เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 206 การกลับมาของหลงเฉิน

ณ หมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์ได้เกิดศึกการจัดอันดับของขุมกำลังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และในตอนนี้ก็เป็นการเริ่มต้นศึกการต่อสู้ครั้งที่สามแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ในศึกการจัดอันดับครั้งแรกนั้นขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวได้มีผู้ทรยศแอบแฝงอยู่จึงถูกขโมยธงไปทั้งหมด หลงเฉินโกรธแค้นขึ้นมายกใหญ่พลันก็ลงมือสังหารผู้คน เขาเลือกที่จะถูกเนรเทศไปยังดินแดนรกร้างศิลาวายอันเป็นสถานที่ที่ไร้ซึ่งโอกาสรอดกลับมา

 

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งยังไม่เคยมีศิษย์สายตรงคนใดที่สามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นด้วยกันทั้งหมด ส่วนหลงเฉินกลับมีระดับการฝึกยุทธ์อยู่ในขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่เจ็ดเท่านั้น ฉะนั้นโอกาสที่จะมีชีวิตรอดกลับมาแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำไป

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่หลงเฉินจากไปแล้ว สถานการณ์ทางด้านถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวเรียกได้ว่าย่ำแย่เป็นอย่างมาก ทว่ายังดีที่มีพวกพ้องคอยสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน ไม่มีผู้ใดท้อแท้จนยอมจากไปเลยแม้แต่คนเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งยังมีโอสถที่หลงเฉินหลงเหลือไว้ให้ก่อนไป จึงทำให้พลังการฝึกยุทธ์ของพวกเขาปะทุสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อให้ไม่มีคะแนนมากมายคอยสนับสนุนอยู่ ทว่าพลังฝีมือของพวกเขาก็ไม่ได้ทิ้งห่างจากขุมกำลังอื่นเลยเสียทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากจบสิ้นการต่อสู้จัดอันดับครั้งแรก ทั้งขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวเองก็ได้รับภารกิจด้วยเช่นกัน ทว่ากลับเป็นเพียงภารกิจที่ใช้แรงงานส่วนหนึ่งเท่านั้น และก็เป็นภารกิจที่ไม่ได้มีให้ทำทุกวัน ฉะนั้นจึงได้ค่าตอบแทนเพียงน้อยนิดเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่ทำให้น่าโมโหนั่นก็คือในขณะที่ทำภารกิจอยู่นั้นมักจะมีคนจากขุมกำลังอื่นคอยกลั่นแกล้ง ดูแคลน และด่าทอสารพัด เรียกง่ายๆ ว่าเป็นการคงอยู่อย่างที่ไม่สู้ตายไปเสียยังจะดีกว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

และนับตั้งแต่การจัดอันดับครั้งแรกสิ้นสุดลง หลังจากที่หลงเฉินไปยังดินแดนรกร้างศิลาวายแล้ว ขุมกำลังทั้งหมดภายในหมู่ตึกก็ถูกแบ่งออกเป็นสามฝ่ายใหญ่ โดยกลุ่มที่หนึ่งนั้นมีกู่หยางเป็นผู้นำ มีขุมกำลังที่ยินยอมศิโรราบด้วยกันถึงเจ็ดขุมกำลังด้วยกัน ทำให้ในขณะนี้พวกเขาเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดเลยก็ว่าได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนกลุ่มที่สองนั้นมีถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวเป็นผู้นำ นอกจากนี้ก็มีขุมกำลังของซ่งหมิงเหยียนและหลี่ฉี ส่วนโหลวฉางนั้นก็ได้นำขุมกำลังของตัวเองบางส่วนมาเข้าร่วมกับพวกนางด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

ความเป็นจริงแล้วยังมีขุมกำลังอื่นได้เอ่ยปากสนับสนุนเป็นฝ่ายหลงเฉินเมื่อครั้งก่อนอยู่อีกสองสามกลุ่ม และหลังจากที่หลงเฉินถูกเนรเทศไปแล้ว พวกเขาก็ยังคงอยู่อย่างสงบเสงี่ยมมาโดยตลอด ทว่าในภายหลังกลับมีบางส่วนแอบลอบเข้าร่วมกับขุมกำลังของกู่หยาง

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันทีที่ถังหว่านเอ๋อทราบก็ทั้งเดือดดานและท้อแท้อย่างถึงที่สุด ภายในจิตใจก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายที่แท้จริงของความเป็นจริงขึ้นมาเป็นอย่างมาก

 

 

 

 

 

 

 

 

ยังดีที่ยังมีซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉางที่ยังคงภักดีต่อหลงเฉินอย่างไม่เสื่อมคลาย พวกเขาคอยรุกและถอยไปพร้อมกันทั้งหมด

 

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนขุมกำลังที่แปรพรรคไปนั้น เดิมทีก็คิดว่าพลังการต่อสู้ของหลงเฉินนั้นน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพียงยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่เจ็ด ทว่ากลับไม่เป็นรองต่อศิษย์สายตรงที่มีพลังอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นผู้หนึ่งเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

นอกจากนี้ยังมีศิษย์สายตรงระดับสัตว์ประหลาดอย่างถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวเข้าร่วมด้วย ฉะนั้นเพียงกู่หยางแค่คนเดียวคงจะไม่อาจต้านทานขุมกำลังนี้ได้อย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

ในเวลานั้นพวกเขาจึงตระหนักขึ้นมาได้ว่าหากพวกเขาช่วยกันกดดันหมู่ตึก คงจะสามารถปกป้องหลงเฉินได้เป็นแน่นแท้จึงได้ออกเสียงแสดงจุดยืนของตัวเองเพื่อเป็นฝ่ายเดียวกับหลงเฉิน ทว่าในภายหลังหลงเฉินกลับเลือกที่จะไปยังดินแดนรกร้างศิลาวายทำให้พวกเขาต่างก็ทอแววตาโง่งมขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในจิตใจก็หวาดหวั่นขึ้นมาในทันทีว่าหลงเฉินคงจะต้องตายอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงกันไปประจบสอพลอกู่หยางจนสามารถเข้าร่วมกับขุมกำลังนั้นได้

 

 

 

 

 

 

 

 

นอกจากกลุ่มของกู่หยางและถังหว่านเอ๋อที่เป็นศัตรูผู้ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ก็ยังมีอีกกลุ่มหนึ่ง ผู้นำของคนเหล่านั้นก็คือกวานเหวินหนานนั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

เขาเป็นศิษย์สายตรงที่มีสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูล อีกทั้งยังมีพลังการต่อสู้ที่น่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ทว่าคนผู้นี้กลับมีความหยิ่งยโสและทระนงตนว่าสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ฉะนั้นผู้นำทั้งสามกลุ่มนี้ล้วนแล้วแต่มีสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลทั้งหมด ทุกครั้งที่ได้เผชิญหน้ากันต่างก็คล้ายกับมีคนกำลังลั่นกลองศึกดังกึกก้องอยู่ภายในใจของผู้คน

 

 

 

 

 

 

 

 

กวานเหวินหนานถือได้ว่าเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อใดที่พบเห็นกลุ่มของกู่หยางและถังหว่านเอ๋อเปิดศึกแย่งชิงกันอย่างดุเดือด เขามักจะเลือกฝ่ายที่เหนือกว่าไว้คอยอิงแอบ ทว่าก็ไม่ได้พึ่งพากลุ่มของกู่หยางไปเสียทีเดียว และไม่ได้ลงมือต่อกลุ่มของถังหว่านเอ๋อด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่หลงเฉินกำลังต่อสู้กับสัตว์มายาระดับสามอยู่ที่ดินแดนรกร้างศิลาวายได้หนึ่งเดือน ทางหมู่ตึกก็เริ่มทำการเปิดศึกการต่อสู้จัดอันดับครั้งที่สองขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ในการต่อสู้ครั้งนี้เรียกได้ว่าดุเดือดยิ่งกว่าครั้งแรกเป็นเท่าตัว ขุมกำลังของกู่หยางและถังหว่านเอ๋อเข้าห้ำหั่นกันอย่างรุนแรงเพื่อสะสางความแค้นในครั้งก่อน ต่างฝ่ายต่างปะทุพลังทั้งหมดเข้าโจมตีอีกฝ่ายเพื่อช่วงชิงธงมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าสถานการณ์ในครั้งนี้น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่กู่หยางกำลังปะทุพลังทั้งหมดขึ้นมานั้น พลังอักขระของเขาก็ได้เปล่งประกายเจิดจ้าไปทั่วทั้งร่างกาย บรรยากาศบนร่างกายเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาลอย่างไร้ที่เปรียบ เพียงคนเดียวก็สามารถต่อกรกับถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวได้แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

เนื่องจากกู่หยางนั้นเป็นการคงอยู่ของผู้ที่มีสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลมาตั้งแต่แรกแล้วทำให้เขาคุ้นเคยกับการควบคุมพลังจากตราสัญลักษณ์มามากกว่า ส่วนถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวนั้นเพิ่งจะปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลได้ไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำไป พวกนางจึงไม่อาจต้านทานอานุภาพของสัญลักษณ์ของกู่หยางได้

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งยังเป็นการปะทะกันแบบห้าต่อเจ็ด แน่นอนว่าฝ่ายของพวกนางย่อมเสียเปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ศึกการต่อสู้จัดอันดับในครั้งที่สองนี้ได้รับความพ่ายแพ้อย่างราบคาบกลับมา

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเสียงลั่นระฆังบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของศึกการต่อสู้ ฝ่ายของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวกลับช่วงชิงมาได้เพียงความว่างเปล่า พวกนางเองก็ทราบดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้นว่าพลังฝีมือของทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างกันมากเกินไปอยู่แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกฝ่ายนั้นได้ส่งศิษย์สายตรงลงมือจู่โจมมาที่ขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิว แน่นอนว่าศิษย์สายในและศิษย์สายนอกเหล่านั้นย่อมไม่อาจต้านทานได้อยู่หมัด

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้นก็คือในขณะที่ชิงธงกลับมานั้นก็ได้ถูกผู้คนมากมายคอยขัดขวางเอาไว้อย่างโหดเ**้ยมจนทำให้ผู้คนภายในขุมกำลังมีกระดูกแตกและเส้นเอ็นขาดไปมากมาย แม้แต่คืบคลานก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะนั้นถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวได้แต่กวาดสายตามองไปยังผู้คนที่นอนแผ่อยู่บนพื้น ดวงตาคู่งามปรากฏเปลวเพลิงแห่งความเคียดแค้นขึ้นมา เหล่าพี่น้องถึงกับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความเสียใจระคนแค้น

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในจิตใจก็เอาแต่โทษว่าตัวเองยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ได้ ในขณะเดียวกันก็ตระหนักมากยิ่งขึ้นว่าการแย่งชิงของหมู่ตึกเริ่มเลวร้ายลงไปทุกทีแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

การลงมือทั้งหมดของชีซิ่งและเหร่ยเชียนซังนั้นเรียกได้ว่าโหดเ**้ยมอย่างถึงที่สุด พวกเขาจงใจให้ผู้คนทั้งหลายหมดความเชื่อมั่นจนก่อเกิดเป็นความหวาดกลัวที่พร้อมจะยอมศิโรราบให้แก่พวกเขาแต่โดยดี

 

 

 

 

 

 

 

 

โดยเฉพาะชีซิ่งที่เลือดเย็นเป็นอย่างยิ่ง เขาหมายตาที่จะลงมือต่อถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวอย่างเอาเป็นเอาตาย หากไม่ได้ซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องคอยช่วยเหลือเอาไว้อย่างไม่คิดชีวิตก็อาจจะย่ำแย่กว่านี้ ทว่าก็ยังไม่อาจจัดการกับอีกฝ่ายได้จนถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าจะเดือดดาลมากมายเพียงใด ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้มีความกล้าเหมือนกับหลงเฉิน พวกเขาไม่สามารถสังหารผู้คนเหล่านั้นได้ จึงได้แต่เก็บเป็นความแค้นฝังลึกอยู่ภายในจิตใจเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนขุมกำลังที่เป็นพันธมิตรด้วยก็ไม่ถึงกับสูญเสียกำลังพลไปมากมาย ถึงแม้ว่าจะได้ธงมาน้อย ทว่าก็ไม่ได้ถูกช่วงชิงไปจนผู้คนต้องล้มเกลื่อนกลาดเฉกเช่นคนของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิว

 

 

 

 

 

 

 

 

เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนของพวกนางเกิดความคิดไม่ลงรอยกัน คิดว่าผู้อื่นไม่ยอมออกแรงอย่างเต็มที่จึงทำให้พวกเขาเกิดความขัดแย้งขึ้นมาภายในจิตใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

และในขณะนี้แสงตะวันยามรุ่งอรุณก็ได้โผล่พ้นขึ้นมาทางทิศตะวันออก ประกายแสงสีทองอันอบอุ่นปกคลุมไปทุกหย่อมหญ้า ทว่ากลับไม่อาจเปลี่ยนแปลงบรรยากาศอันเย็นยะเยือกภายในหมู่ตึกแห่งนี้ได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

 

วันนี้เป็นศึกการต่อสู้จัดอันดับครั้งที่สาม ธงน้อยถูกปักอยู่เต็มหย่อมหญ้าบนเนินเขา กลุ่มคนนับสิบกว่าขุมกำลังได้รวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงเฉกเช่นเดียวกับสองรอบที่ผ่านมา

 

 

 

 

 

 

 

 

บรรยากาศทั่วทั้งบริเวณมีทั้งความกดดันและความตื่นเต้นปะปนกันไป ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวเกิดความกังวลไม่น้อยเลย หากครั้งนี้อยู่ในอันดับรั้งท้ายอีกครั้งคงจะต้องจบสิ้นกันอย่างแท้จริงเสียแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่หลงเฉินจากไป แต้มคะแนนที่ก็ได้ถูกนำไปซื้อสมุนไพรมาจนหมดเพื่อหลอมโอสถขึ้นมา เพราะหวังว่าผู้คนในขุมกำลังจะได้มีพลังการฝึกยุทธ์ที่เพียงพอสำหรับการต่อสู้จัดอันดับในครั้งต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าก็ต้องผิดหวังที่กู่หยางและพวกพ้องได้ช่วงชิงอันดับหนึ่งไป ได้รับแต้มคะแนนไปอย่างมากมายมหาศาล อีกทั้งยังยังกวาดซื้อโอสถและยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่ภายในหมู่ตึกไปจนหมด ทำให้พลังฝึกยุทธ์ของพวกเขาก้าวกระโดดอย่างไร้ที่เปรียบ

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้แต่ในครั้งนั้นที่ได้รับการช่วยเหลือจากหลงเฉินก็ยังไม่อาจฝืนชะตากรรมที่แสนโหดร้ายเช่นนี้ไปได้ ฉะนั้นคงจะไม่ต้องกล่าวถึงการแย่งชิงในรอบต่อๆ มา ซึ่งสามอันดับแรกนั้นยังคงเป็นของกู่หยาง ชีซิ่ง และเหร่ยเชียนซัง มาโดยตลอด

 

 

 

 

 

 

 

 

“ถังหว่านเอ๋อ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ได้ลองครุ่นคิดเกี่ยวกับข้อเสนอของข้าดูบ้างหรือไม่? หากยอมศิโรราบต่อข้า จะทำให้พวกเจ้าก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น อย่าได้คิดแต่อยู่ในอันดับที่ต่ำต้อยตลอดไปเลย” กู่หยางทอสีหน้าเหยียดหยามมองไปยังถังหว่านเอ๋อแล้วเอ่ยถามขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“ฝันหวานไปเถิด” ถังหว่านเอ๋อทอสีหน้าดูแคลนแล้วตอบกลับไป

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางหัวเราะฮาฮาแล้วกล่าวว่า “เจ้ายังคิดถึงเจ้าหน้ามนผู้นั้นอยู่อีกหรือ? ฮาฮา นี่ก็เกือบจะสองเดือนแล้ว เขายังไม่กลับมาเลย ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นอาหารอันโอชะของสัตว์มายาไปตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้”

 

 

 

 

 

 

 

 

“กู่หยาง ครั้งนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหลงระเริงได้อีกต่อไป” ถังหว่านเอ๋อกล่าวพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่กู่อย่าง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ตรงนั้นเฉกเช่นเดิม” กู่หยางกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง แล้วหันไปกล่าวต่อเยี่ยจื่อชิวว่า “จื่อชิวเจี่ยเจี่ย หากในวันนี้พวกเราเกิดล้มเหลวอีกครั้งหนึ่ง ข้าจะสังหารคนพวกนี้ด้วยมือของข้าเอง”

 

 

 

 

 

 

 

 

เยี่ยจื่อชิวพยักหน้าน้อยๆ ภายในดวงตาปรากฏความเยียบเย็นขึ้นมาเป็นสาย “ข้าก็เห็นด้วย สังหารพวกคนใจทรามเหล่านั้นเพื่อล้างแค้นให้หลงเฉินกัน”

 

 

 

 

 

 

 

 

ช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมานี้ไมมีผู้ใดได้ข่าวของหลงเฉินเลยแม้แต่น้อย เกรงว่าจะเป็นชะตากรรมอันเลวร้ายมากกว่าโชคดีไปเสียแล้ว ภายในจิตใจของสองโฉมงามจึงรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเป็นสาย

 

 

 

 

 

 

 

 

และในครั้งนี้พวกนางก็ได้วางแผนมาเป็นอย่างดีสำหรับการเปิดศึกสังหารกับกู่หยางและพวกพ้อง ถึงแม้ว่าจะมีพลังการต่อสู้ที่ต่างชั้นกันอยู่ ทว่าคงจะมีเพียงความกล้าหาญและโหดเ**้ยมเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาสังหารอีกฝ่ายหนึ่งลงไปได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ในเมื่อหลงเฉินได้ตายไปแล้ว ต่อให้จิตใจจะเจ็บปวดประดุจถูกมีดกรีดแทงมากเพียงใดก็จะต้องสังหารผู้ที่นางเกลียดชังที่สุดผู้นี้ไปให้จงได้

 

 

 

 

 

 

 

 

“ทุกคน เตรียมความพร้อมเอาไว้ให้ดี การต่อสู้จะเริ่มขึ้น……”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ช้าก่อน ต้องขออภัยที่มาช้า”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงอันคุ้นหูดังแทรกคำพูดของศิษย์พี่ว่านขึ้นมา ผู้คนมากมายหันไปมองยังต้นเสียงสายนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ดวงตาทุกคู่สบกับเงาร่างสายหนึ่งที่กำลังเดินฝ่าแสงอาทิตย์เจิดจ้าเข้ามาอย่างช้าๆ

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset