เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 194 ช่วงชิง

เสียงระฆังดังกังวานไปทั่วทั้งแผนที่การช่วงชิง ทันใดนั้นเองหลงเฉินและถังหว่านเอ๋อก็ได้พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วประดุจลูกศรที่ถูกปล่อยออกมาจากคันธนู และในขณะเดียวกันนั้นเหล่าศิษย์สายตรงของขุมกำลังอื่นก็ไม่ได้เชื่องช้าไปกว่าหลงเฉินเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

ทุกคนต่างทราบกันดีว่าศึกแห่งการแย่งชิงในครั้งนี้ไม่อาจแสดงน้ำใจต่อผู้ใดได้เลย ผู้ใดลงมือก่อนก็จะเป็นฝ่ายที่อยู่เหนือกว่า การเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบนั้นถือได้ว่าสำคัญอย่างถึงที่สุดในการจัดอันดับในครั้งนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าเหล่าศิษย์สายตรงจะออกตัวในเวลาไล่เลี่ยกัน ทว่าความรวดเร็วของถังหว่านเอ๋อนั้นคือที่สุด หลังจากที่ปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้แล้ว นางก็สามารถไหลเวียนพลังสภาวะหนุนเสริมจากสายลมได้อีกทางหนึ่ง ส่งผลให้ความเร็วในการเคลื่อนที่เพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัวนัก

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่หลงเฉินและยอดฝีมือที่เป็นศิษย์สายตรงออกมาช่วงชิงความได้เปรียบแล้ว เหล่าผู้คนที่เป็นพวกพ้องที่เหลือก็เพิ่มความเร็วตามขึ้นมาไม่ห่าง มีเพียงขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อเท่านั้นที่เคลื่อนไหวด้วยความเชื่องช้า เนื่องจากพวกเขาจำเป็นจะต้องสร้างค่ายกลเพื่อปกป้องกัวเหรินเอาไว้

 

 

 

 

 

 

 

 

“ซูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อเป็นคนแรกที่ไปถึงยอดเขาที่เต็มไปด้วยธง มืออันขาวผ่องยื่นไปดึงธงขึ้นมาจากพื้นแล้วสะบัดออกไป ธงน้อยสายนั้นถูกเหวี่ยงเข้าไปยังใจกลางของค่ายกลรูปสามเหลี่ยมในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

กัวเหรินรีบรับธงเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วเสียบธงน้อยเข้าไปในกระบอกธงที่ติดอยู่บนแผ่นหลัง หลังจากที่ธงถูกเสียบเข้าไปแล้ว บนกระบอกก็ได้ทอประกายแสงสว่างขึ้นมา: 1

 

 

 

 

 

 

 

 

ประกายแสงนั้นราวกับมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามบางอย่างแผ่กระจายออกมา หลังจากที่พวกเขาสามารถครอบครองธงน้อยไปได้หนึ่งผืน ศิษย์สายตรงคนอื่นๆ ก็เพิ่งจะถึงบริเวณยอดเขานั้น พลันก็ฉกฉวยธงกันอย่างวุ่นวาย

 

 

 

 

 

 

 

 

ช่วงเวลาที่กลุ่มคนเหล่านั้นได้ธงผืนแรกมาได้ ถังหว่านเอ๋อก็โยนธงผืนที่สองลอยกลับมาแล้ว ผู้คนมากมายต่างก็ทอแววหวาดหวั่นขึ้นมาเป็นสาย หากเป็นรองเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะเกิดเรื่องราวที่ย่ำแย่แน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

และในขณะนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะไปแย่งชิงธงจากผู้คน เหล่าศิษย์สายตรงจึงทุ่มเทพลังทั้งหมดในการแย่งชิงธงจากยอดเขาแห่งนั้นให้ได้มากที่สุด จากนั้นค่อยไปช่วงชิงจากมือผู้อื่นในภายหลัง

 

 

 

 

 

 

 

 

ขุมกำลังของชีซิ่งอยู่ถัดไปทางขวาของหลงเฉิน ในขณะที่เขาเพิ่งจะรับธงผืนแรกไปได้ พลันก็กำลังจะยื่นมือคว้าธงอีกผืนหนึ่งที่กำลังลอยกลับมา ทว่าจู่จู่ภายในฝ่ามือก็คว้าเอาไว้ได้แค่เพียงอากาศเท่านั้น สายตาก็พบว่าธงน้อยผืนนั้นกำลังลอยห่างไกลออกไปทีละน้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน เจ้าหาที่ตาย”

 

 

 

 

 

 

 

 

ธงผืนนั้นถูกพลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉินชักนำให้เคลื่อนย้ายออกไปจึงทำให้เขาคว้าได้แค่เพียงความว่างเปล่าสายหนึ่งเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินรีบคว้าธงน้อยที่ขโมยมาในทันที พลันก็โยนเข้าไปยังใจกลางของค่ายกลรูปสามเหลี่ยม จากนั้นก็เคลื่อนไหวฝีเท้าออกไปชิงธงผืนอื่นอย่างรวดเร็ว โดยไม่หันไปมองที่ชีซิ่งแม้แต่เสี้ยวเดียว เจ้าโง่ผู้นี้ก็ช่างบ้าบอเสียจริง เอาแต่ด่าทอผู้อื่น ไม่คิดจะรีบเข้ามาชิงธงกลับไป

 

 

 

 

 

 

 

 

“จะตะลึงอีกนานเพียงใด ไปชิงธงก่อน!”

 

 

 

 

 

 

 

 

เสียงของกู่หยางดังขึ้นมาในขณะที่กำลังจะสะอึกร่างกายไปตามการเคลื่อนไหวของหลงเฉิน หากหลงเฉินยังหมายจะช่วงชิงธงในบริเวณนี้คงจะต้องปะทะกันสักรอบเสียหน่อยแล้ว ดวงตาของกู่หยางจดจ้องไปที่หลงเฉินด้วยความเย้ยหยันที่ปรากฏขึ้นมาเป็นสาย

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายใต้เส้นทางที่หลงเฉินเลือกจะช่วงชิงธงนั้นมีธงอยู่ทั้งหมดเจ็ดผืนด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่ปลอดผู้คนเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่าหลงเฉินคงจะไม่ยอมเปลี่ยนเส้นทางนี้ไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ธงน้อยลอยละลองอยู่เต็มท้องฟ้าสีคราม กัวเหรินและผู้คนโดยรอบต่างก็เพ่งสมาธิไปที่ธงเหล่านั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย มือหลายคู่ไขว่คว้าไปกลางอากาศแล้วใส่ธงเข้าไปในกระบอกธง หลังจากที่ผ่านไปไม่กี่ช่วงลมหายใจ พวกเขาก็ได้ครอบครองธงไปแปดผืนแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนภายในขุมกำลังเรียงแถวรายล้อมรอบด้านของกัวเหรินอย่างแน่นหนา อีกทั้งยังห้อมล้อมเป็นรูปสามเหลี่ยมตามที่หลงเฉินบอก ฝีเท้าทุกคู่ย่ำกรายไปด้านหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ภายในจิตใจก็ย้ำเตือนกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าหน้าที่ของพวกเขาคือการคุ้มครองกัวเหริน อย่าปล่อยให้ผู้ใดเข้ามาใกล้ได้

 

 

 

 

 

 

 

“ระวัง ให้ตายเถิด ธงถูกแย่งไปแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

คนผู้หนึ่งคำรามขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่กำลังเข้าไปรับธงอย่างไม่ทันจะระวังตัวอยู่นั้นก็ถูกคนจากขุมกำลังอื่นขยับเข้ามาใกล้ แล้วชิงธงเข้าไปในค่ายกลถึงสามผืนด้วยกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

ขุมกำลังนั้นเดือดดาลขึ้นมายกใหญ่ พลันก็สวนกลับเด็กน้อยที่ชิงธงไปด้วยคมหมัดอันหนักหน่วงจนสลบเหมือดไปในทันที ทว่าบาดแผลของเขานั้นกลับคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว จากนั้นการกุมรุมก็เริ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งและวุ่นวาย ทว่ากลุ่มคนเหล่านั้นก็สามารถป้องกันการช่วงชิงธงกลับคืนไปได้

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้ว่าเบื้องหลังกำลังวุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหลงเฉินกลับไม่ได้ว้าวุ่นใจเลยแม้แต่น้อย เพราะการป้องกันที่เขาคิดเอาไว้นั้นแข็งแกร่งประดุจถังเหล็ก แม้แต่กัวเหรินเองก็ยังรู้สึกปลอดภัยอย่างถึงที่สุด เพียงสอดส่องสายตาพร้อมกับคนรอบข้างไปยังธงที่ลอยเข้ามาก็เพียงพอแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ขุมกำลังของเยี่ยจื่อชิวก็ถูกรุกรานจากกลุ่มอื่นไม่น้อยเช่นกัน ทว่าด้วยความเฉลียวฉลาดของพวกเขาจึงได้ตั้งค่ายกลรู้สามเหลี่ยมเลียนแบบขึ้นมา และหลังจากนั้นก็ไม่เสียธงไปแม้แต่ผืนเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อขยับร่างบางเข้าไปหยิบธงน้อยออกมา แล้วส่งออกไปยังขุมกำลังของตัวเองเรื่อยๆ หลังจากที่โยนให้กัวเหรินไปได้ครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามก็ไม่พบธงน้อยปักอยู่รอบข้างอีกแล้ว พลันก็เหลือบไปมองธงที่ปักอยู่ระเกะระกะอีกฝั่งหนึ่ง ทว่าเมื่อดูจากระยะทางแล้วคงจะไม่ทันผู้อื่นที่อยู่ใกล้กว่าอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

“กลับไปป้องกัน”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นเองหลงเฉินก็ตะโกนขึ้นมาในขณะที่กำลังดึงธงที่อยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาอีกหนึ่งผืน จากนั้นก็ลอยละล่องย้อนกลับไปทำการป้องกันขุมกำลังด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะนี้ธงน้อยบนยอดเขาได้ถูกเก็บกวาดไปจนเรียบแล้ว หลงเฉินเพ่งสายตามองไปยังเบื้องหน้าอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าธงที่อยู่บนหลังของกัวเหรินมีทั้งหมดสามสิบหกผืน ถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในตอนนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนอันดับที่สองนั้นคือขุมกำลังของกู่หยางที่มีธงอยู่ยี่สิบเจ็ดผืน ส่วนขุมกำลังของเยี่ยจื่อชิวมีทั้งหมดสิบเก้าผืน ซึ่งไม่ทราบว่าจัดอยู่ในอันดับที่เท่าใดของทั้งหมด ทว่าก็คงจะไม่ต้อยต่ำอย่างแน่นอน เพราะว่ามีขุมกำลังมากมายที่ถือครองธงน้อยได้ไม่ถึงห้าผืนเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่เหลือเองก็คือ พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะชิงโอกาสแย่งได้ก่อน จึงได้ถูกผู้อื่นนำไปแล้วหนึ่งก้าว จึงได้จ้องมองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินพุ่งตัวออกมาจากยอดเขานั้น พลันก็สบเข้ากับธงน้อยที่กำลังลอยละลิ่วเข้ามาใกล้ ในขณะที่มือข้างใหญ่กำลังจะคว้าธงผืนนั้นเอาไว้ ภายในจิตใจของเขากลับเต้นระรัวราวกับเป็นการตักเตือนบางอย่าง สายลมอันน่าหวาดกลัวหอบหนึ่งพุ่งเข้ามายังแผ่นหลังของเขาอย่างหนักหน่วง

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าการโจมตียังมาไม่ถึง ทว่าแรงกดดันอันมหาศาลหอบนั้นก็สามารถทำให้หลงเฉินรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาได้ พลันก็รีบขยับร่างไปด้านข้างแล้วหันหน้าไปมองยังสายลมหอบนั้นในทันที ดวงตาคู่คมประสานกับสายตาเย้ยหยันของกู่หยางที่มาพร้อมกับคมหมัดสายหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ปฏิกิริยาตอบรับไม่เลวเลยทีเดียว ทว่าไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากเงื้อมมือของข้าได้ จงกลายเป็นเนื้อบดไปซะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อกู่หยางเห็นว่าหลงเฉินหลบรอดไปจากการโจมตีของตัวเองได้จึงเกิดอาการตกใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าเจ้าหนูน้อยผู้นี้จะหลบได้พ้น พลันก็ยื่นมือหมายจะเข้าไปจับที่ธงผืนนั้นแล้วโยนออกไป

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินเสียงดังชิขึ้นมาอย่างเย็นชา ด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของเขาสามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งต่างๆ รอบตัว ถึงแม้ว่าจะต้องสิ้นเปลืองพลังแห่งจิตวิญญาณไปเป็นอย่างมาก ทว่าขอเพียงช่วงชิงธงมาได้มากที่สุดก็เพียงพอแล้ว ฉีกขาดไปเล็กน้อยคงไม่เป็นอันใดมาก เมื่อคิดได้เช่นนี้หลงเฉินจึงดีดนิ้วยิงพลังเพลิงสีฟ้าครามออกไปยังธงผืนนั้นประดุจดาวตกสายหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่มือของกู่หยางเพิ่งจะจับปลายธงได้นั้น เพลิงสีฟ้าครามสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาที่ธงในมือของเขา ธงผืนนั้นถูกเพลิงกาฬแผดเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าไปในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางระเบิดเพลิงโทสะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าแสดงความดุร้ายประดุจพยัคฆ์ขึ้นมา กำปั้นข้างหนึ่งหอบสายลมพวยพุ่งเข้ามาหาหลงเฉินอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไปตายซะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินทอสีหน้าไร้อารมณ์ไปที่กู่หยาง แล้วไหลเวียนพลังจากจุดดารากักวายุขึ้นมาพร้อมกับเหวี่ยงหมัดสวนกลับไปอย่างหนักหน่วง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ หลงเฉินสัมผัสได้ถึงพลังสภาวะอันรุนแรงจนแทบจะต้านทานเอาไว้ไม่ไหว กล้ามแขนขนาดใหญ่นั้นราวกับสามารถขยายตัวขึ้นมาได้เรื่อยๆ จนร่างกายลอยไกลออกไปในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

‘ช่างเป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งนัก’

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในจิตใจของหลงเฉินเกิดอาการแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่ กู่หยางผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่ปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ตั้งแต่แรก อีกทั้งยังมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งอย่างไร้เทียมทาน นี่เป็นครั้งแรกที่หลงเฉินได้พบเจอกับกายเนื้อที่แข็งแรงมากกว่าตัวเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ลิ้มรสชาติของกำปั้นของข้าอีกสักหมัดหนึ่งเถิด”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันทีที่กล่าวจบ กู่หยางก็ขยับฝีเท้าตามไป พร้อมกับปล่อยกำปั้นซัดไปยังหลงเฉินที่กำลังลอยกระเด็นอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่หมัดข้างนั้นถูกเหวี่ยงออกมา แขนเสื้อของกู่หยางก็ฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เผยให้เห็นผิวหนังที่เต็มไปด้วยรอยอักขระที่กำลังส่องแสงสว่างขึ้นมาเป็นสาย

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลแผ่ปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขาในทันที ความแข็งแกร่งของกู่หยางผู้นี้อยู่ห่างไกลไปจากความนึกคิดของเขาเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ซูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทั้งผืนฟ้าและผืนดินเกิดการสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง แผ่นหลังของหลงเฉินปรากฏวงแหวนแห่งเทพขึ้นมาหนึ่งวังวน พลังสภาวะอันมหาศาลเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนน่าหวาดหวั่น ให้ความรู้สึกประดุจมีเทพสงครามลงมาจุติอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินกางมือออก อาวุธเพลิงกาฬขนาดใหญ่เล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมาที่ฝ่ามือ ดาบยักษ์สีฟ้าครามนั้นมีความยาวเกือบหนึ่งจั่ง อีกทั้งยังมีเพลิงกาฬสีฟ้าครามไหลเวียนไปมาพร้อมกับรอยอักขระที่ปกคลุมไปทั่ว หลังจากที่ปรากฏขึ้นมาแล้วปลายดาบยาวก็ฟันไปทางกู่หยางในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

อาวุธเพลิงกับกำปั้นที่ปกคลุมด้วยพลังอักขระเข้าปะทะกัน พลังสภาวะที่น่าหวาดกลัวระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรงจนทั้งสองเงาร่างถอยออกไปไกล

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางแผดเสียงดังขึ้นมา ถึงแม้ว่าเขาจะเคยได้ยินมาก่อนว่าพลังฝีมือของหลงเฉินแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทว่าเขากลับไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด ในเมื่อเขามีสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลแล้ว ย่อมไม่เห็นยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตผู้หนึ่งอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

เดิมทีเขาคิดว่าเพียงกระบวนท่าเดียวก็คงจะจัดการหลงเฉินได้แล้ว ทว่าในตอนนี้กลับเห็นว่าหลงเฉินรับกระบวนท่าอันแข็งแกร่งของตัวเองได้จึงอดไม่ได้ที่จะแตกตื่นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

ฟ้าดินที่สั่นสะเทือนเลือนลั่นทำให้ผู้คนทั้งหมดเกิดอาการสั่นเทาขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว ทว่าขณะนี้พวกเขากำลังอยู่ในศึกการแย่งชิงอยู่จึงละสายตาจากหลงเฉินและกู่หยางไป เพราะธูปดอกนั้นได้ถูกเผาไปมากกว่าครึ่งแล้ว พวกเขาจึงต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่ช่วงชิงธงมาให้ได้มากที่สุด ทันใดนั้นทั่วทั้งลานก็เกิดการต่อสู้ที่วุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งพวกเขายังไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้รวมกันเป็นกลุ่มมาก่อน ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายออกจากกันเข้าตะลุมบอนคู่ต่อสู้ในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้อาวุโสซุนที่คอยสังเกตการณ์อยู่ในศาลาแห่งนั้นมาโดยตลอด เมื่อได้เห็นวงแหวนแห่งเทพของหลงเฉินปรากฏขึ้นมา ภายในดวงตาคู่นั้นก็คล้ายกับมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมาอย่างคลุ้มคลั่ง และเขาก็เพิ่งทราบว่าวงแหวนที่อยู่ด้านหลังของหลงเฉินนั้นกำลังดูดซับพลังปราณฟ้าดินเข้าไปไม่หยุดอยู่

 

 

 

 

 

 

 

 

ทักษะยุทธ์เช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นทักษะชั้นเทพเซียนเลยก็ว่าได้ หากมีทักษะยุทธ์เช่นนี้อยู่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวต่อผู้ใดอีกแล้ว ยิ่งเห็นก็ยิ่งเกิดความปรารถนามากยิ่งขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

ศิษย์พี่ว่านเองก็จดจ้องไปยังหลงเฉิน ยอดฝีมือที่มีพลังการฝึกยุทธ์อยู่ในขอบเขตก่อโลหิตถึงกับต้านทานกระบวนท่าจากกู่หยางผู้นั้นได้อย่างนั้นหรือ จึงอดไม่ได้ที่จะทอแววตาชื่นชมขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าที่ด้านบนสุดของสำนักพลิกสวรรค์มีเงาร่างของคนสองคนกำลังนั่งดื่มชาหอม แล้วชมการต่อสู้อยู่

 

 

 

 

 

 

 

 

“ท่านเจ้าสำนัก ท่านทราบหรือไม่ว่านั่นคือทักษะยุทธ์ชนิดใดกัน?” ถู่ฟางถามขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

หลิงหวินจื่อส่ายหน้าไปมาแล้วตอบว่า “ไม่เคยพบเห็นและได้ยินมาก่อนเลย เพียงแต่ทราบว่าหากเป็นวิชากำลังภายในจะช่วยเสริมพลังการฝึกยุทธ์เท่านั้น ไม่อาจช่วยเสริมพลังการต่อสู้ได้แต่อย่างใด

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าวงแหวนแห่งเทพที่ปรากฏขึ้นมานั้นกลับดูดซับพลังปราณฟ้าดินเข้าไปช่วยหนุนเสริมร่างกายของหลงเฉินเพื่อนำออกไปใช้ เช่นนั้นก็จะทำให้พลังการต่อสู้เพิ่มสูงขึ้นอีกหลายเท่า ช่างแตกต่างจากวิชากำลังภายในและทักษะยุทธ์ หึหึ ช่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ปล่อยกระบวนท่าออกไปอีกครั้ง กู่หยางก็แสยะยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าเจ้าจะตายไปอย่างง่ายดาย”

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อกล่าวจบกู่หยางก็ได้ปะทุพลังสภาวะทั่วทั้งร่างกายขึ้นมา อักขระที่อยู่บนร่างกายไหลเวียนไปมาไม่หยุดราวกับมีแมลงขนไต่อยู่ตามร่างกายจนน่าสะอิดสะเอียน ผืนดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเริ่มแหลกละเอียดคล้ายกับใยแมงมุม บรรยากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้าบอกไปแล้วว่าข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นเนื้อบดเอง”

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางแผดเสียงคำรามกึกก้องกังวาน พร้อมกับขยับเท้าเล็กน้อยจนพื้นดินแตกระเบิดออก หอบสายลมพวยพุ่งเข้าไปทางหลงเฉินอย่างรวดเร็ว

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset