เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 232 : ก่อโลหิตขั้นที่สิบสาม

ภายใต้สภาวะตึงเครียดภายในหมู่ตึกก็ได้ดำเนินมาครบหนึ่งเดือนแล้ว เหล่าศิษย์ใหม่จวบจนถึงชนชั้นระดับผู้อาวุโสทั่วทั้งหมู่ตึกต่างก็ฝึกฝนพลังฝีมือเพื่อเตรียมเปิดศึกกับฝ่ายอธรรม

 

ในขณะที่ผู้คนแทบจะทั้งหมดกำลังฝึกยุทธ์กันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น บริเวณที่ห่างไกลออกไปหลายพันลี้ก็เกิดประกายแสงสว่างไสวปกคลุมไปทั่วยอดเขาลูกหนึ่ง ท่ามกลางแสงอันเจิดจ้านั้นก็ได้เงาร่างของชายหนุ่มผู้สง่างามกำลังปะทุพลังมหาศาลไปทั่วทั้งร่างกาย หยาดโลหิตภายในร่างไหลเวียนไปมาอย่างบ้าคลั่งประดุจคลื่นมหาสมุทรโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง

 

เสียงระเบิดดังกึงก้องไปทั่วทั้งบริเวณไม่หยุด แม้แต่ขุนเขาอันสูงใหญ่ก็ยังเกิดการสั่นไหวไปด้วย กระแสพลังสีทองอร่ามสายหนึ่งหมุนคว้างจากแผ่นหลังของชายหนุ่มพุ่งทะยานสู่ผืนฟ้าสีคราม

 

“ในที่สุดก็เข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่สิบสามได้แล้ว”

 

ชายอาภรณ์โบกสะบัดไปตามสายลมพลิ้วไหว เส้นผมสีดำสนิทร่ายระบำไปมาไม่หยุด หลงเฉินสัมผัสได้ว่าหยาดโลหิตภายในร่างกายของเขากำลังไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งราวกับเป็นพลังสภาวะไร้ขีดจำกัดฉีดพุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง

 

สายฟ้าคำรณทอแสงสว่างไปทั่วทั้งขุนเขาลูกใหญ่ที่สูงตระหง่านอยู่กลางกลุ่มเมฆสีดำทมิฬ หลังจากที่หลงเฉินได้ดูดซับโลหิตบริสุทธิ์ของหมื่นสรรพสัตว์เข้าไปภายในร่างกายจนหมดสิ้นแล้ว เขาก็ได้ทำการฝึกยุทธ์จนสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่สิบสามจนสำเร็จ หยาดโลหิตทั่วทั้งร่างกายจึงทอประกายแสงสีทองอร่ามไปทุกอณู กลิ่นอายโลหิตอันน่าหวาดกลัวพวยพุ่งขึ้นมาไม่หยุด บนร่างกายแฝงเอาไว้ด้วยพลังสภาวะอันน่าเกรงขามราวกับเป็นสัตว์ป่าดุร้ายที่กำลังหิวกระหาย

 

ถึงแม้ว่ายังไม่อาจเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้ในครั้งนี้ ทว่าหลงเฉินกลับรู้สึกว่าภายในร่างกายของเขามีบางอย่างที่ผิดแปลกไปจากเดิมเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เขาเกิดวามยินดีไม่เสื่อมคลาย

 

กายเนื้อที่เดิมทีก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งแล้ว ทว่าหลังจากที่เข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่สิบสามแล้วกลับแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวนัก ภายในจุดดารากักวายุก็มีขนาดใหญ่ขึ้นจนสามารถกักเก็บพลังลมปราณได้มากยิ่งขึ้นไปด้วย ที่น่าแตกตื่นตกใจอย่างถึงที่สุดเห็นจะเป็นการขยายของเส้นลมปราณและเส้นโลหิตมากขึ้นนับสิบเท่านั่นเอง

 

“หึ่ง”

 

ทันใดนั้นหลงเฉินก็กระตุ้นพลังขึ้นมาจนวงแหวนแห่งเทพเปล่งประกายแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม พลังทำลายอันน่าหวาดกลัวปะทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งประดุจภูเขาไฟระเบิด กระแสพลังอันมหาศาลแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศอย่างรุนแรง

 

“ครืนครืน”

 

บรรยากาศรอบด้านเกิดการสั่นไหวจนได้ยินเสียงสะท้อนไปทั่วทั้งหุบเขา เพียงพริบตาเดียวก็มีประกายสายฟ้าแลบหลายสิบสายผ่าลงมาหาหลงเฉินอย่างรวดเร็ว หลงเฉินอ้าแขนรับพลังแห่งอัสนีบาตที่ผ่าลงมากระทบร่างกายอย่างบ้าคลั่งจนเกิดเสียงดังเพี๊ยะพ๊ะขึ้นมาเป็นสาย

 

หลงเฉินเองก็เพิ่งจะสังเกตได้ว่านับตั้งแต่เข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่สิบเอ็ดมา ในทุกครั้งที่เขาได้กระตุ้นวงแหวนแห่งเทพขึ้นมานั้นก็มันจะเกิดกระแสบางอย่างพวยพุ่งขึ้นสู่ผืนฟ้า เป็นกระแสพลังที่คล้ายกับไปท้าทายต่อเบื้องบนจนต้องถูกลงโทษด้วยอัสนีบาต

 

ในช่วงแรกนั้นเรียกได้ว่าไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้เลย อีกทั้งยังต้องกระตุ้นพลังสภาวะทั้งหมดขึ้นมาจนไม่มีเหลือ ทว่าหลังจากที่ต้านทานอยู่บ่อยครั้งก็สามารถต่อต้านได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งก็คือทุกครั้งที่เขารับอัสนีบาตเข้ามา กายเนื้อของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น

 

นอกจากนี้ที่ใจกลางหยาดโลหิตของเขาก็มีตัวอ่อนอักขระปรากฏขึ้นมา จนในขณะนี้ก็เห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นราวกับว่ากำลังเข้าสู่พลังอักขระที่แท้จริงได้แล้วอย่างไรอย่างนั้น

 

หลงเฉินจำเป็นจะต้องหยิบยืมพลังแห่งอัสนีบาตเพื่อเป็นตัวช่วยในการบ่มเพาะกายเนื้อให้แข็งแรงมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้เขาไม่สิ้นเปลืองพลังแห่งอัสนีบาตภายในร่างกายไป เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว เพราะปลอดภัย รวดเร็ว ไร้ความเจ็บปวด ประหยัดพลัง และประหยัดเวลา

 

การบ่มเพาะกายเนื้อด้วยพลังอัสนีบาตนั้นใช้เวลาถึงสามวันสามคืนจนหลงเฉินรู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มรีบพลังได้จำกัดแล้ว หากรับเข้าไปอีกไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป อีกทั้งผืนฟ้าบนขุนเขาแห่งนี้ก็มีกลุ่มเมฆเบาบางลงไปแล้ว เขาจึงต้องหยุดการรับพลังแห่งอัสนีบาตเอาไว้เพียงเท่านั้น

 

ทันทีที่หลงเฉินสลายวงแหวนแห่งเทพลง สายฝนและอัสนีบาตก็หยุดฟาดลงมา การไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งของหยาดโลหิตภายในร่างกายก็กลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว

 

“ปึก”

 

หลงเฉินตบฝ่ามือไปที่หน้าอกของตัวเองอย่างแรงจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วทั้งหุบเขา หินผาที่อยู่ด้านหลังแหลกลานกลายเป็นผุยผงไปในพริบตาเดียว

 

“เหอะเหอะ หากครั้งก่อนมีพลังมหาศาลถึงเพียงนี้คงไม่ต้องแลกชีวิตกับหวู่ฉีอย่างแน่นอน คงจะฟาดเขาให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวไปแล้ว”

 

ในสภาวะปกติที่ไม่ได้ไหลเวียนพลังจากกระแสโลหิตขึ้นมาในขณะนี้นั้นรุนแรงเสียยิ่งกว่าช่วงเวลาที่เขาต่อสู้กับหวู่ฉีด้วยพลังทั้งหมดเสียอีก ด้วยพลังสภาวะเช่นนี้ทำให้หลงเฉินมีความมั่นใจว่าจะสามารถผ่านศึกการประลองกับฝ่ายอธรรมได้อย่างแน่นอน

 

หากสังหารศิษย์สายนอกของฝ่ายอธรรมได้ ศิษย์ผู้นั้นจะได้รับห้าพันแต้มคะแนน หากสังหารศิษย์สายในได้ก็จะได้สามหมื่นแต้มคะแนน และหากสังหารศิษย์สายตรงได้ก็จะได้รับยี่สิบหมื่นแต้มคะแนน

 

เช่นนั้นการเปิดศึกในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่หลงเฉินจะได้กอบโกยแต้มคะแนนเพื่อนำไปซื้อสมุนไพรที่จะใช้ในการหลอมโอสถ และแน่นอนว่าเขาคงจะได้สมุนไพรของโอสถแปรแสงมาทั้งหมดอีกด้วย

 

ช่วงเวลาที่ผ่านมาสามวันสามคืนนี้ หลงเฉินก็ได้แต่ครุ่นคิดถึงโอสถแปรแสงที่มีสมุนไพรมากมายและราคาสูงลิบลับเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีสมุนไพรบางชนิดที่หมู่ตึกไม่มีวางจำหน่าย เขาจึงคิดว่าโอกาสในครั้งนี้จะทำให้เขาค้นหาสมุนไพรสำหรับหลอมโอสถแปรแสงเพื่อเบิกดาราดวงที่สองได้ครบถ้วน

 

อาภรณ์ของหลงเฉินถูกสายฟ้าฟาดใส่จนไหม้ไม่เหลือชิ้นดีแล้ว เขาจึงเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่แล้วเก็บข้าวของอยู่ครู่หนึ่ง และก่อนที่หลงเฉินจะจากไปก็ได้แหงนขึ้นมองท้องฟ้าอันมืดครึ้มด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นมา——ขอบใจนะ

 

ในขณะนี้มีพลังแห่งอัสนีบาตคุกรุ่นอยู่ภายในร่างกายของหลงเฉินไปทุกอณู กายเนื้อที่แข็งแกร่งก็ยิ่งแกร่งกล้าขึ้นไปจนน่าหวาดกลัว เมื่อผ่านการชำระล้างจากอัสนีบาตรในครั้งนี้แล้ว ภายในจิตใจของหลงเฉินก็รู้สึกมั่นใจที่จะรับทัณฑ์จากสวรรค์ในครั้งต่อไปแล้ว

 

จากนั้นหลงเฉินก็เดินทางกลับสู่หมู่ตึก เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศวังเวงและตึงเครียดที่ปกคลุมไปทุกซอกทุกมุมของหมู่ตึก ไร้ซึ่งซุ่มเสียง ไร้ซึ่งวี่แววของผู้คนที่มักจะเดินเหินไปมาทั่วทั้งหมู่ตึก คงจะเป็นเพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังเก็บตัวเพื่อฝึกยุทธ์กันอยู่โดยไม่ต้องสงสัย

 

เมื่อหลงเฉินกลับมาถึงถ้ำที่พักของขุมกำลังก็ไม่ได้รู้สึกว่าบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปจากภายนอกเลยแม้แต่น้อย ทุกผู้คนยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ภายในถ้ำของตัวเอง ค่ายกลหินปราณทั้งหมดถูกเบิกออกเพื่อการฝึกยุทธ์กันอย่างบ้าคลั่ง

 

ถึงแม้ว่าการเพิ่มพูนพลังการฝึกยุทธ์ที่ต่อเนื่องไม่หยดเช่นนี้จะเป็นเรื่องที่เลวร้ายต่อร่างกายผู้คนเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหากต้องเผชิญหน้ากับศิษย์ฝ่ายอธรรมโดยที่พลังฝีมือไม่เก่งกาจพอก็คงจะมีแต่เอาชีวิตไปทิ้งเอาไว้เป็นแน่

 

และหากผู้ใดไม่เข้าร่วมการเปิดศึกกับฝ่ายอธรรมในครั้งนี้ก็จะถูกขับไล่ออกจากหมู่ตึกในทันที ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้วยังมีความเกรงกลัวต่อความเป็นตาย บุคคลเช่นนี้จึงไม่สมควรที่จะฝึกยุทธ์อีกต่อไป

 

ในขณะที่หลงเฉินกำลังจะกลับเข้าห้องหับของตัวเองก็เป็นเวลาที่ถังหว่านเอ๋อเพิ่งจะฝึกยุทธ์เสร็จสิ้นพอดี ดวงตาคู่งามค่อยๆ ตื่นลืมขึ้นมาช้าๆ

 

หลงเฉินมองไปที่ถังหว่านเอ๋อด้วยสีหน้าแตกตื่นอย่างถึงที่สุด เขาพบว่าบนร่างกายของถังหว่านเอ๋อเปี่ยมไปด้วยพลังสภาวะที่แข็งแกร่งแผ่กระจายไปทั่วบริเวณอย่างบ้าคลั่ง

 

เมื่อพบว่าหลงเฉินกลับมาแล้ว ถังหว่านเอ๋อก็ทอแววตาเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมาความยินดี พลันก็รีบแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเอ่ยถามออกไปว่า “เจ้าหนีไปอยู่ที่ใดมา? อีกทั้งยังหายไปเป็นเดือนกว่าจนข้าคิดว่าเจ้าหนีพวกเราไปเสียแล้ว”

 

หลงเฉินหัวเราะฮาฮาแล้วตอบกลับไปว่า “ข้าหนีไปจริงๆ ทว่ากลับหนีไปได้ครึ่งทางเท่านั้น เพราะรู้สึกเสียดายที่จะต้องทิ้งสาวงามเอาไว้ ฉะนั้นข้าจึงได้ย้อนกลับมาอย่างไรเล่า”

 

“เหอะ ข้าคิดไว้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องกล่าววาจาไร้สาระ” ถังหว่านเอ๋อกรอกตาขาวใส่หลงเฉิน พลันก็สังเกตได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดบนร่างกายของหลงเฉิน

 

“พลังการฝึกยุทธ์ของเจ้าแปลกประหลาดไปมากนัก ให้ความรู้สึกของขอบเขตก่อโลหิตขั้นสูงสุด ทว่ากลับมีอยู่หลายส่วนที่แตกต่างออกไปเป็นอย่างมาก แล้วเหตุใดเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าในตอนนี้ทำให้ข้ารู้สึกถึงกดดันอันมหาศาลได้ถึงเพียงนี้กัน? รู้สึกเหมือนจิตใจกำลังเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งจนแทบจะหลุดออกมาจากร่างอย่างไรอย่างนั้น”

 

หลงเฉินขยี้ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของเขาแล้วรีบสลายพลังสภาวะกลับคืนไป “เจ้าก็ทราบดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าข้านั้นไม่ชมชอบการเป็นจุดสนใจของผู้คน ทว่าด้วยพลังการฝึกยุทธ์ที่เพิ่มสูงขึ้นจึงทำให้จิตวิญญาณของข้าเฉิดฉายประดุจดวงอาทิตย์สาดแสงมาจากทิศตะวันออก จึงเป็นธรรมดาที่อิสตรีเช่นเจ้าจะต้องจิตใจเต้นระรัวเมื่อไห้พบข้า”

 

ถังหว่านเอ๋อที่กำลังตั้งใจฟังอย่างจดจ่อก็ทอสีหน้าเหยียดหยามขึ้นมาในทันที “อิสตรีโดยปกติก็ย่อมต้องจิตใจเต้นกันอยู่แล้ว หากไม่เต้นก็คงจะตายกลายเป็นศพไปตั้งแต่แรกแล้ว!

 

เจ้าหยุดกล่าววาจาไร้สาระได้แล้ว เพราะในตอนนี้เจ้าได้หลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนของพรรคฟ้าดินและพันธมิตร โปรดสงวนท่าทีหยอกเย้าของเจ้าเอาไว้บ้างเถิด” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“เหตุใดถึงต้องเป็นข้ากันเล่า? หรือว่าเจ้ากำลังจะผลักความรับผิดชอบและภาระทั้งหมดเอาไว้ที่ข้า เหอะ เป็นการกระทำที่ไม่ดีเอาเสียเลย” หลงเฉินกล่าวพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างอดสู

 

เขาไม่มีความรู้สึกที่อยากจะเป็นตัวอย่างของผู้ใด อีกทั้งยังจะให้กลายเป็นที่จับตามองของผู้คนนับร้อยเช่นนี้ย่อมทำให้ความเป็นอิสระของเขาเลือนหายไปอย่างแน่นอน

 

“หลงเฉิน ข้ากล่าวกับเจ้าด้วยความจริง เจ้าช่วยจริงจังกับการสนทนาบ้างได้หรือไม่” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาด้วยทีท่าที่เริ่มมีโทสะ

 

หลงเฉินจึงรีบตอบกลับไปด้วยความไม่เต็มใจว่า “ได้ ได้ ข้าจะแสร้งทำตัวเป็นปกติบ้างก็ย่อมได้ เจ้ามีอันใดกับข้าก็ว่ามาเถิด”

 

“หลงเฉิน ความเป็นจริงแล้วข้าไม่ได้อยากเป็นผู้นำของขุมกำลัง เพียงแต่ว่าข้าถูกกดดันจากตระกูลใหญ่ ฉะนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือก และที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเรามาถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะความสามารถของเจ้าทั้งหมด ถึงแม้ว่าเหล่าผู้คนจะยกย่องและเคารพในตัวข้า ทว่าข้ากลับมองว่าเจ้าเป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของพวกเขาทั้งหมด

 

เมื่อได้มองเข้าไปในดวงตาของพวกเขา ข้าก็ได้พบเห็นความหลงใหลชนิดหนึ่งที่ส่งไปหาเจ้า ราวกับว่าพวกเขาพร้อมจะมอบทุกสิ่งอย่างแม้กระทั่งชีวิตของตัวเองให้กับเจ้า!

 

หลงเฉิน เพื่อทุกคน และก็เพื่อตัวข้าเอง เจ้าจะช่วยแบกรับภาระในครั้งนี้อีกครั้งได้หรือไม่? ข้าไม่อาจทำให้เหล่าพี่น้องทั้งหลายต้องมาผิดหวังเพราะข้า อีกทั้งยังต้องจบชีวิตของพวกเขาภายใต้เงื้อมมือของฝ่ายอธรรม”

 

ถังหว่านเอ๋อคว้าแขนของหลงเฉินเอาไว้แน่นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน ภายในสายตาของนางมองว่าไม่มีผู้ใดภายใต้โลกหล้าแห่งนี้ที่จะเหมาะกับการเป็นผู้นำเท่าหลงเฉินอีกแล้ว

 

ขอเพียงเขายอมแบกรับชะตากรรมของผู้คนเอาไว้ แน่นอนว่าการบาดเจ็บล้มตายและการสูญเสียจะต้องลดน้อยลงไปเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนเชื่อมั่นใจตัวเขาอย่างถึงที่สุด

 

หลงเฉินฝืนยิ้มขึ้นมา พลันก็ถอนหายใจแล้วตอบกลับไปว่า “ในเมื่อทราบอยู่แล้วว่าจะต้องเข้าไปในกรงทอง ทว่าข้าก็ยังโง่งมเดินเข้าไปติดกับ เอาเถิด ข้าจะเลือกเป็นคนโง่ผู้หนึ่งอีกครั้งหนึ่งก็แล้วกัน”

 

ความหมายของหลงเฉินเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขายินยอมที่จะแบกรับภาระทั้งหมดเอาไว้บนบ่า เพราะหากว่าเขาไม่ยอมแบกรับเอาไว้คงจะกลายเป็นขยะที่ไร้ซึ่งน้ำใจอย่างถึงที่สุดแล้ว บางเวลาก็ต้องแกล้งโง่เขลาบ้างเพื่อให้ผู้คนสบายใจ

 

“หลงเฉิน ขอบใจเจ้ามาก”

 

ถังหว่านเอ๋อรู้สึกตื้นตันจนสวมกอดหลงเฉินแล้วหลั่งน้ำตาอย่างบ้าคลั่ง เดิมทีนางคิดว่าหลงเฉินจะด่าทอว่านางเป็นเด็กสาวที่ไม่รู้จักโต เอาแต่แง่งอนไม่เลิกรา ทว่าหลงเฉินกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย อีกทั้งยังยอมรับคำอ้อนวอนของนาง แม้ว่าจะเป็นภาระที่หนักหนาก็ตามที

 

ในขณะที่หลงเฉินช่วยสาวงามปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมาอาบทั้งสองแก้มอยู่นั้น จู่จู่พื้นดินก็เกิดการสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งผืนฟ้า

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset