เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 219 พรรคฟ้าดินรวมเป็นหนึ่ง

ก่อนที่หลงเฉินจะเดินจากไปก็ได้ฝากหนึ่งฝ่ามือไว้บนใบหน้าของชีซิ่งหนึ่งฉาด จากนั้นก็จับไปที่ผมของชีซิ่งแล้วเดินไปหยิบอาวุธกระดูกมุ่งหน้าออกจากสถานที่แห่งนั้นไป ส่วนอาหมานก็รีบเก็บเขี้ยวหมาป่าขนาดมหึมาไว้บนแผ่นหลังแล้วเร่งฝีเท้าติดตามหลงเฉินไปในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเงาร่างของผู้แข็งแกร่งทั้งสองสายลับหายไปจากสายตาของผู้คน สถานที่แห่งนั้นก็ยังคงอยู่ในสภาวะเงียบสงบประดุจป่าช้า ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจาอันใดขึ้นมา แม้แต่คิดที่จะถอนหายใจก็ยังไม่กล้าพอ

 

 

 

 

 

 

 

 

เพราะนับตั้งแต่ที่หลงเฉินกลับมาจากดินแดนรกร้างศิลาวาย เขาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งความแข็งแกร่งและความรุนแรงของรังสีสังหารที่แผ่ออกมา ให้ความรู้สึกราวกับเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งสวรรค์ลงมาจุติ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ลงมือต่อผู้คนอย่างเด็ดขาดและเ**้ยมโหดจนถึงขั้นแตกหัก

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินเป็นยอดฝีมือที่มีความองอาจ กล้าหาญ และมีความเป็นผู้นำ หากผู้ใดได้มาเห็นภาพของเขาที่มือข้างหนึ่งถืออาวุธกระดูก และมืออีกข้างหนึ่งดึงศีรษะของชีซิ่งที่สลบเหมือดลากไปตามพื้น แน่นอนว่าคนผู้นั้นจะต้องจดจำได้ดีอย่างไม่มีวันลืมเลือนเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

ก่อนหน้านี้ชีซิ่งได้เชิญชวนให้กู่หยางและเหร่ยเชียนซังมาดื่มสุราร่วมกันเพื่อที่จะบอกกล่าวต่อแผนการของตัวเอง เขานั้นทราบมาจากผู้คนภายในขุมกำลังที่ออกไปทำภารกิจมาว่าเห็นเสี่ยวเสว่ยอยู่ละแวกนี้ ทว่านานๆ ทีจะได้เจอสักครั้งหนึ่ง อีกทั้งยังไม่เคยลงมือต่อผู้คนที่ผ่านไปมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนนั้นชีซิ่งก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะหันเหเป้าหมายไปทางเสี่ยวเสว่ยเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากหลงเฉินได้ถูกเนรเทศไปจากหมู่ตึกแล้วจึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องไปหาเรื่องกับราชาในหมู่สัตว์มายาระดับสาม

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าหลังจากที่หลงเฉินกลับมา พวกเขาก็ได้พ่ายแพ้ในศึกครั้งที่สามอย่างย่อยยับ เรียกได้ว่าน่าขายหน้าต่อผู้คนมากมายเป็นอย่างยิ่ง จนเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ชีซิ่งก็นึกถึงเสี่ยวเสว่ยเป็นอันดับแรก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อาจจัดการเสี่ยวเสว่ยได้ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะจัดการไม่ได้ พลันก็มีความคิดที่ว่าหลงเฉินเคยมีปัญหากับศิษย์พี่หวู่ฉีมาก่อน

 

 

 

 

 

 

 

 

ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบไปบอกต่อหวู่ฉีว่าหมาป่าหิมะแดงเพลิงของหลงเฉินอาศัยอยู่นอกหมู่ตึก จากนั้นหวู่ฉีก็ได้นำพี่น้องของตัวเองอีกสองคนติดตามออกไปด้วย ทว่าหวู่ฉีกลับประเมินพลังการต่อสู้ของเสี่ยวเสว่ยต่ำไปจึงทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บกลับมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าชีซิ่งก็ไม่ได้รู้สึกร้อนรนแต่อย่างใด ในเมื่อแผนการของเขาได้บรรลุเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็แค่รอเวลาที่หลงเฉินจะออกตามหาเสี่ยวเสว่ย จากนั้นก็มุ่งเป้าไปที่หวู่ฉีจนเกิดศึกการต่อสู้อันคึกคักให้ได้รับชม ทว่าในขณะนี้กลับถูกหลงเฉินมาเยือนถึงที่จนตัวเองถูกทุบตีจนเกือบจะพิการไปเสียได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ทั่วทุกหนแห่งภายในที่พักอาศัยของขุมกำลังตกอยู่ในสภาวะเงียบสงัด ผู้คนมากมายสบตากันไปมาโดยไม่ทราบว่าสมควรจะทำอย่างไรกันต่อไปดี จะไปก็ไม่ได้ จะอยู่ต่อก็คงจะสุ่มเสี่ยงเกินไป

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางที่นั่งพิงผนังถ้ำก็ค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นมาแล้วขานออกไปว่า “พวกเจ้าทั้งหมดกลับไปพักกันก่อนเถิด”

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางเองก็ไม่รู้จะบอกกล่าวออกไปอย่างไรดี ภายในจิตใจก็ทราบดีว่าผู้คนเหล่านั้นคงจะต้องจากไปในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ผู้นำของผู้คนมากมายถูกทุบตีจนกลายเป็นสุนัขจนตรอกไปทั้งสามคน แล้วเช่นนี้ขุมกำลังของพวกเขาจะมีหน้าไปสู้กับผู้ใดได้อีก และที่สำคัญก็คือชีซิ่งได้ไปกระทำการเย้ยหยันต่อหลงเฉินมากจนเกินไป แม้แต่พวกเขาเองยังหวาดผวากับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น แน่นอนว่าหลงเฉินคงไม่ปล่อยให้ชีซิ่งหลุดรอดไปอย่างปลอดภัย

 

 

 

 

 

 

 

 

บุคคลที่กลับมาจากดินแดนรกร้างศิลาวายได้อย่างปลอดภัยจนสามารถลบล้างประวัติศาสตร์ของทางหมู่ตึกได้ แล้วชีซิ่งเก่งกาจมาจากที่ใดกันถึงได้กล้าวางแผนตลบหลังคนผู้นี้ นี่เป็นการกระทำที่ไม่ต่างไปจากการหาที่ตายเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อหลงเฉินปรากฏตัวพร้อมกับพลังฝีมือที่แกร่งกล้าเสียยิ่งกว่าเดิม ผนวกกับมีขุมกำลังอันแข็งแกร่งทั้งห้าคอยสนับสนุนอยู่และผูกมัดกันเป็นพันธมิตรของพรรคฟ้าดินอีก ฉะนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องพวกเขาเหล่านั้น ต่อให้เป็นคนตาบอดก็ยังทราบได้ทันทีว่าไม่ควรแส่หาเรื่อง

 

 

 

 

 

 

 

 

ในเมื่อขุมกำลังทั้งห้าของพรรคฟ้าดินได้ครองห้าอันดับแรกไปแล้ว อันดับต่อมาก็เป็นกลุ่มของกวานเหวินหนานที่เอาตัวรอดมาเป็นอย่างดีโดยตลอด ขอเพียงไม่เปิดตัวว่าเป็นปรปักษ์กับฝ่ายใด แน่นอนว่าขุมกำลังของกวานเหวินหนานคงจะอยู่อย่างสลบสุขอย่างถึงที่สุดแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

หึหึ ส่วนขุมกำลังที่เคยยิ่งใหญ่มาถึงสองครั้งของพวกเขานั้นจะเป็นอย่างไรไปได้ หากหลงเฉินยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาคงจะไม่ได้ชะโงกศีรษะขึ้นมาหายใจอีกเลย

 

 

 

 

 

 

 

ในเมื่อไม่เห็นหนทางที่จุอยู่รอดอีกต่อไป พวกเขาก็ควรจะถอนตัวออกจากขุมกำลังไปเสียตอนนี้คงจะดีกว่า ต่อให้ไม่ได้เข้าร่วมกับขุมกำลังใดก็ยังสามารถรับภารกิจมาทำได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผลตอบแทนมากเท่ากับตอนที่อยู่กับขุมกำลัง ทว่าอย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นศัตรูกับหลงเฉิน

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเบื้องหน้าสายตาของกู่หยางไร้ซึ่งวี่แววของผู้คนแล้ว เขาก็กลืนโอสถระงับอาการเจ็บปวดลงไปหนึ่งเม็ดแล้วถอนหายใจอย่างอดสูออกมาคำหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

เดิมทีหลงเฉินก็เป็นยอดฝีมือที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว ทว่าในขณะนี้กลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดในหมู่ของสัตว์ประหลาดไปแล้ว ฉะนั้นพวกเขาคงจะไม่หลงเหลือความหวังที่จะได้รับชัยชนะอีกต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในจิตใจของเขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาไม่น้อย หากใช้เพียงแค่พลังยุทธ์ของตัวเองทำการโค่นล้มกลุ่มของถังหว่านเอ๋อและพวกพ้องจนทำให้พวกนางยอมสยบทั้งกายและใจแล้วเข้าร่วมขุมกำลังของเขาก็คงจะดีเสียกว่า ลงมือด้วยวิธีที่ต่ำช้าภายใต้การปลุกระดมของชีซิ่ง ขณะนี้พวกเขาคงจะไม่ต้องอยู่ในสภาพอเนจอนาถเช่นนี้อย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” กู่หยางเดินไปหยุดอยู่ที่ร่างของเหร่ยเชียนซัง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้าได้รับพิษจากพลังแห่งอัสนีบาต เกรงว่าคงจะต้องพักรักษาตัวสักพักใหญ่” เหร่ยเชียนซังตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น

 

 

 

 

 

 

 

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางเอ่ยถามออกไปด้วยอาการแตกตื่นยกใหญ่ เขาทราบดีว่าเหร่ยเชียนซังเป็นศิษย์สายตรงที่มีพลังการต่อสู้แข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าเขาเลย ทว่าเหตุใดเหร่ยเชียนซังถึงได้รับพิษจากพลังแห่งอัสนีบาตของตัวเองได้ เพราะว่าเขานั้นเป็นถึงผู้ฝึกฝนวิชาอัสนีของตระกูลเชียวนะ

 

 

 

 

 

 

 

 

เหร่ยเชียนซังฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “เป็นความจริง ข้าไม่ทราบว่าหลงเฉินครอบครองพลังแห่งอัสนีบาตรได้อย่างไร ทว่านั่นเป็นพลังที่รุนแรงเสียยิ่งกว่าพลังของข้ามาก เพียงคมหมัดเดียวก็สามารถทำลายอาวุธอัสนีของข้าไปได้อย่างง่ายดายแล้ว อีกทั้งยังรุนแรงจนทำให้ข้าต้องพิษของตัวเองเข้าไป”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ในเมื่อไม่บาดเจ็บมากนักก็กินโอสถระงับอาการบาดเจ็บชั่วคราวไปก่อน เพราะว่าหลงเฉินคงจะไม่ยอมเลิกราไปโดยง่ายอย่างแน่นอน และมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะไปหาผู้คุมกฎเหล่านั้น ฉะนั้นพวกเราเองก็ควรจะไปชมความคึกครื้นนั้นเสียหน่อยเถิด”

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางกล่าวแล้วถอนหายใจออกมา แขนทั้งสองข้างของเขาห้อยอยู่ข้างกายเพราะถูกเขี้ยวหมาป่าของอาหมานทำลายจนกระดูกแตกหักยับเยิน ความเป็นจริงแล้วเขาควรที่จะรีบไปรับการรักษาที่ศาลาการแพทย์ ทว่าภายในห้วงสมองของเขากลับไม่ต้องการที่จะพลาดฉากการล้างแค้นของหลงเฉินไปแม้แต่เสี้ยวเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

เนื่องจากว่าเมื่อครู่นี้เขาสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารอันแรงกล้าของหลงเฉินที่น่าหวาดกลัวกว่าครั้งไหนๆ ความรู้สึกของเขาจึงย้ำเตือนกับตัวเองว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่ที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง เหร่ยเชียนซังจึงพยักหน้าน้อยๆ แล้วได้กลืนโอสถลงไป จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอกพร้อมกับกู่หยาง

 

 

 

 

 

 

 

 

……

 

 

 

 

 

 

 

 

บัดนี้ขุมกำลังทั้งห้าของพรรคฟ้าดินต่างก็อยู่รวมกันที่บริเวณลานกว้างพลิกสวรรค์ทั้งหมดแล้ว แต่ละคนเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์มาครบชุดหมายมั่นที่จะมาระบายความแค้นเคืองอีกครั้ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“หว่านเอ๋อ หลงเฉินพูดเช่นนั้นจริงหรือ? ข้าว่าพวกเราเข้าไปช่วยเขากันเถิด เพราะถึงอย่างไรที่นั่นก็เป็นอาณาเขตของชีซิ่ง ข้าเกรงว่าหลงเฉินจะไม่อาจรับมือได้ทั้งหมด” เยี่ยจื่อชิวกล่าวอย่างเป็นกังวล

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉินไม่ได้ไปคนเดียว เขาได้พาพี่น้องของเขาไปด้วยอีกคนหนึ่ง” ถังหว่านเอ๋อกล่าวพร้อมกับนึกภาพของอาหมานที่มีร่างกายใหญ่โตขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าอาหมานจะดูใสซื่อและนอบน้อม ทว่าบนร่างกายของเขากลับมีพลังมหาศาลแผ่ซ่านออกมาจนทำให้นางรู้สึกหายใจลำบากเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ฉะนั้นเมื่อหลงเฉินเดินทางออกไปกับยอดฝีมือที่น่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดผู้นี้ย่อมไม่มีอันตรายอันใดเกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างแน่นอน บุคคลที่ควรจะเป็นห่วงมากที่สุดสมควรที่จะเป็นชีซิ่งต่างหาก

 

 

 

 

 

 

 

 

“ชีซิ่งช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก สมกับเป็นเศษสวะจริงๆ ครั้งแรกก็ส่งสายลับเข้าไปยังขุมกำลังของผู้อื่น ส่วนครั้งที่สองก็แอบลอบไปลงมือต่อผู้คนจนกระดูกหักเส้นเอ็นขาดแล้วแย่งธงไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าครั้งนี้ได้ถูกหลงเฉินจัดการอย่างเปิดเผยจนพ่ายแพ้ราบคาบ เป็นที่หน้าอับอายของผู้คนจนคิดทำเรื่องที่อำมหิตได้ลงคอ หากข้าเป็นหลงเฉินคงจะฟาดเขาให้ตายคาฝ่ามือไปแน่นอน” โหลวฉางกล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันทีที่โหลวฉางกล่าวจบ เขาก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างได้เปลี่ยนเป็นความประหลาดชนิดหนึ่งขึ้นมา พลันก็กวาดสายตามองไปที่ซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี เยี่ยจื่อชิว และถังหว่านเอ๋อที่กำลังจ้องมาที่เขาด้วยสายตาโง่งม

 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้ากล่าวประโยคใดผิดไปอย่างนั้นหรือ?” โหลวฉางถามขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วน

 

 

 

 

 

 

 

 

ซ่งหมิงเหยียนจึงรีบส่ายหน้าไปมา ทอสีหน้าเป็นกังวลแล้วตอบกลับไปว่า “แม้แต่เจ้ายังอยากจะฟาดชีซิ่งให้ตายคามือ แล้วหลงเฉินในตอนนี้จะสามารถอดกลั้นความแค้นเคืองเหล่านั้นเอาไว้ได้อย่างไรกันเล่า?”

 

 

 

 

 

 

 

โหลวฉางสะดุ้งตัวโยนขึ้นมาแล้วกล่าวอย่างร้อนรนว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าเกรงว่าชีซิ่งคงจะถูกตัดศีรษะด้วยดาบเดียวแล้วจับมาทำเป็นเก้าอี้อย่างแน่นอน ไม่ได้ พวกเราต้องรีบไปห้ามปรามเขาเอาไว้”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อส่ายหน้าอย่างหมดอาลัยตายอยากแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “อย่าเลย หลงเฉินออกไปได้กว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ต่อให้พวกเราไปตอนนี้ก็คงจะไม่ทันการณ์”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันทีที่ถังหว่านเอ๋อกล่าวจบก็ไม่มีผู้ใดคิดที่จะกล่าวอันใดออกมาอีก บรรยากาศการสนทนาจึงเข้าสู่ความเงียบงันที่แฝงความหวาดหวั่นเอาไว้ ครั้งก่อนหลงเฉินก็ได้สังหารศิษย์สายนอกไปแล้วห้าคนจนต้องถูกเนรเทศออกไปที่ดินแดนรกร้างศิลาวาย

 

 

 

 

 

 

 

 

และหากในครั้งนี้หลงเฉินลงมือสังหารศิษย์สายตรงไปอีกหนึ่งคน แน่นอนว่าหมู่ตึกคงไม่อาจนิ่งดูดายได้อีกต่อไป ทว่าก็ไม่อาจโทษหลงเฉินได้ เพราะชีซิ่งนั้นก็ได้ปัสสาวะเรี่ยราดไปทั่วเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ผู้คนเพิ่มขึ้นมามากมายยิ่งนัก”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งร้องขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นผู้คนมากมายกำลังวิ่งตะบึงหน้าตั้งเข้ามาที่ลานกว้างพลิกสวรรค์ พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนของขุมกำลังอื่นทั้งหมด ที่น่าตกใจก็คือการปรากฏตัวของกวานเหวินหนาน นั่นก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกเขาต่างก็มาเพื่อรับชมความคึกคักที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็มีผู้คนฝ่ายกู่หยางและพวกพ้องอีกด้วย

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะนี้บริเวณลานกว้างพลิกสวรรค์ก็ได้มีผู้คนมากกว่าพันคนยืนรายล้อมกันอยู่ จากสภาวะเงียบสงัดก็กลายเป็นเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมา ซุ่มเสียงเหล่านั้นกำลังถกเถียงกันว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง สายตาทุกคู่จดจ้องมาที่ผู้คนของพรรคฟ้าดินที่มารวมตัวกันด้วยสาเหตุอันใดนั้นก็ไม่อาจทราบได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นเองก็มีเงาร่างสองสายปรากฏขึ้นมา เป็นเงาร่างที่พวกเขาจดจำได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรของพรรคฟ้าดิน หรือว่าจะเป็นผู้คนของขุมกำลังอื่นต่างก็รู้สึกหวาดผวาไปตามๆ กัน ดวงตาจ้องเขม็งไปที่เงาร่างสายนั้นจนแทบจะถลนออกมาเลยก็ว่าได้

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset