เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 210 พลังเสริมจากสายโลหิต

กู่หยางในตอนนี้ประดุจราชสีห์กำลังเกรี้ยวกราด แววตาทั้งสองคล้ายกับมีประกายเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา ซุ่มเสียงดังกังวานไปทั่วทุกสารทิศ มาพร้อมกับคมหมัดสายหนึ่งพุ่งตรงเข้าไปหาหลงเฉินในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนเหร่ยเชียนซังและชีซิ่งนั้นก็ถูกทุบตีจนหมอบราบอยู่บนพื้น บนใบหน้ามีฝ่าเท้ามากมายประทับเอาไว้ และเหล่ายอดฝีมือที่เป็นศิษย์สายตรงอีกสามคนก็กำลังถูกซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องขัดขวางอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

 

 

 

 

 

 

การร่วมมือกันของขุมกำลังทั้งเจ็ดภายในกลุ่มของเขาพังพินาศย่อยยับ กระบอกธงทั้งเจ็ดที่ควรมีธงอยู่กลับกลายเป็นความว่างเปล่า ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็คือการลงมือของหลงเฉินแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

และในขณะนี้ก้านธูปขนาดใหญ่ก็ใกล้จะมอดไหม้ไปทั้งหมดแล้ว หากไม่รีบชิงธงน้อยกลับมา แน่นอนว่าขุมกำลังที่เป็นพันธมิตรของเขาทั้งเจ็ดก็คงจะอยู่รั้งท้ายของศึกการจัดอันดับในครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน ระวัง!”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวร้องเสียงหลงขึ้นมาด้วยความหวาดหวั่น คมหมัดของกู่หยางเปี่ยมไปด้วยพลังของต้นตระกูล เรียกได้ว่าแข็งแกร่งจนอยู่เหนือความสามารถที่จะต้านทานของพวกนางไปไกลมากแล้ว ทำให้เมื่อครู่นี้ได้พลาดท่าครั้งใหญ่ให้กับกู่หยางจนได้

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินแสยะยิ้มแล้วก็ส่งสัญญาณมือไปทางถังหว่านเอ๋อเป็นความนัยว่าวางใจได้ จากนั้นก็เลื่อนสายตาที่แผ่รังสีสังหารอย่างรุนแรงมองไปที่กู่หยาง

 

 

 

 

 

 

 

 

เจ้าตัวบัดซบผู้นี้มักจะท้าทายหลงเฉินมาโดยตลอด อีกทั้งยังชอบกล่าววาจาที่ว่าจะทุบเขาให้กลายเป็นเนื้อบดอยู่อย่างนั้นเสมอมา หลงเฉินจึงปรารถนาที่จะจัดการคนผู้นี้ให้รู้แล้วรู้รอดกันไปตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าพลังการฝึกยุทธ์ของหลงเฉินนั้นยังน้อยเกินไปที่จะต่อกรกับกู่หยางได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าในขณะนี้เขาก็ได้เข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่สิบเอ็ดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังมีอาวุธกระดูกอันแกร่งกล้าอยู่ในมือ จึงไม่มีความลังเลใจที่จะเข้าห้ำหั่นกับกู่หยางเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

“เบิก”

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางแผดเสียงคำรามออกมา ทั่วทั้งร่างกายปรากฏแสงสว่างของอักขระหลายพันสาย กำปั้นข้างหนึ่งผนึกรวมพลังอักขระลึกลับเอาไว้อย่างหนาแน่นพุ่งเข้าชนกับอาวุธกระดูกในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

บรรยากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวไปมาไม่หยุด เสียงระเบิดดังกึกก้องเข้าไปในโสตประสาทของผู้คนจนแสบแก้วหู ผู้คนมากมายทอสีหน้าตื่นตะลึงขึ้นมา ช่างเป็นการโจมตีที่ยากจะทนรับเอาไว้ได้แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

อาวุธกระดูกของหลงเฉินต้องกับคมหมัดอันหนักหน่วงของกู่หยางเข้าอย่างจังจนถึงขั้นสะบัดออกไปอีกทางหนึ่ง หลงเฉินจึงรีบก้าวเท้าออกไปแล้วหอบสายลมหมุนวนอันบ้าคลั่งกวาดอาวุธกระดูกเข้าไปยังสีข้างของกู่หยางในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่ากู่หยางจะใช้หมัดต้านทานกระบวนท่าของหลงเฉินได้ ทว่าทันทีที่รับการโจมตีจากขุมพลังอันน่าหวาดกลัวเมื่อครู่นี้ได้ ร่างกายของเขาก็กระเด็นถอยออกไปอยู่หลายก้าวด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่ทำให้กู่หยางตกใจอยู่ไม่น้อยนั่นก็คือกระบวนท่าที่เปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาลของหลงเฉินนั้นแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าคมวายุของถังหว่านเอ๋อเป็นอย่างมาก และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือในขณะนี้อาวุธกระดูกของหลงเฉินกำลังกวาดเข้ามาที่สีข้างของเขาเข้าให้แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางจึงรีบออกหมัดอีกข้างเข้าต้านหลงเฉินไว้ ทว่าไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดการเผชิญหน้ากับหลงเฉินในครั้งนี้กลับทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเป็นสายจนแทบจะไม่อาจใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมดออกมาได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

 

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือเขาได้พลาดท่าครั้งใหญ่ให้กับหลงเฉินภายในกระบวนท่าเดียว ถูกซัดจนลอยกระเด็นออกไปไกล ไม่ใช่เพราะว่าเขายังแข็งแกร่งไม่พอ ทว่าเป็นเพราะกระบวนท่าของหลงเฉินนั้นพิสดารมากจนเกินไปแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ร่างกำยำของกู่หยางลอยคว้างอยู่กลางอากาศ พลันก็เร่งรวบรวมพลังผนวกกับประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชนเข้าหยุดร่างกายเอาไว้อย่างรวดเร็ว หากปลายเท้าแตะถึงพื้นได้เมื่อใด เขาก็จะสามารถโจมตีครั้งต่อไปได้ในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าในขณะที่เท้ากำลังจะสัมผัสพื้นอยู่นั้น จู่จู่อาวุธกระดูกขนาดใหญ่ที่เสมือนกับเป็นศาสตราวุธของภูตพรายขึ้นมาในทันทีทันใดฟาดเข้ามาหาเขาอย่างไร้ซึ่งซุ่มเสียง

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงมองไปที่อาวุธกระดูกอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง หลงเฉินได้ออกกระบวนท่าติดต่อกันเป็นครั้งที่สามแล้ว แม้แต่โอกาสที่จะได้หยุดพักหายใจก็ไม่มีเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าจะสามารถต้านทานกระบวนท่าของหลงเฉินได้ ทว่าภายในจิตใจของเขากลับสูญเสียความมั่นใจไปเป็นอย่างมาก พลันก็ล้มกลิ้งไปตามพื้นแล้วลอยทะยานสู่กลางอากาศไปไกลหลายเซียะ มีแต่จะต้องฝืนร่างกายเพื่อชะลอการเคลื่อนไหวไม่ให้ออกไปไกลมากกว่านี้

 

 

 

 

 

 

 

 

บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในสภาวะเงียบงันอีกครั้ง ไม่มีผู้ใดที่ไม่ทราบถึงพลังการต่อสู้อันน่าหวาดกลัวของกู่หยาง เดิมทีคนผู้นี้ถูกเรียกขานว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในกลุ่มของศิษย์ใหม่ ทว่าบุคคลเช่นนี้กลับถูกหลงเฉินบีบให้ตายคาเงื้อมมือไปได้ อีกทั้งยังถูกจู่โจมถึงสามครั้งจนต้องนอนหมอบลงกับพื้น

 

 

 

 

 

 

 

 

เหล่าผู้คนต่างก็ไม่อยากที่จะเชื่อสายตาตัวเอง บ้างก็คิดว่าสมองของพวกเขาคงจะเลอะเลือนไปแล้ว ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ของพวกเขากำลังถูกทุบตีอย่างที่ไม่อาจโต้กลับไปได้แม้แต่ครั้งเดียว และที่สำคัญก็คือจู่จู่คนที่มีพลังการฝึกยุทธ์ต่ำที่สุดในหมู่ตึกถึงกับอยู่เหนือคนที่มีพลังการฝึกยุทธ์สูงที่สุดในหมู่

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินยกอาวุธกระดูกถูไปที่หัวไหล่ พลันก็หัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “เจ้ามักจะขู่ข้าว่าหากเมื่อใดที่ข้าขวางอยู่เบื้องหน้าของเจ้า เจ้าจะทำให้ข้ากลายเป็นเนื้อบดด้วยตัวเอง ทว่าตอนนี้ข้ากลับสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าคำพูดของเจ้านั้นเป็นจริงหรือไม่กันนะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีแม้แต่อารมณ์โกรธแค้น ไม่มีความเย้ยหยัน ทว่าไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงได้คมคายบาดลึกเข้าไปในจิตใจของกู่หยางเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ในสายตาของกู่หยางมองว่าหลงเฉินเป็นเพียงตัวประกอบภายในหมู่ตึกตลอดมา ยิ่งไปกว่านั้นก็คือไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ทว่าในขณะนี้เขากลับถูกบุคคลที่เป็นตัวประกอบเยาะเย้ยได้อย่างเจ็บแสบ จึงอดไม่ได้ที่จะเดือดดาลขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไปตายซะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางตะโกนขึ้นมาเสียงดังด้วยความเคียดแค้นพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นมา ฝ่าเท้าใหญ่เหยียบย่ำลงไปบนพื้นจนเกิดเป็นเงาประดุจลูกศรถูกปล่อยออกจากคันธนูพุ่งเข้าไปหาหลงเฉิน

 

 

 

 

 

 

 

 

ดวงตาคู่คมของหลงเฉินจ้องมองไปที่คมหมัดสายนั้นด้วยความดูแคลน อาวุธกระดูกในมือขยับเล็กน้อยปาดเข้าไปทางกู่หยางอย่างหนักหน่วง ต่อให้แขนยาวกว่านี้หรือพุ่งเข้ามาเร็วกว่านี้ก็ไม่อาจสู้ความยาวของอาวุธกระดูกได้หรอก หลงเฉินเองก็คร้านที่จะแลกการโจมตีกับกู่หยางเต็มทีแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางเหลือบตามองไปยังใบหน้าที่ไม่แยแสต่อการโจมตีของหลงเฉิน แล้วก็ต้องแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่เมื่ออาวุธกระดูกกำลังโหมกระหน่ำเข้ามาที่ศีรษะของเขาจนต้องรีบเปลี่ยนมาตั้งรับการโจมตีเอาไว้ในทันที ทว่ากลับไม่ทันการณ์เสียแล้ว ในขณะที่กำลังไหลเวียนพลังทั้งหมดเข้าต้านทานหลงเฉินอยู่นั้นก็ได้ถูกอาวุธกระดูกซัดจนถอยกระเด็นออกไป

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ถูกซัดออกมาก็พบว่าหลงเฉินได้กวาดอาวุธกระดูกเข้ามาอีกครั้งหนึ่งจนร่างกายลอยกระเด็นออกไปไกลครั้งแล้วครั้งเล่า และทุกครั้งที่กำลังตั้งหลักได้ก็ถูกหลงเฉินฟาดอาวุธเข้ามาอย่างกระชัดชิดจนต้องเกลือกกลิ้งไปตามพื้นดินอย่างน่าอดสู

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนมากมายต่างปากอ้าตาค้างไปตามๆ กัน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นกู่หยางล้มลุกคลุกคลานไปตามพื้นประดุจสุนัขจนตรอกอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินหยุดการโจมตี แล้วใช้อาวุธกระดูกเกาไปที่แผ่นหลัง แล้วกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชาเฉกเช่นเดิมว่า “เจ้ามักจะขู่ข้าว่าหากเมื่อใดที่ข้าขวางอยู่เบื้องหน้าของเจ้า เจ้าจะทำให้ข้ากลายเป็นเนื้อบดด้วยตัวเอง ทว่าตอนนี้ข้ากลับสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าคำพูดของเจ้านั้นเป็นจริงหรือไม่กันนะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางพยายามยันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ใบหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด ทว่าแววตาคู่นั้นกลับแผ่รังสีสังหารออกมาเข้มข้นเสียยิ่งกว่าเดิม

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน เจ้ากล้าทำให้ข้าอับอายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อได้ฟังวาจาของกู่หยาง หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่หยุด “ฮาฮาฮา อับอาย? เจ้าอับอายเป็นด้วยหรือ? ปกติแล้วเจ้าชมชอบการดูแคลนผู้อื่นเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

แล้วนี่เป็นอะไรไป? ถูกผู้อื่นดูแคลนกลับไปเพียงครั้งเดียวก็รับไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ? ช่างหน้าบางเสียจริง ไม่แปลกใจเลยที่หัวสมองของเจ้าถึงกลวงโบ๋ถึงเพียงนี้ เหอะ ด่าทอผู้อื่นได้ทว่ากลับไม่ยินยอมให้ผู้อื่นว่ากลับ ไสหัวไป ในเมื่อชมชอบการดูแคลนผู้อื่น ก็ต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะถูกผู้อื่นดูแคลนด้วย”

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางนั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลใหญ่ที่หลงเฉินไม่อาจเทียบชั้นได้เลยแม้แต่น้อย นับตั้งแต่เกิดมาก็ถูกปรนนิบัติประดุจราชา ผู้ใดที่อยู่ต่อหน้าเขาก็เป็นได้แค่ทาสรับใช้เท่านั้น ฉะนั้นการที่ถูกผู้อื่นดูแคลนก็คล้ายกับถูกตีตราว่าเป็นตัวอัปยศผู้หนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน เจ้ากำลังทำให้ข้าโกรธ” กู่หยางหรี่ตาลง นัยน์ตาแผ่รังสีสังหารออกมาอย่างรุนแรง

 

 

 

 

 

 

 

 

“แล้วเป็นอย่างไรเล่า? หากเจ้าคิดไม่ตกก็เดินไปทางด้านหลังของผู้อาวุโสซุน แล้วใช้ศีรษะกระแทกกับระฆังใหญ่นั้นแล้วตายไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย จะได้ไม่ต้องรับฟังวาจาถากถางของผู้อื่น ข้าว่าเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยเลยนะ” หลงเฉินกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ระฆังใหญ่

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางกำหมัดทั้งสองข้างจนแน่น เขารู้สึกว่าความอัดอั้นที่อยู่ภายในอกกำลังจะระเบิดออกมา เสียงตะโกนดังสนั่นหวั่นไหว พลังอักขระทั่วทั้งร่างเกิดการเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุดประดุจแมลงนับพันกำลังไต่ตอมอยู่

 

 

 

 

 

 

 

 

“เขาสามารถกระตุ้นพลังเสริมจากสายโลหิตได้แล้วอย่างนั้นหรือ”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ไม่อยากเชื่อเลยว่ากู่หยางจะฝึกฝนจนสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลสูงล้ำขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

นอกจากสามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลให้ตื่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วแล้ว กู่หยางยังสามารถผนึกตัวเองให้เข้ากับพลังนั้นได้จนสามารถหยิบยืมพลังจากสัญลักษณ์ออกมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์ นั่นจึงเรียกว่าพลังเสริมจากสายโลหิตนั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

พลังเสริมจากสายโลหิตนั้นเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาลับที่ผู้คนภายในสายโลหิตเดียวกันได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เป็นการเผาผลาญโลหิตบริสุทธิ์ส่วนหนึ่งภายในร่างกายเพื่อใช้หนุนเสริมพลังการต่อสู้ของตัวเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

“กู่หยางช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก” ถังหว่านเอ๋อหันไปมองเยี่ยจื่อชิวด้วยความตื่นตระหนก

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต”

 

 

 

 

 

 

 

 

พลังอักขระปะทุขึ้นมาอย่างเข้มข้นราวกับได้ปกคลุมไปทุกอณูของร่างกาย ผู้คนมองไปที่ร่างกายของกู่หยางด้วยอาการหวาดหวั่นภายในจิตใจ บ้างก็รู้สึกคันไปตามเนื้อตัวเมื่อเห็นว่าบนร่างกายกำยำนั้นคล้ายกับมีแมลงตัวเล็กมากมายปีนป่ายอย่างวุ่นวาย

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้แต่ศิษย์พี่ที่กำลังดูศึกการต่อสู้อยู่ในที่ที่ห่างไกลออกไปยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล “กู่หยางผู้นี้เป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริงไปแล้ว” ศิษย์พี่ผู้คุมกฎคนหนึ่งมองไปที่กู่หยางแล้วกล่าวพึมพำขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

เพราะในขณะที่พวกเขายังเป็นเด็กใหม่ เหล่าศิษย์สายตรงในรุ่นนั้นก็ไม่ได้น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดสามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้เลยแม้แต่คนเดียว ฉะนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงผู้มีพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาดอย่างกู่หยางเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนทั่วทั้งสนามต่างก็ทอประกายแววตาเจิดจ้ามองปี่ยอดฝีมือทั้งสองคนนั้นด้วยอาการตกตะลึง การปรากฏตัวของหลงเฉินเรียกได้ว่าพลิกผืนฟ้าสะท้านแผ่นดินมากแล้ว ทว่ากู่หยางในขณะนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมากนัก ทำให้พวกเขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน พวกเราจะช่วยเจ้าเอง”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิววิ่งเข้ามาหยุดอยู่ข้างกายของหลงเฉิน พร้อมกับระเบิดพลังสภาวะทั้งหมดออกมาเพื่อเตรียมพร้อมรับการโจมตี เพราะว่าพวกนางเป็นคนที่ทราบถึงความน่ากลัวของกู่หยางได้อย่างลึกซึ้งที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่จำเป็น มีบางเรื่องที่ควรลงมือด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น——การล้างแค้น” หลงเฉินยิ้มให้ถังหว่านเอ๋อแล้วตอบกลับไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ดวงตาคู่งามจ้องเข้าไปที่ประกายแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความจริงจังของหลงเฉิน ทันใดนั้นก็เข้าใจขึ้นมาได้ทันทีว่าหลงเฉินต้องการที่จะแก้แค้นให้พวกพ้องของเขาเพื่อลบล้างความอับอายที่ทุกคนเคยได้รับมาส่งกลับคืนให้กู่หยางอย่างสาสม

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าภายในจิตใจคิดอยากจะห้ามปราม ทว่าสุดท้ายแล้วนางก็ได้แต่พยักหน้าน้อยๆ แล้วถอยร่นออกไปช้าๆ เพราะนางทราบดีว่าหลงเฉินสามารถแยกแยะได้ว่าสมควรจะใช้ความโหดเ**้ยมกับผู้ใด

 

 

 

 

 

 

 

 

เยี่ยจื่อชิวมองไปยังหลงเฉินด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทว่าก็ค่อยๆ ถอยออกมาพร้อมกับถังหว่านเอ๋อด้วยเช่นกัน หลงเหลือแค่หลงเฉินยืนประจันหน้ากับกู่หยางแต่เพียงผู้เดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

สายตาคู่งามทั้งสองมองไปยังแผ่นหลังที่ไม่ได้ใหญ่โตหรือกำยำมากนัก ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงสภาวะเย้ยหยันอย่างชัดเจน ภายใต้ผืนฟ้าแห่งนี้คงจะไม่มีผู้ใดแล้วที่จะสามารถต้านทานคนผู้นี้เอาไว้ได้ เขามีทั้งความเก่งกาจ ความฮึกเหิม อีกทั้งยังไม่เห็นทุกสิ่งอย่างอยู่ในสายตามาตั้งแต่เกิด

 

 

 

 

 

 

 

 

“ซูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

บรรยากาศทั้งผืนฟ้าเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง อักขระบนร่างกายของกู่หยางยังคงเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุดและยิ่งทวีความเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขาได้เข้าสู่ขอบเขตที่น่าหวาดกลัวชนิดหนึ่งไปแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน ข้าบอกเจ้าไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ หากเจ้าขวางทางข้า ข้าจะบดขยี้เจ้าให้กลายเป็นเนื้อบดด้วยพลังของข้าเอง ในเมื่อพูดแล้วก็ย่อมต้องจะทำให้ได้”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่กู่หยางเบิกพลังเสริมจากสายโลหิตขึ้นมา จู่จู่น้ำเสียงของเขาก็แหบพร่าลง ให้ความรู้สึกที่จมดิงสู่ท้องมหาสมุทรสุดลึกล้ำ

 

 

 

 

 

 

 

 

“จงรับความตายไปดื่มด่ำซะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางคำรามเสียงดังกังวาน ผืนดินที่เหยียบย่ำอยู่เกิดการสั่นสะเทือนเลือนลั่นจนไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ เงาร่างใหญ่วิ่งตะบึงเข้าหาหลงเฉินในทันที

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset