่างแสบนัยน์ตาเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางมีร่างกายกำยำและสูงใหญ่จึงทำให้ผู้คนโดยรอบเห็นศีรษะของเขาได้อย่างชัดเจนประดุจอินทรีย์ในหมู่ไก่กาอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปทางใดก็เป็นจุดสนใจของผู้คนไปทั้งหมด

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่หลงเฉินกล่าวจบ ผู้คนบริเวณนั้นต่างก็ทอสีหน้าตะลึงอ้าปากตาค้างไปตามๆ กัน หลงเฉินผู้นี้ช่างมีปากคอเราะร้ายเป็นอย่างยิ่ง เห็นๆ กันอยู่แล้วว่ามีพลังในการฝึกยุทธ์ต่ำต้อยที่สุดในหมู่ศิษย์ทั้งหลาย ทว่าการกระทำและวาจาของเขานั้นราวกับอยู่เหนือกว่าผู้คนมากมาย นี่เขาไม่ทราบเลยหรือว่าสิ่งใดที่เรียกว่าความกลัว?

 

 

 

 

 

 

 

 

เหร่ยเชียนซังและชีซิ่งแสยะยิ้มเย็นชาขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาทราบถึงนิสัยใจคอของหลงเฉินเป็นอย่างดี และก็ทราบถึงอารมณ์อันรุนแรงของกู่หยางด้วยเช่นกัน ดูท่าแล้ววันนี้หลงเฉินคงจะต้องจบสิ้นเสียแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งสองคิดที่จะไล่ตามโฉมงามอย่างถังหว่านเอ๋อ นอกจากความงดงามประดุจนางเซียนของนางแล้ว ในด้านพลังฝีมือของนางก็เป็นจุดเด่นไม่แพ้กันเลย หากพวกเขาสามารถช่วงชิงดวงใจของสาวงามผู้เพียบพร้อมมาได้ ไม่เพียงแต่เป็นโชคลาภอันประเสริฐที่สุด ทว่ายังได้ผู้ช่วยที่แข็งแกร่งที่สุดมาอีกคนด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

น่าเสียดายที่นับตั้งแต่หลงเฉินปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขาก็รู้สึกได้ว่านับวันก็ยิ่งห่างไกลจากถังหว่านเอ๋อ จนในที่สุดได้กลายเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป ความคิดที่จะช่วงชิงดวงใจของนางมานั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นว่าหลงเฉินเอื้อนเอ่ยวาจาเย้ยหยันต่อกู่หยางอยู่ พวกเขาจึงรู้สึกยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นขึ้นมาในทันที แม้ว่าพวกเขาเพิ่งจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นไปได้ ทว่าด้านพลังการต่อสู้ย่อมอยู่เหนือกว่าหลงเฉินไปไกลมากแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในห้วงความคิดของพวกเขาคอยแต่จะปรากฏฉากการต่อสู้ของหลงเฉินและกุ่ยซาขึ้นมาไม่หยุด ในครั้งนั้นพวกเขารู้สึกว่าพลังฝีมือของตัวเองไม่อาจเทียบเคียงหลงเฉินได้เลย และถึงแม้ว่าในตอนนี้จะไม่รู้สึกเกรงกลัวมากถึงเพียงนั้น ทว่าต่อให้สามารถล้มหลงเฉินลงได้ ด้วยนิสัยของหลงเฉินแล้วคงจะต้องให้พวกเขาจ่ายค่าตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

และในขณะนี้พวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลงมือด้วยตัวเองก็สามารถเหยียบย้ำหลงเฉินให้จมดินลงไปได้ นี่จึงเป็นความรู้สึกที่น่าอภิรมย์อย่างถึงที่สุดเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าได้มาขวางทางข้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะบดขยี้เจ้าให้กลายเป็นเนื้อบด ดูเหมือนว่าความจำของเจ้าคงจะไม่ค่อยดีสักเท่าใดเลยนะ” กู่หยางกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา พร้อมกับยกกำปั้นขึ้นมาช้าๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

“จะลองดูก็ย่อมได้” หลงเฉินจ้องเขม็งไปที่กู่หยาง แล้วกล่าวออกไปอย่างเย็นเยียบ

 

 

 

 

 

 

 

 

หากว่าด้วยเรื่องพลังการต่อสู้ที่แท้จริง หลงเฉินคงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกู่หยาง ทว่าหากกล่าวถึงความหาญกล้าที่จะเผชิญหน้าต่อความเป็นตายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ไม่ทำให้หลงเฉินเกรงกลัว

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าด้วยกฎอันเข้มงวดของทางหมู่ตึกทำให้การต่อสู้ของเขาเป็นไปอย่างยากลำบาก หลงเฉินไม่ชมชอบวิธีการต่อสู้ที่ยั้งมือต่อกันประดุจถูกรายล้อมด้วยสวนดอกไม้อันงดงาม ทว่าเขาคุ้นเคยกับการต่อสู้ที่สามารถสังหารอีกฝ่ายหนึ่งได้ หากเป็นเช่นนี้เขาจะแสดงพลังทั้งหมดออกมาได้มากกว่านั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

และเหล่าลูกหลานของตระกูลผู้มั่งคั่งกลับเคยชินกับการต่อสู้เช่นนี้มากกว่า อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ปกติสำหรับพวกเขาอยู่แล้ว หลงเฉินจึงเสียเปรียบอยู่ไม่น้อยเลย ทว่าหากกู่หยางผู้นี้ลงมือจริง เขาเองก็ไม่ลังเลที่จะปะทุพลังที่มีอยู่ขึ้นมาทั้งหมด

 

 

 

 

 

 

 

 

“หยุดมือแล้วกลับไปที่ขุมกำลังของตัวเอง”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากบริเวณที่อยู่ไม่ไกลนัก คนผู้หนึ่งที่มีใบหน้าอันเย็นเยียบปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน ด้านหลังของเขามีกลุ่มศิษย์พี่นับสิบคนติดตามมาด้วย และหนึ่งในนั้นก็คือศิษย์พี่ว่านที่หลงเฉินคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ศิษย์พี่วานมองมาที่หลงเฉินแล้วพยักหน้าในเล็กน้อย หลงเฉินจึงคิดจะตอบกลับไป ทว่าจู่จู่สายตาของเขาก็สบเข้ากันแววตาแข็งทื่อของคนที่ยืนอยู่หน้าสุด

 

 

 

 

 

 

 

 

“ผู้อาวุโสซุน”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจึงครุ่นคิดบางอย่างขึ้นมาภายในห้วงสมองอันว้าวุ่น คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่ทำหน้าที่จัดอันดับของขุมกำลังจะเป็นผู้อาวุโสซุนผู้นี้ไปได้ ไม่ใช่เฒ่าชราตายยากผู้นี้ได้ถูกลงโทษให้ไปอยู่หลังเขาแล้วหรอกหรือ? แล้วนี้เขากลับมาได้อย่างไรกัน?

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินรู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอกันแล้วว่าเฒ่าชราผู้นี้ขัดนัยน์ตาของเขาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางของผู้คนมากมายถึงเพียงนี้กลับทำให้เขาไม่กล้างัดข้อกับหลงเฉินอย่างเปิดเผยแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้อาวุโสซุนกวาดสายตามองไปโดยรอบแล้วกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันดี เป็นวันที่ขุมกำลังของพวกเจ้าจะถูกจัดอันดับ การจัดอันดับเรียกได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และพวกเจ้าก็คงจะทราบดีอยู่แล้ว ข้าจึงไม่ขอพูดให้มากความก็แล้วกัน ด้านล่างนั้นคือจุดเริ่มต้นของแผนที่ในการแย่งชิง”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันทีที่ผู้อาวุโสซุนกล่าวจบ แผ่นป้ายที่อยู่ตรงขอบเอวของผู้คนมากมายก็เกิดความร้อนระอุขึ้นมา จากนั้นผู้คนทั้งหมดก็ถูกส่งเข้าไปอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

พื้นที่แห่งนั้นเป็นเนินสูงคล้ายกับหุบเขาที่ถูกทำลายลงไป พื้นที่โดยรอบมีขนาดหลายสิบลี้ ส่วนด้านบนสุดของหุบเขามีธงขนาดเล็กปักเอาไว้

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะนี้ผู้คนมากมายต่างก็ยืนรวมตัวอยู่บริเวณด้านล่างของหุบเขาด้วยกันทั้งหมด ส่วนผู้อาวุโสซุนและเหล่าศิษย์พี่นับสิบคนนั้นได้ยืนอยู่ในศาลาหลังหนึ่งบนยอดเขา และกำลังทอแววตาเย็นชาจ้องมองลงมา ข้างกายของพวกเขามีระฆังอันเก่าแก่ขนาดใหญ่แขวนอยู่

 

 

 

 

 

 

 

 

ศิษย์พี่ว่านก้าวเท้าขึ้นมาทางด้านหน้าหนึ่งก้าว แล้วกล่าวขึ้นมาเสียงดังกังวานว่า “จากนี้ไป ข้าจะบอกกล่าวถึงกฎระเบียบของการจัดอันดับในครั้งนี้ จงตั้งใจฟังเอาไว้ให้ดี และทันทีที่ระฆังดังขึ้น นั่นก็หมายถึงการจัดอันดับได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเช่นกัน ช่วงเวลาของการจัดอันดับจะให้เวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูปดับเท่านั้น”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ศิษย์พี่ว่านกล่าวจบ ก็ได้คนผู้ผู้หนึ่งถือธูปขนาดใหญ่เท่าหนึ่งฝ่ามือมาปักไว้บนเตา “เมื่อธูปไหม้จนหมด เสียงระฆังจะดังขึ้นอีกครั้ง นั่นหมายถึงจบการจัดอันดับ พวกเจ้าคงจะเห็นแล้วว่าที่ด้านบนสุดของหุบเขามีธงขนาดเล็กปักเอาไว้มากมาย ธงเหล่านั้นมีอยู่ทั้งหมดหนึ่งร้อยเจ็ดสิบชิ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

จงใช้กำลังทั้งหมดไปชิงธงเหล่านั้นมาให้ได้มากที่สุด แม้ว่าจะเป็นการขโมยก็ย่อมได้ ขอเพียงรวบรวมมาให้ได้มากที่สุดก็เพียงพอแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

และในแต่ละขุมกำลังจะมีธงประจำตัวอยู่ผืนหนึ่ง พวกเจ้าจะต้องเลือกคนที่รับผิดชอบในการแบกธงมาหนึ่งคน เมื่อการแย่งชิงจบสิ้น อันดับของพวกเจ้าก็คือจำนวนธงที่อยู่กับคนแบกธง ส่วนคนที่ไม่ใช่คนแบกธงจะไม่สามารถถือธงเอาไว้เกินสามช่วงลมหายใจ ไม่เช่นนั้นธงผืนนั้นจะถือว่าสูญเปล่า”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันทีที่ศิษย์พี่ว่านกล่าวจบ เบื้องหน้าของทุกขุมกำลังก็ได้มีสิ่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าขาของคนปรากฏขึ้นมา สิ่งของชิ้นนั้นเป็นกระบอกไม้กลวงที่ผูกเชือกเอาไว้ด้านบน ซึ่งเชือกเส้นนั้นสามารถใช้ผูกติดกับร่างกายได้

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน พวกเราจะให้ใครเป็นคนแบกธงดี?” ถังหว่านเอ๋อเอ่ยถามขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คนแบกธงนั้นไม่จำเป็นจะต้องมีพลังการต่อสู้ที่สูงล้ำมาก ทว่าจะต้องเป็นคนที่มีสายตาดี รู้จักปกป้องตัวเอว ไม่ปล่อยให้ศัตรูเข้ามาแย่งไปได้ และที่สำคัญคือจะต้องเป็นคนที่เชื่อใจได้ที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

“กัวเหริน ข้ามอบหน้าที่นี้ให้เจ้าก็แล้วกัน”

 

 

 

 

 

 

 

 

“พี่ใหญ่โปรดวางใจ ต่อให้ข้าต้องตายก็จะต้องปกป้องธงของพวกเราเอาไว้อย่างดีเสมือนกับปกป้องสตรีของตัวเอง” กัวเหรินกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางเคร่งขรึม พลันก็ลูบไล้ไปที่กระบอกใส่ธงเบาๆ ราวกับกำลังลูบไปที่ขาอ่อนของคนรักอย่างไรอย่างนั้น จนทำให้ผู้คนที่มองดูอยู่ต่างเกิดความสะอิดสะเอียนขึ้นมาเป็นสาย

 

 

 

 

 

 

 

 

“การแข่งขันในครั้งนี้ก็คล้ายกับการละเล่นชนิดหนึ่ง ทว่าข้าอยากจะเตือนพวกเจ้าเอาไว้อย่างหนึ่งว่าการแข่งขันในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตในภายภาคหน้าของพวกเจ้า จะถูกผู้คนเหยียบย้ำหรือว่าจะเป็นฝ่ายได้เหยียบย้ำผู้อื่นนั้นก็ดูกันที่รอบนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังการแข่งขันเสร็จสิ้นแล้ว ภายในกระบอกใส่ธงของพวกเจ้านั้นมีอยู่มากน้อยเท่าใดก็คืออันดับของพวกเจ้า และอันดับนั้นก็จะใช้เป็นตัวตัดสินว่าพวกเจ้าจะได้เลือกภารกิจได้ก่อนหรือหลัง

 

 

 

 

 

 

 

 

ข้าเชื่อว่าเหล่าศิษย์พี่หญิงที่อยู่ในจุดจ่ายภารกิจคงจะบอกกล่าวถึงข้อมูลเหล่านั้นแล้ว ข้าก็จะไม่ขอพูดซ้ำอีก ฉะนั้นหลังจากนี้ พวกเจ้าจงทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อแย่งชิงมาให้ได้มากที่สุด ขอให้พวกเจ้าโชคดี” ศิษย์พี่ว่านกล่าวขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“หว่านเอ๋อ เจ้ามีความว่องไวมากที่สุด ทันทีที่ระฆังดังขึ้น เจ้าจงทะยานตัวไปฝั่งซ้ายแล้วใช้พลังทั้งหมดช่วงชิงธงมา ส่วนข้าจะไปทางขวาเอง ส่วนคนที่เหลือให้ตั้งเป็นขบวนค่ายกลรูปสามเหลี่ยม คอยปกป้องกัวเหรินเอาไว้ ข้าและหว่านเอ๋อจะเข้าไปชิงธงมาให้กัวเหรินเอง และที่สำคัญอย่าได้ถือธงนานจนเกินไป ไม่เช่นนั้นจะถือว่าล้มเหลว” หลงเฉินกล่าวกำชับต่อหน้าผู้คนอีกครั้ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อและพวกพ้องทั้งหมดพยักหน้ารับด้วยความเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี จากนั้นก้านธูปขนาดใหญ่ก็ได้ถูกจุดขึ้น พร้อมกับเสียงระฆังดังกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ

 

 

 

 

 

 

 

 

“การจัดอันดับ เริ่มได้!”

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset