เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 229 เพิ่มพูนพลังฝีมือ

ข่าวการเปิดศึกกับศิษย์ฝ่ายอธรรมได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่ตึก ผู้คนมากมายจากทุกขุมกำลังจึงตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดและกดดันเป็นอย่างยิ่ง

 

หลังจากที่หลงเฉินวานให้ถังหว่านเอ๋อช่วยเรียกศิษย์สายตางที่เป็นพันธมิตรของพรรคฟ้าดินมาประชุมหารือกันถึงการเปิดศึกใหญ่ในครั้งนี้

 

ในมุมของศิษย์สายตรงแล้วต่างก็มองว่าการเปิดศึกในครั้งนี้สามารถทำให้โลหิตพุ่งพล่านขึ้นมาได้อย่างท่วมท้นเลยทีเดียว ทว่าผู้คนภายในขุมกำลังกลับไม่ได้มีความกล้าหาญเฉกเช่นเดียวกับพวกเขากันทุกคนจนสางผลกระทบทางจิตใจ เพราะฉากที่ผู้คนล้มตายอย่างอเนจอนาถในการทดสอบที่ผ่านมาทั้งหมดยังคงฝังรากลึกอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำของพวกเขาอยู่

 

“หลงเฉิน หลังจากนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี?” ซ่งหมิงเหยียนเอ่ยถามขึ้นมา

 

ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะไม่ใช่ศิษย์สายตรง ทว่าผู้คนทั้งหมดก็ได้ยกให้เขาเป็นผู้นำของขุมกำลังทั้งห้าไปแล้ว ขอเพียงเป็นเรื่องที่หลงเฉินตัดสินใจ พวกเขาก็ยินยอมที่จะให้การสนับสนุนอย่างสุดกำลัง

 

“ในเมื่อหมู่ตึกปล่อยให้พวกเราใช้ทรัพยากรและสวัสดิการได้ไม่จำกัดเช่นนี้ก็มีเพียงทางเดียวคือเร่งทะลวงพลังการฝึกยุทธ์ของทุกคนให้รวดเร็วที่สุด

 

หากเป็นไปตามกำหนดก็คือสามเดือน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราก็จะต้องถูกส่งไปที่อาณาเขตของฝ่ายอธรรม แล้วใช้วิธีการประดุจนักล่าชิงสังหารศิษย์ฝ่ายอธรรมเพื่อนำมาแลกเป็นแต้มคะแนนนั่นเอง

 

และถึงแม้ว่าจะเป็นการทดสอบชนิดหนึ่ง ทว่ากลับเป็นการทดสอบเพื่อเอาชีวิตรอดอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นการละเล่นเฉกเช่นที่แล้วมา อีกทั้งยังเป็นการทดสอบที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์และความปราณี มีเพียงสิ่งเดียวที่ต้องคำนึงถึงนั่นก็คือเอาชีวิตรอดกลับมาให้ได้

 

เพราะว่ายอดฝีมือของฝ่ายอธรรมขึ้นชื่อว่ามีพลังฝีมือเหี้ยมโหดและอำมหิตเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังไม่สนใจวิธีการลงมือ ขอเพียงสังหารศัตรูได้ก็เพียงพอแล้ว ฉะนั้นฝ่ายธรรมะอย่างพวกเราก็ไม่ได้ต่างไปจากอาการอันโอชะมื้อหนึ่งเลยด้วยซ้ำไป” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยความเป็นกังวล

 

เพราะหลงเฉินเองก็เคยได้เรียนรู้วิชามารของฝ่ายอธรรมมาจากกุ่ยซามาบ้างแล้ว เขาจึงล่วงรู้ว่าทักษะยุทธ์ของฝ่ายอธรรมนั้นมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังเป็นทักษะยุทธ์ที่สามารถสังหารผู้คนได้อย่างโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงถึงพลังทำลายของวิชาเหล่านั้น

 

และการที่จะฝึกฝนทักษะยุทธ์ของมารเหล่านั้นได้ ยอดฝีมือผู้นั้นก็ต้องสังหารผู้คนเพื่อให้สำเร็จในวิชาเหล่านั้น ราวกับว่าการสังหารเป็นดั่งพลังชีวิตที่ถูกผนึกเป็นรากฐานภายในจิตสำนึกของพวกเขาไปแล้ว

 

เมื่อเทียบกับศิษย์ของทางหมู่ตึกที่เอาแต่หาเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ข่มเหงกันเอง ก่อกวนผู้คนด้วยกลยุทธ์หยาบช้า แล้วนำความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเหล่านี้มาวัดระดับกัน ทว่าเมื่อได้เผชิญหน้ากับความตายกลับไม่หาญกล้าเฉกเช่นในครั้งปกติ ยิ่งถ้าได้พบเจอกับฝ่ายอธรรมที่พุ่งจู่โจมเข้ามาด้วยความกระหายคงจะต้องปัสสาวะเล็ดออกมาในทันทีแน่นอน

 

ไม่ใช่เพราะว่าศิษย์ภายในหมู่ตึกนั้นไร้ซึ่งพลังฝีมืออันแกร่งกล้า ทว่าเป็นเพราะรากฐานการเลี้ยงดูจากตระกูลใหญ่ของพวกเขาที่ทะนุถนอมจนเกินจำเป็นไป ด้วยคำว่า ‘พรสวรรค์’ ที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดจึงทำให้พวกเขาไม่อาจพบเจอกับความตายที่แท้จริงเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

ด้วยเหตุนี้ผู้มีพรสวรรค์จึงไร้ซึ่งประโยชน์อย่างที่ท่านผู้อาวุโสชางหมิงได้ด่าทอออกมาเมื่อครั้งก่อนว่า ‘ศิษย์ของหมู่ตึกมีไว้เพื่อเป็นหินลับมีดของศิษย์ฝ่ายอธรรมเท่านั้น’

 

และในครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าคำพูดของท่านผู้อาวุโสชางหมิงจะไปกระตุ้นความหวาดกลัวที่ฝังแน่นอยู่ภายในจิตใจของหลิงหวินจื่อขึ้นมา จากที่เคยเป็นเพียงฝ่ายป้องกันก็ได้เปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกแทน

 

“เป็นความจริงตามที่หลงเฉินกล่าวขึ้นมาทั้งหมด การเปิดศึกในครั้งนี้ทำให้ผู้คนไม่น้อยทอสีหน้าเปลี่ยนไป อีกทั้งยังไม่มีโอกาสที่จะไตร่ตรองถึงความเป็นจริงจนต้องยอมรับชะตากรรมอย่างสลดหดหู่กันไปแทบจะทั้งสิ้น” เยี่ยจื่อชิวกล่าว

 

ทว่าในขณะเดียวกันก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ได้เยาะเย้ยผู้คนที่หวาดหวั่นต่อศึกในครั้งนี้ ทว่าก็ถูกเยี่ยจื่อชิวตอกกลับไปอย่างรุนแรง แม้ว่าจะเป็นเพียงการทดสอบชนิดหนึ่งของทางหมู่ตึก ทว่าการทดสอบในครั้งนี้สามารถส่งผลกระทบรุนแรงต่อพวกเขาในภายภาคหน้าอย่างแน่นอนหากยังมองว่าเป็นเพียงการละเล่นกันอยู่เช่นนี้

 

และหลงเฉินก็แสดงให้พวกเขาประจักษ์แก่สายตากันทั้งหมดแล้วไม่ใช่หรือว่าพลังการฝึกยุทธ์ที่สูงส่งของหวู่ฉีกลับไม่อาจปกป้องชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้เลย แม้แต่กระบวนท่าที่น่าหวาดกลัวที่ฝึกฝนมาหลายปีก็ได้ไม่ถูกใช้ออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว อีกทั้งยังถูกกระบวนท่าของหลงเฉินกดดันจนอับจนซึ่งหนทางต่อสู้

 

หากกล่าวกันตามความเป็นจริงแล้ว ด้วยพลังการฝึกยุทธ์ของหวู่ฉีที่อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลางขั้นสูงสุด ต่อให้เผชิญหน้ากับยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลางนับสิบคนก็ใช่ว่าจะสังหารเขาได้ง่ายๆ ทว่าพลังฝีมือที่สูงส่งกว่าหลงเฉินอยู่หลายเท่าตัวกลับถูกสังหารลงไปได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นเป็นเพราะเหตุอันใดกัน

 

หลิงหวินจื่อเองก็ได้รับแรงกดดันจากการประลองของหลงเฉินกับหวู่ฉี เขาถูกชางหมิงตักเตือนจนในที่สุดก็ต้องกัดฟันตัดสินใจเช่นนี้ลงไป ถึงแม้ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบของทางหมู่ตึกก็ตามที ทว่าหากถูกเบื้องบนทราบถึงความข้อนี้เข้า เกรงว่าตำแหน่งเจ้าสำนักของเขาคงจะถูกปัดทิ้งอย่างแน่นอน

 

และหากปฏิเสธคำตักเตือนของชางหมิงแล้วเอาแต่ยึดติดกับกฎเกณฑ์เดิมไปทั้งชีวิต ชั่วชีวิตนี้ของเขาก็จะไม่มีความก้าวหน้าอีกต่อไป

 

“ที่เรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ก็ว่าด้วยเรื่องการปลอบประโลมจิตใจของเหล่าพี่น้องภายในขุมกำลัง อย่าให้พวกเขาตื่นเต้นหรือหวาดกลัวมากเกินไป แล้วตั้งใจฝึกฝนก็พอแล้ว

 

ส่วนเรื่องของความเชื่อนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขาเหล่านั้นอีกแล้ว ทว่ากลับเป็นความรู้สึกที่อยู่ในตัวของพวกเจ้า” หลงเฉินกล่าว ดวงตาคู่คมจ้องมองไปที่เหล่าศิษย์สายตรงทั้งห้าคน

 

“ในตัวของพวกเราอย่างนั้นหรือ?” เหล่าศิษย์สายตรงกล่าวขึ้นมาพร้อมกันด้วยความสงสัย

 

“ใช่ ในตัวของพวกเจ้า พวกเจ้าเป็นถึงศิษย์สายตรง เป็นดั่งจิตวิญญาณของผู้คนภายในขุมกำลังของตัวเอง การกระทำและความรู้สึกของพวกเจ้าจึงส่งผลต่อความเป็นตายของพวกเขาด้วย

 

ข้าจึงจำเป็นจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเจ้า เพื่อให้พวกเขาดูพวกเจ้าเป็นแบบอย่างที่ดีในการฝึกฝนในช่วงแรก จิตใจของพวกเขาจะได้มั่นคงและแน่วแน่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายอธรรม

 

ใช้การกระทำของพวกเจ้าบ่งบอกต่อพวกเขาว่าศิษย์ฝ่ายอธรรมนั้นไม่ได้น่าหวาดกลัว ขอเพียงเด็ดศีรษะของพวกมันได้ก็เพียงพอแล้ว” หลงเฉินกล่าว

 

เหล่าศิษย์สายตางพยักหน้ารับ คำพูดของหลงเฉินมีเหตุผลอย่างถึงที่สุด ทว่าก็ทำให้พวกเขากดดันต่อตัวเองอย่าไม่น้อยเลย

 

หลี่ฉีฝืนยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ที่ศิษย์พี่หลงกล่าวมานั้น ข้ารู้สึกไม่ค่อยมั่นใจนักว่าจะทำได้ หากว่าข้าทำผิดพลาดขึ้นมาก็เหมือนว่าชีวิตของพี่น้องนับร้อยต้องตกอยู่ในอันตรายเพราะฝีมือของข้าอย่างนั้นหรือ”

 

จากนั้นศิษย์สายตรงคนอื่นก็ส่งยิ้มอย่างข่มขืนให้หลงเฉินตามๆ กัน คงจะมีเพียงถังหว่านเอ๋อเท่านั้นที่ไม่รู้สึกกดดันเลยแม้แต่น้อย เพราะภายในจิตใจของนางเชื่อมั่นว่าหากพรรคฟ้าดินมีหลงเฉินอยู่ย่อมไม่มีสิ่งใดให้หวาดหวั่น

 

“ที่พวกเจ้าไม่มั่นใจนั่นก็เป็นเพราะพวกเจ้ายังไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง สืบเนื่องมาจากว่าพวกเจ้ายังไม่เคยผ่านประสบการณ์ความเป็นตายที่แท้จริงมาก่อน แล้วเช่นนั้นจะปลุกความเชื่อมั่นโดยไร้ผู้ใดสั่นคลอนได้อย่างไรกัน? ฉะนั้นข้าจะขอทดสอบการผ่านความเป็นตายกับพวกเจ้าสักครั้งหนึ่ง” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเป็นอย่างยิ่ง

 

“ทดสอบการผ่านความเป็นตายอย่างนั้นหรือ? ท่านกำลังล้อพวกเราเล่นอยู่ใช่หรือไม่?” เหล่าศิษย์สายตรงทอสีหน้าแตกตื่นมองไปที่หลงเฉิน

 

“ดูเหมือนว่าพวกเจ้ายังไม่เคยเห็นตอนที่ข้าเอาจริงสินะ ในเวลาเช่นนี้คิดว่าข้ายังจะมีอารมณ์หยอกล้อพวกเจ้าอยู่อีกอย่างนั้นหรือ? อีกสักครู่ข้าจะให้พวกเจ้าเข้าโจมตีข้าพร้อมกันสามคน และจงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจว่านี่ไม่ใช่การประลองทว่าเป็นการฆ่าสังหารผู้คน ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้เห็นเส้นทางสู่ความตาย อีกทั้งจะช่วยกระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลให้พวกเจ้าเอง” หลงเฉินกล่าว

 

“จะเป็นไปได้หรือ? ท่านคงไม่ได้คิดจะลงมือสังหารพวกเราจริงๆ หรอกนะ” โหลวฉางเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

 

“ผิดแล้ว หากพวกเจ้ารับการโจมตีของข้าไม่ได้ ข้าก็คงต้องสังหารพวกเจ้าจริงๆ” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

“ข้าปรารถนาให้พวกเจ้าตายด้วยฝีมือของข้ามากกว่าตายด้วยเงื้อมมือของศิษย์ฝ่ายอธรรม อย่างน้อยการลงมือของข้าก็จะทำให้ร่างศพของพวกเจ้าอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด”

 

ภายในจิตใจของซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉางเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาเป็นสายเมื่อจ้องมองไปที่ดวงตาแน่นิ่งของหลงเฉิน อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงสภาวะไร้ซึ่งความรู้สึกเหมือนกับช่วงเวลาที่กำลังต่อสู้กับหวู่ฉีอยู่ จนทำให้พวกเขารู้สึกว่าภายในลำคอแห้งเหือดเป็นอย่างยิ่ง ในขณะนี้หลงเฉินแทบจะไม่ต่างไปจากราชาของเหล่ามารร้ายเลยแม้แต่น้อย

 

“ออกไปข้างนอกกันเถิด”

 

หลงเฉินกล่าวแล้วเดินออกไปตามติดมาด้วยศิษย์สายตรงทั้งห้าคน พวกเขามุ่งหน้าออกจากหมู่ตึกจนมาถึงหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก หลงเฉินหยุดฝีเท้าแล้วหันกายมาเผชิยหน้ากับซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉาง

 

“ขอให้พวกเจ้าคิดว่าผู้คนรอบข้างในตอนนี้เป็นเสมือนญาติมิตรของเจ้าเอง เป็นบิดามารดา เป็นคนรัก เป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเจ้า ส่วนข้านั้นคือมารร้ายฝ่ายอธรรมผู้เลือดเย็น ข้ากำลังคิดจะสังหารผู้ที่มีความสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเจ้า เช่นนั้นจงให้ความรู้สึกของพวกเจ้านำพาไป เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยเถิด!”

 

“ซูม”

 

อาวุธกระดูกของหลงเฉินพุ่งเข้าไปหาซ่งหมิงเหยียนที่กำลังทอสีหน้าแตกตื่นอยู่ด้วยความเร็วอย่างไร้ที่เปรียบ คมของอาวุธกระดูกแทงเข้าไปที่คอหอยของซ่งหมิงเหยียนหมายที่จะปลิดชีพภายในกระบวนท่าเดียว

 

ในขณะที่ซ่งหมิงเหยียนกำลังจะมีปฏิกิริยากลับคืนมานั้นก็พบว่าอาวุธกระดูกของหลงเฉินอยู่ใกล้คอหอยของเขาจนแทบจะไม่มีโอกาสหลบเลี่ยงไปได้เลย

 

“ตูม”

 

โหลวฉางเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยากลับคืนมา พลองใหญ่ในมือของเขากระแทกกับอาวุธกระดูกของหลงเฉินอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงระเบิดดังไปทั่วทั้งผืนฟ้า

 

ถึงแม้ว่าจะลดทอนกำลังของอาวุธกระดูกของหลงเฉินไปได้ส่วนหนึ่ง ทว่าพลองใหญ่ของเขาก็ไม่อาจสลายพลังอันมหาศาลของหลงเฉินได้ ทันใดนั้นเงาร่างทั้งสองก็ลอยกระเด็นออกไปไกล

 

ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวร้องเสียงหลงขึ้นมาในทันที กระบวนท่าของหลงเฉินนั้นเรียกได้ว่าแทบจะใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่มาเลยก็ว่าได้ และหากไม่ได้โหลวฉางเข้าไปตั้งรับเอาไว้ เกรงว่าซ่งหมิงเหยียนคงจะกลายเป็นศพไปแล้ว

 

“หลงเฉินคิดจะฆ่าพวกเขาจริงๆ หรือ?”

 

“ข้าจงใจออมแรงและความเร็วของกระบวนท่าที่หนึ่งเอาไว้ ทว่าหลังจากนี้จะไม่มีคำว่าน้ำใจอีกต่อไปแล้ว หรือจะให้ข้าสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเอาไว้ดี พวกเจ้าจะได้รู้สึกสบายใจมากขึ้น”

 

ทันทีที่กล่าวจบ ในมือของหลงเฉินก็ปรากฏหน้ากากยักษ์ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง พลันบรรยากาศบนร่างของเขาก็คล้ายกับเป็นภูตผีที่หมายจะช่วงชิงชีวิตของผู้คนอยู่อย่างไรอย่างนั้น เมื่อหลงเฉินสวมหน้ากากแล้วก็กวาดอาวุธกระดูกไปทางหลี่ฉีในทันที

 

หลี่ฉีตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความเกรี้ยวกราดพร้อมกับฟันอาวุธออกไปอย่างหนักหน่วง ทว่าด้วยพลังอันน่าหวาดกลัวของหลงเฉินก็ได้ทำให้เขากระอักโลหิตออกมา อีกทั้งยังลอยกระเด็นออกไปไกล

 

ในขณะที่หลี่ฉีลอยอยู่กลางอากาศ หลงเฉินก็รีบพุ่งติดตามไปประดุจเงาตามตัวอย่างไรอย่างนั้น อาวุธกระดูกถูกฟาดเข้าทางคอหอยของหลี่ฉีอย่างรุนแรง

 

“หลี่ฉี!”

 

โหลวฉางและซ่งหมิงเหยียนตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด การโจมตีของหลงเฉินในตอนนี้นั้นแทบจะไม่อาจป้องกันเอาไว้ได้เลย หากถูกอาวุธกระดูกฟาดเข้าใส่เต็มแรง เกรงว่าหลี่ฉีจะต้องตายไปอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน

 

และจู่จู่พลังทำลายบนร่างกายของซ่งหมิงเหยียนและโหลวฉางก็ปะทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ภายในจิตใจก็อยากที่จะเข้าไปช่วยหลี่ฉีเอาไว้ทว่าก็คงจะไม่ทันกาลแล้ว ทันใดนั้นอาวุธในมือของพวกเขาก็ได้หอบสายลมพวยพุ่งไปทางหลงเฉินอย่างรวดเร็ว

 

หลงเฉินส่งเสียงดังชิอย่างเย็นชาขึ้นมาแล้วสะบัดอาวุธกระดูกเข้าต้านกับอาวุธของผู้มาเยือนทั้งสองคนจนพวกเขาลอยกระเด็นออกไปพร้อมกับกระอักโลหิตออกมา

 

จากนั้นอาวุธกระดูกที่น่าหวาดกลัวประดุจคมดาบของเทพมรณะก็พุ่งทะยานเข้าหาคอหอยของพวกเขาทั้งสองคน ด้วยระดับความเร็วเช่นนี้ย่อมไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงไปทางใดได้เลย

 

“ตายไปซะ!”

 

หลี่ฉีแผดเสียงร้องขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด พลันก็พุ่งทะยานร่างเข้ามาหาหลงเฉิน แม้ว่าจะไม่มีอาวุธอยู่ในมือแล้ว ทว่าขอให้ได้รัดแขนข้างนั้นของหลงเฉินเอาไว้ก็พอแล้ว

 

หลงเฉินหยุดการต่อสู้ลงเพียงเท่านั้นแล้วถอดหน้ากากออกช้าๆ ดวงตาคู่คมจ้องมองศิษย์สายตรงทั้งสามคนประดุจพบเห็นสุนัขคลั่งสามตัวที่กำลังรัดแขนขาของเขาไม่หยุด

 

“ยินดีด้วย พวกเจ้ากระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้แล้ว”

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset