เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 212 กำปั้นของเจ้ายังแกร่งไม่พอ

คมหมัดของกู่หยางหอบสายลมพวยพุ่งไปด้านหน้า อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความแค้นอันแรงกล้า สภาวะอากาศโดยรอบกระเพื่อมไปมาอย่างว้าวุ่น เพียงพริบตาก็สามารถปิดทางหลบหนีของหลงเฉินไปจนหมดสิ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตายซะเถิด”

 

 

 

 

 

 

 

 

ใบหน้าขาวซีดทอสีหน้าดุร้ายขึ้นมา กำปั้นของหนึ่งผนึกพลังทั้งหมดเอาไว้ พลังเสริมจากสายโลหิตเพิ่มพูนสูงขึ้นจนน่าหวาดกลัว

 

 

 

 

 

 

 

 

‘นี่คิดจะตัดสินผลแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียวเลยอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นย่อมได้ เข้ามา!’

 

 

 

 

 

 

 

 

อาวุธกระดูกชี้ขึ้นสู่ท้องนภาสีฟ้าคราม จุดดารากักวายุไหลเวียนพลังทั้งหมดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง พลังลมปราณที่ดูดกลืนเข้ามาถูกผนึกรวมกันไว้บนอาวุธกระดูก

 

 

 

 

 

 

 

 

“เบิกสวรรค์”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินส่งเสียงทุ้มต่ำ อาวุธกระดูกในมือเกิดการสั่นไหวคล้ายกับพยัคฆ์ร้ายกำลังร้องคำรามออกมา ประกายแสงจากอาวุธกระดูกตัดผ่านอากาศไปยังกู่หยางอย่างหนักหน่วง

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อคมหมัดอันแกร่งกล้าปะทะกับอาวุธกระดูกอันแข็งแกร่ง ทั่วทั้งผืนฟ้าก็เกิดประกายแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมา พลังอันน่าหวาดกลัวกระจายตัวออกจากท่ามกลางเงาร่างของยอดฝีมือทั้งสองประดุจคลื่นมหาสมุทรโหมกระหน่ำ

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

แรงระเบิดทลายสภาวะอากาศออกเป็นระลอกคลื่น เพียงพริบตาเดียวก็ปกคลุมพื้นที่โดยรอบไปไกลถึงสิบลี้ ผืนดินถูกทำลายลงจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ ผู้คนมากมายราวกับถูกดูดกลืนเข้าไปภายในวังวนอันมหึมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตึง”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้นมา นั่นเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดศึกการต่อสู้จัดอันดับครั้งที่สาม ทว่าในขณะนี้ไม่ว่าผู้ใดจะได้กำชัยชนะหรือฝ่ายใดที่จะต้องพ่ายแพ้ไป ต่างก็ไม่มีผู้ใดยินดีหรือเศร้าโศกขึ้นมา ดวงตาทุกคู่เพียงแต่จดจ้องไปที่ฉากเบื้องหน้าอย่างใจจดใจจ่อเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อฝุ่นควันเริ่มเจือจาง เงาร่างของหลงเฉินที่กำลังถืออาวุธกระดูกเอาไว้นั้นก็ปรากฏขึ้นมา ใบหน้าของเขาซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด หน้าอกกระเพื่อมไปตามการหอบหายใจอย่างรุนแรง

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นอีกฟากหนึ่งก็มีเงาร่างกำยำกำลังยันตัวลุกขึ้นมาจากพื้น มุมปากมีสายโลหิตไหลรินออกมา กู่หยางทอสีหน้าว้าวุ่นมองไปทางหลงเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ แขนข้างหนึ่งได้หายไปจากร่างกายของเขาแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“คิดจะบดขยี้ข้าให้เป็นเนื้อบดนั้น เกรงว่ากำปั้นของเจ้ายังแกร่งไม่พอสินะ” หลงเฉินส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาในทันที พลันก็อ้าปากคล้ายกับจะกล่าวบางอย่างออกมา ทว่ากลับกระอักโลหิตแทน จากนั้นร่างกายกำยำก็ล้มลงไปกับพื้น สติก็ได้หลุดลอยไปในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

กระบวนท่าสุดท้ายที่หลงเฉินใช้ออกมานั้นเป็นพลังที่ไหลเวียนขึ้นมาจนถึงขีดสุด ทำให้เขาสามารถปลดปล่อยพลังทำลายของเบิกสวรรค์ขั้นสูงสุดขึ้นมาได้ ทว่ากู่หยางก็ยังต้านทานกระบวนท่าที่น่าหวาดกลัวนี้ไว้ได้ ถึงแม้ว่าร่างกายจะได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสก็ตามที นั่นก็คือว่ายอดฝีมือผู้นี้ก็แข็งแกร่งอยู่ไม่น้อยเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่หลงเฉินได้เพิ่มพูนพลังการฝึกยุทธ์ขึ้นมาก็สัมผัสได้นว่าพลังทำลายของเบิกสวรรค์น่าหวาดกลัวขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ทราบเลยว่าเบิกสวรรค์นั้นเป็นทักษะยุทธ์ระดับใด ทว่าตอนนี้ได้ประจักษ์อยู่ส่วนหนึ่งแล้วว่าย่อมต้องเป็นทักษะยุทธ์ที่ทำให้ผู้คนแตกตื่นได้เป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นว่ากู่หยางสลบไปแล้ว หลงเฉินก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ในที่สุดก็ได้ระบายความแค้นที่คลาแคลงใจออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ในขณะที่กำลังจะเก็บอาวุธกระดูกกลับเข้าไปนั้น จู่จู่เขาก็รู้สึกว่าฟ้ากำลังหมุนแผ่นดินกำลังพลิก ร่างกายอ่อนล้าจนไม่อาจหยัดยืนอยู่ได้

 

 

 

 

 

 

 

 

มืออันขาวผ่องยื่นเข้ามารับร่างของหลงเฉินเอาไว้ กลิ่นหอมหวนโชยพัดเข้ามากระทบใบหน้าของชายหนุ่ม ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง คงจะปลอดภัยแล้วสินะ จากนั้นหลงเฉินก็หลับไปด้วยความเหนื่อยล้าเสียเต็มประดา

 

 

 

 

 

 

 

ดวงตาคู่งามมองไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าของหลงเฉิน ภายในจิตใจก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นมา ตลอดทางที่กลับมาจากสุสานของผู้ถูกเนรเทศ เขาคงจะได้พบเจอกับอันตรายที่มากมายเกินกว่าผู้คนได้พบเจอมาทั้งชีวิตเป็นแน่

 

 

 

 

 

 

 

 

“ฮาฮา ชนะแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

เสียงดังเซ็งแซ่ด้วยความยินดีปรีดาดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนาม ผู้คนมากมายโอบกอดกันแล้วตะโกนร้องขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้กระโดดโลดเต้นอย่างลิงโลดขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อลูบที่ใบหน้าอันขาวซีดของหลงเฉินเบาๆ ใบหน้าที่ทั้งเปื้อนฝุ่นและหยาบกร้านเป็นอย่างยิ่ง ทว่าสิ่งที่นางเห็นกลับเป็นความแข็งแกร่งและความอดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่างของชายหนุ่มผู้นี้ สองเดือนที่ไม่ได้พบเจอกัน หลงเฉินได้เติบใหญ่ขึ้นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าตัวบัดซบ ไม่ว่าจะลำบากเพียงใด เจ้าก็ไม่เคยบอกให้ผู้ใดทราบเลยนะ” ทันทีที่กล่าวจบ หยาดน้ำตาใสก็เริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาคู่งามของถังหว่านเอ๋อ

 

 

 

 

 

 

 

 

เยี่ยจื่อชิวเดินเข้ามาแล้วโอบไปที่ไหล่ของถังหว่านเอ๋อเบาๆ แล้วกล่าวขึ้นมาว่า “กลับกันเถิด หลงเฉินต้องรีบพักผ่อนนะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อรีบพยักหน้าอย่างว่าง่าย จากนั้นเหล่าผู้คนภายในขุมกำลังก็เริ่มรายล้อมเข้ามาพร้อมกับเตียงเปล พลันก็อุ้มร่างอันไร้เรี่ยวแรงของหลงเฉินวางไว้บนเตียงเปลผืนนั้นแล้วยกออกไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อได้ทำการตรวจสอบภายในร่างกายของหลงเฉินแล้วก็พบเพียงพลังลมปราณที่เหือดแห้งไปจนหมดเท่านั้นซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดมากมายจึงให้ผู้คนหามยกกลับไปที่ถ้ำได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากนั้นเหล่าศิษย์ของศาลาการแพทย์ก็ปรากฏตัวขึ้น เริ่มต้นทำการรักษาให้กับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในทันที และพวกเขาก็พบว่ากู่หยาง เหร่ยเชียนซัง และชีซิ่งนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสมากที่สุด โดยเฉพาะเหร่ยเชียนซังและชีซิ่ง เพรากระดูกภายในร่างกายของพวกเขาเรียกได้ว่าแตกหักไปแทบจะทั้งหมด นับได้ว่าเป็นเรื่องที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก

 

 

 

 

 

 

 

 

นอกจากจะถูกโจมตีโดยหลงเฉินแล้วก็ยังต้องเผชิญหน้ากับผู้คนมากมายของพรรคฟ้าดินทำการลงมืออย่างบ้าคลั่งและไร้ซึ่งความปราณี ทั้งมือและเท้าต่อยเตะจนกระดูกหักเส้นเอ็นขาดสะบั้น อีกทั้งเมื่อผสมผสานเข้ากับความแค้นที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจของพวกเขาก็ยิ่งทวีความรุนแรงและน่าหวาดกลัวมากขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

หากมิได้หลงเฉินกล่าวเตือนสติเอาไว้ แน่นอนว่าพวกเขาคงจะถูกความโกรธแค้นเข้าครอบงำจนสูญเสียสติสัมปชัญญะไปอย่างหมดจดจนลงมือกับยอดฝีมือทั้งสองคนให้ตายทั้งเป็นไปแล้วก็เป็นได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าจะทุบตีโดยเลี่ยงจุดตายเอาไว้ ทว่าพวกเขาก็แทบจะไม่ปล่อยให้เหร่ยเชียนซังและชีซิ่งสลบไปแม้แต่ครั้งเดียว เพื่อจะให้คนผู้นั้นมองดูพวกเขาทำร้ายตัวเองต่อไปเรื่อยๆ แม้จะโกรธแค้นจนกระอักโลหิตออกมาก็ไม่อาจโต้ตอบกลับมาได้ ใบหน้าเช่นนั้นจึงทำให้พวกเขารู้สึกสะใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่เหร่ยเชียนซังและชีซิ่งถูกหามกลับไปยังศาลาการแพทย์ก็มีศิษย์พี่หญิงผู้หนึ่งพึมพำขึ้นมาว่าพวกเขาคงจะต้องสลบไปเช่นนั้นกว่าสิบวันเลยก็ว่าได้ จากนั้นร่างกำยำของกู่หยางและพวกพ้องก็ถูกพาออกไปจากสถานที่แห่งนั้นด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อถึงเวลาประกาศผล ผู้คนของพรรคฟ้าดินต่างก็เฮฮาขึ้นมายกใหญ่ เพราะขุมกำลังทั้งห้าของพวกเขาได้ขึ้นแท่นเป็นห้าอันดับแรกไปทั้งหมด

 

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนอันดับถัดจากนั้นลงมาก็เป็นกลุ่มของกวานเหวินหนาน ซึ่งขุมกำลังใดจะอยู่ลำดับใดนั้นก็แล้วแต่ว่าพวกเขาเองจะตกลงกันอย่างไร ก่อนที่กวานเหวินหนานจะจากไปพร้อมกับพวกพ้องของเขานั้น ดวงตาของเขาก็จับจ้องมาที่ผู้คนของพรรคฟ้าดินด้วยแววตาซับซ้อนอยู่ครู่หนึ่ง พลันก็นำพาผู้คนของเขาจากไปในที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ผู้รักษาของศาลาการแพทย์ปรากฏตัว ก็ได้สั่งให้นำผู้ที่บาดเจ็บหนักกลับไปยังศาลาการแพทย์ ส่วนผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บไม่มาก พวกเขาก็ได้ทำการรักษาจนหมดแล้วให้คนเหล่านั้นกลับไปพักผ่อนอีกสักสองสามวันก็จะเป็นปกติเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ศิษย์ของหมู่ตึกแยกย้ายจากกันไปก็ได้กลุ่มผู้คนหนึ่งเดินเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ พวกเขาไม่ใช่ศิษย์ของทางหมู่ตึก ทว่าพวกเขาต้องการทรัพยากรสำหรับการฝึกยุทธ์จึงได้รับงานของหมู่ตึก

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในแววตาของคนผู้หนึ่งเหม่อมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังรีบทำความสะอาดและฟื้นฟูสถานที่แห่งนั้น พลันก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยราวกับเพิ่งจะหวนนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่ได้หลงลืมไปแล้วขึ้นมาได้

 

 

 

 

 

 

 

 

“กระบวนท่าสุดท้ายของหลงเฉินช่างคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าไม่ว่าจะนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเคยได้เห็นมาจากที่ใด” หลิงหวินจื่อบ่นพึมพำกับตัวเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

“กระบวนท่าเมื่อครู่นี้น่าหวาดกลัวจนทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจอย่างถึงที่สุด คล้ายกับว่าหลงเฉินยังไม่ได้ดึงพลังทั้งหมดออกมาใช้ เพราะหากเป็นไปตามกฎของวิถีการฝึกยุทธ์แล้ว ยิ่งทักษะยุทธ์แข็งแกร่งมากเพียงใด หากผู้ใช้ไม่มีระดับการฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งพอก็ย่อมไม่อาจแสดงพลังของทักษะยุทธ์ออกมาได้ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าควบคุมไม่ได้ ทว่ากลับเป็นเพราะไม่อาจทนรับการสะท้อนของพลังมากกว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินใช้กระบวนท่านั้นออกมาได้ ทว่ากลับไม่อาจแสดงพลังที่แท้จริงของกระบวนท่านั้นออกมาได้อย่างหมดจด ความข้อนี้ช่างทำให้ข้าข้องใจเป็นอย่างยิ่ง” ถู่ฟางพยักหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

พวกเขาทั้งสองคนต่างก็เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดภายในหมู่ตึก อีกทั้งหลิงหวินจื่อก็เป็นถึงยอดฝีมือที่มีพลังการฝึกยุทธ์อยู่ในขอบเขตก่อฟ้าระดับตำนาน ทว่าแม้แต่เขาเองก็ยังไม่ทราบที่มาของกระบวนท่านี้ได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินตกอยู่ในสภาวะหลับใหลอย่างลึกล้ำภายในห้อหับของตัวเอง ในช่วงเวลาสองเดือนมานี้ช่างเป็นวันเวลาที่โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง การอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนั้นแทบจะไม่ต่างไปจากอาหารอันโอชะของเหล่าสัตว์มายาระดับสามเลย อีกทั้งยังสามารถตกเป็นเป้าหมายของสัตว์ร้ายเหล่านั้นได้ตลอดเวลา

 

 

 

 

 

 

 

 

นับตั้งแต่ที่เข้าไปภายในสุสานของผู้ถูกเนรเทศ เขาไม่เคยได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มและปลอดภัยเลยแม้แต่คืนเดียว โดยส่วนใหญ่แล้วก็ได้ใช้เวลาไปกับการเพิ่มพูนพลังฝีมืออย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดต่อไปได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ฉะนั้นตอนนี้เขาก็ได้สลบไปถึงสามวันสามคืนไปเต็มๆ จนเมื่อตื่นลืมตามาก็พบว่าร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก ภายในห้วงสมองปลอดโปร่งอย่างถึงที่สุด สภาวะร่างกายอยู่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเฉกเช่นเคย

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจึงลุกออกจากเตียงแล้วเดินออกมาจากห้อง ที่เบื้องหน้าสายตาของเขาก็พบกับชิงยวูและถังหว่านเอ๋อกำลังนั่งสมาธิกันอยู่ ในขณะที่กำลังจะเดินออกไปจากโถงใหญ่นั้น หญิงสาวทั้งสองคนก็ลืมตาขึ้นมาในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

“ต้องขออภัยด้วยที่ข้าเปิดประตูเสียงดังจนรบกวนพวกเจ้า” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าวด้วยท่าทีขวยเขิน

 

 

 

 

 

 

 

 

“พวกเราเพียงฝึกสมาธิรอคอยเจ้าตื่นขึ้นมาเท่านั้น มาเถิด นั่งลงก่อน ชิงยวูเจี่ยเจี่ยได้เตรียมอาหารเอาไว้ให้เจ้าแล้ว นางบอกว่าอาหารเหล่านั้นจะช่วยบำรุงร่างกายของเจ้าได้เป็นอย่างดี” ถังหว่านเอ๋อกล่าวแล้วดึงหลงเฉินให้นั่งลง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าชิงยวูเจี่ยเจี่ยทำอาหารเป็นด้วย?” หลงเฉินเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

“หึหึ เช่นนั้นก็ควรรู้เอาไว้ว่าฝีมือการทำอาหารของชิงยวูเจี่ยเจี่ยนั้นเรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งในหมู่มวลมนุษย์ เพียงแต่ไม่เคยเปิดเผยให้ผู้อื่นทราบก็เท่านั้น ในครั้งนี้นางเห็นว่าเจ้าได้ทุ่มเทแรงกายเพื่อช่วยเหลือพวกเราทั้งหมดเอาไว้ นางจึงเข้าครัวด้วยตัวเอง” ถังหว่านเอ๋อยิ้มแล้วกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

ชิงยวูยิ้มแล้วหันกายเดินออกไปทางห้องครัว เมื่อฉุดให้หลงเฉินนั่งได้แล้ว ถังหว่านเอ๋อก็เอาแต่จ้องมองไปที่เขา ไม่คิดที่จะกล่าววาจาใดออกมา คล้ายกับว่าได้จ้องมองหลงเฉินอยู่เช่นนี้ก็ทำให้จิตใจของนางเบิกบานเป็นอย่างยิ่งแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“สาวงาม เจ้ามองข้าด้วยสายตาหวานชื่นเช่นนั้นแสดงว่าพร้อมที่จะสละเรือนร่างของเจ้าให้ข้าแล้วอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“สละเรือนร่างบ้านเจ้าสิ” ถังหว่านเอ๋อจ้องเขม็งไปที่หลงเฉินแล้วด่าทอขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เหตุใดเจ้าถึงได้ปลิ้นปล่อนถึงเพียงนี้นะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

นอกจากเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูแล้ว อารมณ์โดยส่วนใหญ่ของหลงเฉินก็แทบจะไม่ปกติเลย พูดขึ้นมาไม่กี่คำก็กลับกลอกหยอกล้อผู้อื่นไปเสียได้จึงทำให้ถังหว่านเอ๋อมีโทสะขึ้นมา ในครั้งใดที่อยากจะสนทนากับเขาดีๆ บ้างก็แทบจะหาไม่ได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

 

“แล้วเจ้าชมชอบข้าที่เป็นอย่างไรกัน?” หลงเฉินหัวเราะแล้วถามออกไป

 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้าชอบตอนที่……เจ้าตัวบัดซบ ผู้ใดชมชอบเจ้ากัน ไร้ยางอายที่สุด!” ถังหว่านเอ๋อมีโทสะขึ้นมายกใหญ่

 

 

 

 

 

 

 

 

ดวงตาคู่คมมองไปที่ใบหน้าบึ้งตึงของสาวงาม ริมฝีปากบางกล่าวด่าทอออกมาไม่หยุด พลันก็นึกคิดขึ้นมาว่าไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใดที่เขารู้สึกชื่นชอบท่าทีเช่นนี้ของนาง นี่เขาเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไรกัน?

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นชิงยวูก็เดินกลับมาพร้อมกับอาหารที่ส่งกลิ่นหอมและไอร้อนครุกรุ่นหลายสิบอย่างจนทำให้หลงเฉินตกอยู่ในภวังค์ไปได้ชั่วครู่หนึ่ง หลังจากที่อาหารเลิศรสถูกจัดวางไว้บนโต๊ะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท้องของหลงเฉินก็เริ่มส่งเสียงกรีดขึ้นมาประดุจฟ้าคำรน

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อและชิงยวูจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งจนหลงเฉินต้องรีบกล่าวขึ้นมาอย่างเคอะเขินว่า “สองเดือนมานี้ ข้าได้กินแต่เนื้อของสัตว์มายาเท่านั้น จึงรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง หึหึ พอได้เห็นอาหารปกติก็รู้สึกหิวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด”

 

 

 

 

 

 

 

 

ชิงยวูหยุดหัวเราะแล้วกล่าวว่า “หลงเฉิน ในครั้งนี้เจ้าคงจะลำบากมากเลยนะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันทีที่ชิงยวูกล่าวจบ จู่จู่ถังหว่านเอ๋อก็ทอแววตาแดงก่ำขึ้นมา จนหลงเฉินต้องรีบตอบกลับไปว่า “ไม่ลำบาก ไม่ลำบาก ก็แค่การเดินทางใหม่เท่านั้น มา รีบกินข้าวกันเถิด ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่กล่าวจบ หลงเฉินก็รีบคีบผักที่อยู่ตรงหน้าเข้าปากไปทันที แววตาทอประกายเจิดจ้าขึ้นมาราวกับกำลังลอยละล่องขึ้นสู่สรวงสวรรค์ จากนั้นเขาก็คีบอาหารบนโต๊ะไม่หยุด ฝีปากบดเคี้ยวอาหารอย่างบ้าคลั่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ฝีมือการทำอาหารของชิงยวูเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่งจนเขาอดใจไม่ไหวจึงต้องรีบทานอย่างรวดเร็ว จึงสำลักออกมาอยู่หลายครั้งด้วยกัน หญิงสาวทั้งสองคนมองไปที่หลงเฉินด้วยจิตใจที่เบิกบาน พลันก็คีบอาหารเข้าปากของตัวเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่อาหารนับสิบอย่างถูกฟาดจนเรียบ หลงเฉินก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาอัดแน่นไปด้วยอาหารเหล่านั้น เพียงแค่อ้าปากก็แทบจะสำรอกอาหารออกมา ทว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขาได้กินจนอิ่มหนำสำราญ

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินตบไปที่หนังท้องที่เต่งตึงของตัวเอง แล้วหันไปมองถังหว่านเอ๋อที่กำลังทอแววตาซาบซึ้งมาให้ “คุณหนูหว่านเอ๋อ ข้าจะพาเจ้าไปทำเรื่องที่สุขสันต์กันเสียหน่อย” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าววาจาที่ทำให้ผู้คนคิดลึก

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset