เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 23 สมองที่มีขนงอกเงย

“สามัญชนนี่บังอาจยิ่งนัก หาญกล้ามาขว้างรถม้า รนหาที่ตาย”

เสียงดังกังวานได้ดังขึ้นมากึกก้องไปทั่วบริเวณ จากนั้นก็ได้มีแส้เส้นหนึ่งหวดผ่าสายลมเข้ามา พุ่งตรงเข้ามาที่หลงเฉิน

แส้ยาวนั้นกวัดแกว่งอย่างรวดเร็วจนน่าพิสดารอย่างยิ่ง ส่วนปลายของมันผูกด้วยปลายเหล็กแหลมของหอก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแส้ของผู้ฝึกยุทธ์ หากเป็นหลงเฉินผู้นี้อย่างไรเสียก็สามารถหลบพ้นได้อยู่แล้ว แต่บัดนี้กลับอุ้มเด็กหญิงเอาไว้ด้วยจึงไม่อาจเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างสะดวกนัก

หากคิดจะหลบไปตอนนี้ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เขาจึงสวมกอดเด็กหญิงเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วทำการไหลเวียนพลังลมปราณออกมาเพื่อเป็นเกราะคุ้มกันร่างกายเอาไว้ เขาตั้งท่าเตรียมสะบัดแขนออกเพื่อรับแส้ที่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วดุจม้าพยศ

ทันใดนั้นเองก็ได้มีเงาร่างขนาดใหญ่เข้ามาขวางอยู่เบื้องหน้าของหลงเฉิน

“ผัวะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นมาปะทะกับร่างยักษ์ที่อยู่เบื้องหน้าของหลงเฉิน เขาเงยหน้าแล้วพบว่าอาหมานกำลังกัดริมฝีปากเอาไว้แน่น แผ่นหลังหยุดการเคลื่อนไหวของแส้นั้นเอาไว้ได้ก่อน

“ตูมเพียะเพียะ”

ภาพที่ปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าของหลงเฉินทำให้เขาสาดความเย็นยะเยือกออกไปทั่วบริเวณ เขาหันไปพบใบหน้าของเจ้าของแส้ยาวนั้นได้อย่างชัดเจนก่อนจะพบว่ารถม้ากำลังขับออกไป

แต่ก็ไม่วายยังมีเสียงดังเหอะเล็ดรอดออกมาจากรถม้าคันนั้น เห็นได้ชัดว่าเจ้าของแส้ยาวตกใจกับการปรากฏตัวของอาหมาน แต่เขาก็ไม่ได้หยุดดูแต่อย่างใด

“อาหมาน เจ้าไม่เป็นไรนะ” หลงเฉินถามอาหมานด้วยสายตาห่วงใย แต่ในใจกลับมีโทสะปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง

“พี่หลง ข้าไม่เป็นไร ตั้งแต่เล็กจนโตนั้นข้าถูกทุบตีจนผิวหนังด้านหนามานานแล้ว” อาหมานกล่าวออกมา

อาภรณ์ด้านหลังของเขาฉีกขาดรุ่งริ่งเผยให้เห็นแผ่นหลังที่กว้างใหญ่กำลังมีสายโลหิตไหลอาบเป็นทางยาวลงมาจากบาดแผลที่เหวอะหวะน่ากลัว

จากนั้นก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรนพุ่งเข้าโอบอุ้มเด็กหญิงเอาไว้ทั้งน้ำตา แล้วก็หันมากล่าวขอบคุณหลงเฉินและอาหมานอย่างรีบร้อน

อาหมานยิ้มกว้างอย่างใสซื่อ หลงเฉินก็ได้กล่าวปลอบขวัญทารกหญิงอยู่สักครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยๆ เดินจากออกมา

หลงเฉินพยายามเก็บความรู้สึกโกรธแค้นนี้เอาไว้ให้ลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ ไม่อาจยอมรับได้ว่าในเขตตัวเมืองที่มีคนพลุกพล่านอยู่มากมายเช่นนี้ยังใช้แส้ฟาดฟันผู้อื่นได้อย่างหน้าตาเฉย ข้าก็อยากจะดูสักหน่อยว่าเจ้ามีขนงอกเงยในสมองหรืออย่างไรกัน?

ถึงแม้บาดแผลของอาหมานจะมีโลหิตไหลรินออกมาจนเป็นที่น่าตกใจ แต่ว่าบาดแผลยังเป็นเพียงแค่ผิวชั้นนอกเท่านั้น ไม่ได้ลึกจนแสนสาหัสแต่อย่างใด

หลงเฉินรู้สึกตื่นตกใจถึงความน่ากลัวของแผ่นหลังของอาหมาน คนที่ลงมือนั้นถือได้ว่ามีพลังอันแข็งแกร่งแล้ว ยังทำอันตรายอาหมานได้เพียงแค่ผิวชั้นนอกเท่านั้น

ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังเดินกลับจวน ทันใดนั้นท้องของอาหมานก็เกิดเสียงร้องโครมครามทะลุออกมาประดุจเสียงฟ้าร้องในค่ำคืนที่ฝนตกหนักอย่างไรอย่างนั้น หลงเฉินเองก็สะดุ้งโหยง ไม่เคยได้ยินเสียงท้องร้องของผู้ใดดังเท่านี้มาก่อน หลงเฉินหยุดอยู่ข้างทางที่มีร้านซาลาเปาตั้งอยู่ กลิ่นหอมจากก้อนแป้งชิ้นกลมกำลังโชยพัดผ่านมาเตะเข้าที่จมูกของทั้งสอง

อาหมานทอสีหน้าขวยเขินออกมาแล้วกล่าว “พี่หลง ข้าไม่หิว”

“ไม่เป็นไร ข้าหิวแล้ว ไปหาอะไรรองท้องกันก่อนเถิด”

หลงเฉินเดินนำอาหมานมาจนถึงภายในร้านซาลาเปา เขาเลือกโต๊ะที่ตั้งอยู่ไม่ไกลแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ หลงเฉินโยนเหรียญทองเหรียญหนึ่งให้แก่เถ้าร้าน “นำเปาจื่อ (ซาลาเปา包子) ทั้งหมดที่พวกเจ้ามีอยู่ออกมาให้หมด”

“พี่หลง ข้าไม่หิวจริงๆ เออ ความจริงแล้วข้าทานแค่ข้าวเปล่าก็เพียงพอแล้ว” อาหมาน กล่าวออกมาอย่างร้อนรน

เพราะว่าจากที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้งที่เหล่าผู้คนใจดีได้ให้ข้าวน้ำแก่เขา แต่ก็ได้ตัดความสัมพันธ์ลงอย่างไม่อาจทนไหว อาหมานกลัวว่าจะเป็นการซ้ำแผลเก่ารอยเดิมนั้นอีก

“อาหมาน เจ้าช่วยรับแส้แทนข้า เจ้าก็เป็นดั่งพี่น้องของข้า หลงเฉินผู้นี้ก็จะรับแส้ให้เจ้าด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นจากนี้ไปจงอย่าได้กล่าวเช่นนี้ออกมาอีก อย่าได้กล่าววาจาที่ไม่สมควรออกมาอีก” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดุเล็กน้อย

กับคนที่เพิ่งจะพบพานกันได้เพียงครู่เดียวกลับพลีกายเข้ามารับแส้แทนผู้อื่นได้ บุคคลเฉกเช่นนี้ย่อมคุ้มค่าแล้วที่จะให้หลงเฉินยอมรับเป็นพี่น้อง

“พี่หลง……ข้า……”

ทันใดนั้นอาหมานร่ำไห้ออกมา น้ำตานองไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง นับตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ได้ขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากคนแปลกหน้า เป็นครั้งแรกที่มีคนดีต่อเขาถึงเพียงนี้

“พี่น้องของข้า อย่าได้ร้องอีกเลย หลังจากนี้เราทั้งสองจะหลั่งแต่หยาดเหงื่อและหยาดโลหิต การหลั่งน้ำตาเป็นการกระทำของคนที่มีแต่ความขลาดเขลาเท่านั้น” หลงเฉินตบเข้าไปที่ไหล่กว้างของอาหมานแล้วกล่าว

“ได้ พี่หลง ข้าจะเชื่อฟังท่าน ท่านจะให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะทำตามเช่นนั้น” อาหมานเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็วแล้วกล่าว

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลงเฉินกลับคิดว่าอยากให้เขามีความคิดเป็นของตนเองเสียบ้าง แต่ว่าเมื่อคิดถึงการทำให้บ่อน้ำกลับกลายเป็นปล่องไฟขึ้นมาได้เช่นนั้น หลงเฉินจึงคงได้แต่กล้ำกลืนคำพูดกลับไปเสียดีกว่า

เวลาผ่านไปไม่นานก็มีเปาจื่อทั้งหมดของร้านถูยกเข้ามาวางเรียงรายพร้อมกับควันฉุง หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าว “อาหมาน กินได้เลย ในกระเป๋าของพี่หลงผู้นี้ยังมีเงินทองอยู่อีกมากมาย ไม่ต้องช่วยข้าประหยัดไป”

“อือ”

อาหมานพยักหน้าไปมา ท่าทีที่เคยเกรงใจได้หายวับไปในพริบตา ซาลาเปาขนาดเท่ากำปั้นใหญ่ถูกยัดเข้าปากไปทีละชิ้นประดุจดวงดาวที่ลอยละล่องอยู่ท่ามกลางนภาที่ส่องประกายภายใต้แสงจันทร์อย่างไรอย่างนั้น

ถึงแม้ว่าจะพอทราบอยู่ว่าอาหมานนั้นกินจุ แต่บัดนี้กลับเกินเลยจากการคาดเดาของหลงเฉินอยู่มากจนน่าตกใจ จำนวนเปาจื่อทั้งหมดในเข่งทั้งหมดสามร้อยกว่าลูกได้ถูกกลืนลงท้องไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่เศษเล็กเศษน้อยใดใด อาหมานอยู่ในลักษณะที่คล้ายกับว่ายังไม่เคยกินจนอิ่มหนำสำราญได้ถึงเพียงนี้

แม้แต่เถ้าแก่ร้านซาลาเปาเองก็ยังต้องขมวดคิ้วเข้าชนกัน เพราะเปาจื่อทั้งหมดนั้นได้ถูกยกมาจนหมด หากต้องนึ่งเพิ่มขึ้นมาอีกในตอนนี้คงจะไม่ทันอย่างแน่นอน

แต่ในขณะที่เถ้าแก่ร้านกำลังจะทอนเงินให้แก่หลงเฉิน หลงเฉินก็ได้เดินจากไปพร้อมกับอาหมานแล้ว ซาลาเปาสามร้อยกว่าลูกนั้นมีราคาเพียงหกเหรียญเงินเท่านั้น

เมื่อหลงเฉินกลับมาถึงจวนก็ได้พาอาหมานไปพบกับมารดา ฮูหยินหลงตื่นตกใจกับร่างกายอันใหญ่โตของเขาตั้งแต่แรกพบ

แต่เมื่อนางพบว่าอาหมานช่างมีท่าทีที่สัตย์ซื่อจึงค่อยวางใจขึ้นมาได้มาก หลงเฉินเองก็ได้เล่าถึงชะตาชีวิตของอาหมานจนฮูหยินหลงตบปากรับคำอย่างยินดีที่จะให้อาหมานเข้ามาอยู่ร่วมกับสองแม่ลูกด้วย

หลังจากที่จัดการเรื่องของอาหมานจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลงเฉินได้กลับไปที่ห้องของเขาแล้วเริ่มหลอมโอสถต่อในทันที เขารู้สึกปลอดภัยและไม่ต้องพะวงต่อสิ่งใดจึงสามารถที่จะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณออกมาได้ทั้งหมด เพื่อเพิ่มโอกาสแห่งความสำเร็จในการหลอมโอสถ

สามวันเต็มๆ ที่หลงเฉินหมกตัวอยู่แต่ในห้อง สามวันสามคืนที่หลอมโอสถอย่างไม่หยุดหย่อน ในมือของหลงเฉินมีโอสถกักวายุอยู่เกือบร้อยเม็ดได้ อีกทั้งทั้งหมดนั้นยังเป็นโอสถระดับกลางเสียด้วย

นอกจากโอสถกักวายุแล้ว หลงเฉินยังได้หลอมโอสถที่ท้องตลาดต้องการอย่างมากขึ้นมาด้วย อาทิเช่น โอสถก่อโลหิต โอสถก่อรวม โอสถถอนพิษ เป็นต้น โอสถเหล่านี้สามารถที่จะนำไปขายให้แก่ทางสมาคมเพื่อใช้เป็นต้นทุนในการจัดซื้อวัตถุดิบและสมุนไพรต่อไป

เมื่อหลงเฉินเดินออกจากห้องก็พบเป่าเอ๋อที่มีสีหน้าบูดบึ้งกำลังเดินเข้ามา หลงเฉินอดสงสัยไม่ได้จึงถามออกไป “เป่าเอ๋อ เจ้าเป็นอะไรไป?”

“นายน้อย……คือว่า……” เป่าเอ๋อละล่ำละลักที่จะเอ่ยต่อ

“มีอะไรก็กล่าวมาเถิด” หลงเฉินยิ้มกว้าง

“เป็นเช่นนี้ ขณะนี้ในห้องเก็บเสบียง……สิ่งที่พอจะสามารถนำมาทานได้……ก็ทานไปจนหมดแล้ว” เป่าเอ๋อกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

อาหมานนั้นกินจุเหลือเกิน ยิ่งพอฮูหยินหลงได้ทราบว่าอาหมานมีชาติกำเนิดที่น่าสงสารจึงให้ทางครัวจัดทำอาหารให้ทานเพิ่มมากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง

จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปได้เพียงสามวัน เขาก็ได้ทานอาหารของทั้งเดือนของตระกูลหลงไปจนหมดสิ้น ฮูหยินหลงจึงแอบนำเครื่องประดับชิ้นหนึ่งออกมาเพื่อให้เป่าเอ๋อนำไปขาย

เป่าเอ๋อรู้สึกว่าเรื่องเช่นนี้ช่างน่าอึดอัดใจยิ่งนัก จึงอยากมาปรึกษาหลงเฉินก่อน

หลงเฉินหัวเราะฮาฮาออกมาแล้วหยิกเข้าไปที่แก้มน้อยๆ ของเป่าเอ๋อ “เสี่ยวยาโถว (แม่หนูน้อย小丫头) ไม่เลวเลย รู้จักเรียนรู้ เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเองเถิด”

เป่าเอ๋อเป็นหญิงรับใช้ส่วนตัวของหลงเฉิน แม้ว่าตระกูลหลงจะแร้นแค้นมากเพียงใด แต่นางก็ไม่เคยคิดที่จะจากตระกูลนี้ไป หลงเฉินเห็นนางเป็นเหมือนน้องสาวคนเล็กตลอดมานับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเจอ

“นายน้อย วันนี้ไม่มีข้าวเย็นแล้ว” เป่าเอ๋อค้อนวาจาใส่ ในที่สุดนางก็ทำตัวเหมือนกับผู้ดูแลของตระกูลหลงทั้งตระกูลไปเสียแล้ว อีกทั้งยังเป็นเสมียนประจำตระกูลที่ก็ทราบดีอยู่ว่าหากยังอยู่ในตระกูลหลงต่อไปคงจะอดตายเป็นแน่ แต่ก็ยังไม่จากไปไหน

“อือ รู้แล้ว ข้าจะไปจัดการเอง”

ในมือของหลงเฉินมีอยู่หลายตำลึงทอง แต่ว่าก็เป็นเพียงเงินทองเล็กน้อยเท่านั้น เขาจึงเรียกอาหมานให้มาพบเพื่อที่จะได้ออกไปข้างนอกด้วยกัน เขาทั้งสองตรงไปเยือนชุมนุมผู้หลอมโอสถอีกครั้ง

เมื่ออาหมานปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา แม้ว่าจะไม่ได้มีเป้าหมายอะไรชัดเจนแต่หลงเฉินต้องการให้อาหมานได้ฝึกสมองอันเล็กของเขาเสียหน่อย นั่นคือสิ่งที่เรียกกันว่าความรู้ อันจะต้องผ่านจากประสบการณ์จริงเท่านั้นจึงจะเพิ่มพูนขึ้นมาได้

เมื่อเข้าถึงยังชุมนุมผู้หลอมโอสถ หลงเฉินตรงดิ่งไปยังห้องโอสถทันที หลงเฉินได้นำโอสถเม็ดอวบอ้วนออกมาหลายสิบเม็ดแล้วยื่นให้แก่เด็กจัดโอสถที่บัดนี้มีอาการเบิกตากว้างอย่างตกใจค้างไว้อยู่นานคล้ายกับเจอภูมิผีอย่างไรอย่างนั้น

เขาจำได้ว่าเมื่อสามวันก่อนหน้าหลงเฉินเพิ่งจะนำเอาสมุนไพรไป แต่เหตุใดวันนี้ถึงได้มาคืนโอสถแล้ว? โดยส่วนมากแล้วการคืนโอสถจะอยู่ที่ประมาณครึ่งปีถึงหนึ่งปีขึ้นไปเท่านั้น นี่มันรวดเร็วจนเกินไปแล้ว

เด็กจัดโอสถรีบเก็บอาการตื่นเต้นกลับไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าแสดงออกไปอยู่นานพอควร เขาสอดส่องสายตาไปที่โอสถแต่ละเม็ดเพื่อตรวจสอบ อีกทั้งยังใช้อุปกรณ์บางอย่างในการตรวจสอบอีกด้วย

หลังจากที่ตรวจสอบอย่างพิถีพิถันแล้วก็พบว่ามีโอสถระดับกลางทั้งหมดสิบเจ็ดเม็ด โอสถระดับล่างทั้งหมดสามสิบหกเม็ด หลงเฉินมีความมั่นใจอย่างยิ่งในการตรวจสอบเม็ดโอสถก่อนหน้านี้จากประสบการณ์ที่สั่งสมมา แต่ก็ยังไม่วายที่จะรู้สึกแคลงใจในการตรวจสอบโอสถของตนเองขึ้นมา

หลังจากที่ปรับสภาวะอารมณ์อันว้าวุ่นให้สงบลง หลงเฉินก็ได้ชดใช้สมุนไพรที่เบิกมาเมื่อครั้งก่อนไปจนหมดสิ้น อีกทั้งยังหลงเหลือโอสถอีกส่วนหนึ่งมาเก็บออมเอาไว้

“อาจารย์หลงเฉิน โอสถที่เหลือเหล่านี้ ท่านตระเตรียมที่จะแลกเป็นวัตถุดิบและสมุนไพรต่อหรือไม่ หรือว่าให้เปลี่ยนเป็นเงินทองดี?” เด็กจัดโอสถผู้นั้นกล่าวขึ้นด้วยอาการนอบน้อมถ่อมตน

การถูกผู้อื่นเรียกขานว่าอาจารย์นั้นเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลยทีเดียว “เปลี่ยนเป็นเงินให้หมดเถิด”

“ได้ ท่านโปรดรอสักครู่”

เด็กจัดโอสถผู้นั้นคว้าสมุดเล่มหนึ่งขึ้นมา บนกระดาษแต่ละแผ่นได้จดบันทึกราคาของโอสถแต่ละอย่างเอาไว้ เขาเริ่มคำนวณตามราคาที่ระบุในสมุดเพื่อที่จะได้คิดเป็นเงินคืนให้หลงเฉินได้ถูกต้อง

“อาจารย์หลงเฉิน ทั้งหมดอยู่ที่แปดร้อยเจ็ดสิบหมื่นตำลึงทอง” เด็กจัดโอสถคำนวณเสร็จเรียบร้อย

หลงเฉินพยักหน้าไปมา ชุมนุมผู้หลอมโอสถถือเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ราคานี้จึงยุติธรรมอย่างถึงที่สุดแล้ว เมื่อเทียบกับราคาขั้นต่ำของราคาตลาดถือว่าสูงกว่าเป็นเท่าตัว อีกทั้งยังเป็นราคาที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่ว

“ช่วยแยกใส่เป็นบัตรมรกตสองใบด้วย ใบหนึ่งใส่ยี่สิบหมื่นตำลึงทอง ที่เหลือเก็บไว้ที่อีกใบ” หลงเฉินกล่าว

เมื่อหลงเฉินกลับถึงจวนก็พบเป่าเอ๋อกำลังยืนรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่

“นายน้อย นายน้อยซือเฟิงได้มอบบัตรเชิญมาให้แก่ท่าน” กล่าวจบก็ยื่นซองสีแดงให้แก่หลงเฉินมาฉบับหนึ่ง

เมื่อหลงเฉินเปิดซองนั้นดูก็หัวเราะออกมอย่าชอบใจ ซือเฟิงได้ก้าวข้ามพลังแล้ว ทะลวงเข้าสู่ระดับพลังขั้นก่อโลหิตจึงได้เชิญทุกคนให้ไปยังงานเลี้ยงสังสรรค์ที่หอนัดพบวีรชน (จวียิงโหลว聚英楼) ในอีกมี่กี่วันที่จะถึงนี้

“เป่าเอ๋อ เอ้า ดูแลบ้านให้ดีด้วย วันหน้านายน้อยอย่างข้าจะทำให้เจ้าออกเรือนได้อย่างเต็มภาคภูมิเอง เจ้าจะแต่งออกไปได้อย่างไม่ต้องอับอายผู้ใดเชียวล่ะ” หลงเฉินหัวเราะร่าขึ้นมา แล้วยื่นบัตรมรกตให้แก่เป่าเอ๋อหนึ่งใบ

เป่าเอ๋อมีใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา พลางก็เหลือบตามาดูตัวเลขที่อยู่บนบัตร มือน้อยทั้งสองสั่นเทาไปมา ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อาจเชื่อได้

“เศรษฐีนีน้อย จากนี้เป็นต้นไปความรับผิดชอบทุกเรื่องของตระกูลหลงคงต้องฝากให้เจ้าดูแลแล้วนะ ใช่แล้ว อีกอย่างหนึ่งเจ้าช่วยไปเอาเครื่องประดับของมารดาที่เคยนำไปขายกลับคืนมาให้หมด ต่อให้ต้องให้ราคาสูงกว่าราคาเดิมสิบเท่าก็ไม่เป็นปัญหา” หลงเฉินกล่าว

“อืออือ นายน้อยโปรดวางใจ เป่าเอ๋อจะดูแลจัดการให้เรียบร้อยเอง” เป่าเอ๋อตบไปยังบริเวณหน้าอกที่ยังแบนราบของนางเพื่อเป็นการยืนยันว่าให้ไว้ใจได้

หลงเฉินพยักหน้าไปมา แล้วก็เดินนำอาหมานไปยังหอจวียิงโหลว

หอจวียิงโหลวเป็นสถานที่เหลาสุราที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอันมากภายในจักรวรรดิ ผู้ที่มาทานอาหารในที่แห่งนี้ต่างก็เป็นผู้ที่มั่งมีด้วยกันทั้งนั้น ที่สำคัญก็คือคุณภาพของวัตถุดิบที่นำมาประกอบเป็นอาหารจัดได้ว่าอยู่ในชั้นเลิศ อีกทั้งเป็นสถานที่นัดพบปะสังสรรค์กันของเหล่าคุณชายมากหน้าหลายตา

ที่ชั้นบนสุดของหอจวียิงโหลวมีโต๊ะกลมขนาดใหญ่ตัวหนึ่งที่เรียงรายเต็มไปด้วยอาหารคาวนานาชนิดที่หน้าตาน่ารับประทานยิ่งนัก กลิ่นหอมของเครื่องเทศตลบอบอวลไปทั่ว ผู้คนมากมายก็อยู่โดยรอบแต่กลับไม่มีผู้ใดสนใจอาหารเหล่านั้น เอาแต่สนทนากันเพียงอย่างเดียว ไม่ได้คิดจะแตะต้องตะเกียบกันเลยแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นเอง ผู้คนที่อยู่ในร้านได้พบเงาร่างใหญ่ของชายที่กำลังเดินเข้า ต่างก็พากันลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตกใจ

“พี่หลง”

“พี่หลง”

“หลงเหย่ (ปู่หลงหรือนายท่านหลง)”

ซือเฟิง เจ้าอ้วน และพวกพ้องต่างก็มีวิธีการเรียกตนเองไม่เหมือนกัน แต่เมื่อเห็นอาหมานที่ยืนอยู่ด้านหลังของหลงเฉินแล้วต่างก็สายตาเบิกกว้างขึ้นมาพร้อมกัน

ซือเฟิงขึ้นชื่อว่ามีรูปร่างที่บึกบึนใหญ่โตในจักรวรรดิ แต่เมื่อเทียบกับอาหมานแล้วเขากลับกลายเป็นเหมือนเด็กน้อยตัวเล็กผู้หนึ่งไปเลย

“จะแนะนำให้พวกเจ้าได้รู้จักนะ นี่เป็นพี่น้องของข้านามว่าอาหมาน”

เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้นก็รีบกล่าวทักทายกับอาหมานทันที แต่ว่าอาหมานทำได้เพียงแค่ยิ้มกลับมาและพยักหน้าหงึกหงักอย่างโง่งมเท่านั้น

จากนั้นพวกเขาก็พากันนั่งลงที่โต๊ะใหญ่ ซือเฟิงใช้มือทั้งสองยกจอกขึ้นแล้วกล่าว “อาหลง ไม่ต้องกล่าวให้มากความ ข้า…ซือเฟิง ขอคารวะก่อนหนึ่งจอก”

ความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อหลงเฉินของซือเฟิงยังคงถูกจดจำเอาไว้ไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ เดิมที่เขาอาจจะใช้เวลานานหลายปีที่จะเพิ่มพลังสู่ขั้นก่อโลหิตได้ แต่ในขณะนี้สามารถที่จะทำได้สำเร็จก่อน ที่คิดไว้เสียมากมาย ซึ่งหลงเฉินมีส่วนช่วยเหลือเป็นอย่างมากที่ทำให้เขาเข้าใกล้ขอบเขตที่สูงยิ่งขึ้นไปได้อีก

“พวกเราก็ขอคารวะพี่หลงหนึ่งชาม”

เจ้าอ้วนชักจูงเหล่าพวกพ้องให้ลุกขึ้น พวกเขาต่างก็ได้รับโอสถที่หลงเฉินปรุงให้แก่พวกเขาโดยเฉพาะจนเริ่มที่จะสัมผัสได้ถึงพลังปราณฟ้าดิน เจ้าอ้วนและเจ้าลิงผอมผู้เป็นบุตรขุนนางเทียนหมิงต่างก็ได้มาเข้าร่วมกับการเฉลิมฉลองในครั้งนี้เช่นเดียวกัน

ทั้งหมดทั้งมวลต่างก็เป็นผลมากจากการยื่นมือเข้าช่วยเหลือของหลงเฉิน พวกเขาจึงรู้สึกปราบปลื้มในใจอย่างหาที่สุดไม่ได้

“ได้ หมดจอก”

หลงเฉินหัวเราฮาฮาออกมา คนเหล่านี้ได้เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมกันมา อีกทั้งหลงเฉินเองยังได้รับการช่วยเหลือจากพวกเขามาก็หลายครั้ง บัดนี้จึงได้ยกย่องให้พวกเขาเป็นดั่งสหายสนิท

หลังจากที่สุราไหลหลากลงท้องไปหลายจอก พวกเขาต่างก็เริ่มเปิดหัวข้อสนทนาขึ้นมามากมาย จะมีก็แต่เพียงอาหมานเท่านั้นที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทานอาหารอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ยอมพูดยอมจาใดใด

หลงเฉินวานให้ซือเฟิงช่วยดูแลอาหมานเล็กน้อย คอยสั่งอาหารเพิ่มมาอีกหลายอย่าง แต่โชคยังดีที่ก่อนมาที่นี่เขาได้รองเท้าไปเล็กน้อยแล้ว ไม่เช่นนั้นเจ้าอ้วนและพวกพ้องคนอื่นอาจจะตรงใจจนหัวใจวายตายเป็นแน่

เมื่อได้ดื่มสุราหมดไปหลายจอกรวมสอบรอบ พวกเขาแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่ได้ประสบในช่วงที่ผ่านมาด้วยอารมณ์ที่ลื่นไหลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขณะนี้พวกเขาต่างก็สามารถฝึกยุทธ์ได้แล้ว เปรียบเสมือนเรือน้อยที่ข้ามผ่านมรสุมคลื่นใหญ่กลางมหาสมุทรไปได้

ที่น่าสนใจที่สุดก็คือข่าวลือที่หลงเฉินที่ได้เป็นผู้หลอมโอสถนั้นเป็นที่ลือเลื่องไปทั่วทั้งจักรวรรดิแล้ว ผู้คนมากมายก็ทราบกันอย่างดีด้วยว่าเจ้าอ้วนและพวกพ้องนั้นมีความเกี่ยวดองกับหลงเฉินอยู่

ดังนั้นพวกเขาที่มาจากตระกูลต่างๆ ต่างก็ได้สานสัมพันธ์กับหลงเฉินไว้อย่างแนบแน่นจนทำให้ผู้คนโดยมากอดไม่ได้ที่จะจุกอยู่กลางอกจนกระอักกระอ่วนออกมารอบหนึ่ง

ขณะที่พวกเขาสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้ากระทบพื้นดังขึ้นมาเป็นจังหวะก้าวเท้า ซือเฟิงเริ่มขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย “เห็นกันอยู่ว่าข้าได้นัดแนะกับเถ้าแก่เอาไว้เป็นอย่างดีแล้วว่าทั้งชั้นนี้เป็นข้าที่เหมาเอาไว้แล้ว เหตุใดยังมีคนอื่นขึ้นมาได้กัน”

“ช่างมันเถิด คนเยอะขึ้นมาหน่อยก็คงคึกคักขึ้นไม่น้อย ช่วงเวลาแห่งความสุขย่อมต้องแบ่งปันให้แก่ผู้คนสิ” เจ้าอ้วนที่ดื่มไปมากพอสมควรแล้วจึงได้เอ่ยวาจาที่ดูยิ่งใหญ่ออกมา

เสียงดังนั้นเริ่มชัดเจนขึ้น ในที่สุดก็ถูกตะโกนออกมา “ให้คนที่อยู่ที่นี้ทั้งหมดไสหัวไป ข้าไม่ต้องการที่จะดื่มกินร่วมกับคนชั้นต่ำกลุ่มนี้”

หลงเฉินที่กำลังดื่มสุราอย่างรื่นรมย์อยู่นั้นกลับมีสีหน้าที่เย็นชาขึ้นมาในทันที เส้นเลือดบนฝ่ามือคล้ายจะปูดจนปริแตกออกมาด้านนอกอย่างไรอย่างนั้น . . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset