เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 234 : การเปิดศึกได้เริ่มขึ้นแล้ว

“เต้งเต้ง……”

 

เสียงระฆังดังขึ้นมาเป็นสาย ในขณะที่ชางหมิงกำลังจะกล่าวบางอย่างขึ้นมา ทันใดนั้นก็ต้องทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง

 

“เกิดเรื่องขึ้นแล้ว รีบไปรวมตัวกันที่ลานกว้างพลิกสวรรค์เร็วเข้า”

 

ทันทีที่กล่าวจบ ชางหมิงก็ขยับร่างกายครั้งหนึ่งแล้วหายลับไปจากสายตาของผู้คนทั้งหมดอย่างรวดเร็ว หลงเหลือเพียงใบหน้าโง่งมของเหล่าศิษย์ที่จ้องมองไปยังความว่างเปล่า

 

นับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาอยู่ภายในหมู่ตึกแห่งนี้ก็ได้ยินเสียงระฆังดังกังวานเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง ทว่าในครั้งนี้กลับต่างออกไปก็ตรงที่เสียงลั่นระฆังได้ดังติดต่อกันถึงเก้าครั้งเลยทีเดียว

 

“นี่เป็นสัญญาณการรวมพล ทุกคนรีบไปกันเถิด”

 

หลงเฉินยกดาบใหญ่พาดไว้ที่บ่า พลันก็ออกเดินทางไปยังลานกว้างพลิกสวรรค์ในทันที ภายในจิตใจก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องกำลังจะเกิดขึ้น

 

ฝีเท้าที่ก้าวเดินออกไปนั้นได้สร้างความเสียหายให้กับอิฐศิลาอย่างรุนแรง พลันก็บังเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาว่าดาบใหญ่เล่มนี้มีน้ำหนักที่น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็รีบไหลเวียนพลังขุมหนึ่งจากใต้ฝ่าเท้าขึ้นมาในทันที

 

หากไม่กระตุ้นวงแหวนแห่งเทพออกมา เขาก็ไม่อาจหยิบยกดาบใหญ่เล่มนี้ขึ้นมาได้เลย และต่อให้กระตุ้นวงแหวนแห่งเทพขึ้นมาได้แล้วก็ใช่ว่าจะยกขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย หากเป็นเช่นนี้มีเพียงแต่จะต้องกระตุ้นกายาศึกกักวายุขึ้นมาเสียแล้ว

 

เดิมทีหลงเฉินก็คิดจะกวัดแกว่งดาบให้คล่องมืออยู่สักครู่หนึ่ง ทว่ากลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงระฆัง เขาจึงได้แต่เก็บดาบใหญ่ลงไปในแหวนมิติ จากนั้นก็นำพาผู้คนภายในขุมกำลังวิ่งตะบึงไปยังลานกว้างพลิกสวรรค์อย่างรวดเร็ว

 

เมื่อหลงเฉินและพวกพ้องได้มาถึงลานกว้างพลิกสวรรค์ ดวงตาคู่คมก็ได้แต่เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด เพราะในขณะนี้ได้มีผู้อาวุโสกว่าสามสิบคน ผู้คุมกฎอีกกว่าร้อยคน และลูกศิษย์ของหมู่ตึกทั้งหมดสองพันกว่าคนก็ได้มารวมตัวกันในบริเวณแห่งนี้ทั้งหมดแล้ว

 

หลิงหวินจื่อ ชางหมิง และถู่ฟางที่กำลังยืนอยู่แถวหน้าสุดได้ทอสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด “ขอแจ้งข่าวที่ต้องเรียกพวกเจ้ามารวมตัวว่าพวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางไปยังดินแดนของฝ่ายอธรรมแล้ว”

 

เมื่อได้ยินหลิงหวินจื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ บรรยากาศที่เคยเงียบงันแปรเปลี่ยนเป็นความโกลาหลและเต็มไปด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมายกใหญ่ บ้างก็ทอสีหน้าผิดหวังขึ้นมาในทันที ด้วยการฝึกยุทธ์อย่างไม่คิดชีวิตมาถึงสองเดือนเต็มๆ ก็ได้ทำให้ศิษย์ใหม่มากมายสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่หนึ่งกันไปแล้ว และมีศิษย์ของพันธมิตรพรรคฟ้าดินไม่น้อยที่สามารถเข้าสู่ขั้นที่สองกันแล้ว

 

พวกเขาพยายามเพิ่มพูนพลังการฝึกยุทธ์ขึ้นมาอย่างบ้าคลังก็เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะเปิดศึกกับฝ่ายอธรรม ความหวังสูงสุดก็เพื่อที่จะให้ตัวเองอยู่รอดด้วยการสังหารศิษย์ฝ่ายอธรรมลงไป แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงนั่นเอง

 

แล้วเหตุใดจู่จู่ทางหมู่ตึกถึงกล่าวขึ้นมาว่าพวกเขาไม่ต้องเปิดศึกกับศิษย์ฝ่ายอธรรมแล้ว มีผู้ใดบ้างที่จะสามารถละทิ้งความพยายามทั้งหมดที่ทุ่มเทมาแล้วทนรับคำพูดเช่นนี้ได้กัน

 

เมื่อได้เห็นสีหน้าผิดหวังของเหล่าศิษย์ทั้งหลาย แววตาของหลิงหวินจื่อก็ปรากฏความภาคภูมิใจขึ้นมาเล็กน้อย ลูกศิษย์ในปีนี้ช่างปีกกล้าขาแข็งกว่าศิษย์รุ่นก่อนหน้าเป็นอย่างมาก หากเป็นศิษย์รุ่นก่อนหน้านี้คงจะรีบถอนหายใจด้วยความโล่งอกกันไปตามๆ กันอย่างแน่นอน

 

“ที่ข้ากล่าวออกไปนั้นไม่ได้ความหมายว่าจะไม่มีการทดสอบ ในทางกลับกันคือจะมีการทดสอบเร็วยิ่งขึ้นอีกหลายวัน เพราะในไม่ช้านี้พวกเราจะต้องตั้งรับฝ่ายอธรรมที่จะบุกเข้ามาก่อนนั่นเอง

 

จากการสำรวจของหน่วยลาดตระเวนนั้นพบว่าศิษย์ฝ่ายอธรรมบางส่วนเริ่มเดินทางเข้าสู่เขตแดนของพวกเราแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นสัญญาณของการเปิดศึกต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม

 

และหลังจากที่ฝ่ายอธรรมบุกเข้ามาแล้ว พวกเขาก็จะต้องเข่นฆ่าประชาชนผู้ไร้ทางสู้ลงไปมากมายอย่างไม่ต้องสงสัย ฉะนั้นเวลาในตอนนี้จึงมีค่ามาเสียยิ่งกว่าสิ่งใด ข้าไม่มีเวลาให้พวกเจ้ากลับไปสะสางเรื่องส่วนตัวได้อีกแล้ว เพราะอีกสักครู่พวกเราทั้งหมดจะต้องออกเดินทางไปพร้อมๆ กัน”

 

ผู้คนมากมายเกิดอาการแตกตื่นขึ้นมาเป็นสาย ตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงระฆังดังขึ้นมา พวกเขาก็ผละออกจากทุกสิ่งอย่างแล้วรีบมุ่งหน้ามาที่ลานกว้างพลิกสวรรค์ในทันที ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่ทันได้เตรียมความพร้อมเลยแม้แต่น้อย การออกเดินทางในครั้งนี้จึงไม่ต่างจากการรนหาที่ตายเลยก็ว่าได้

 

“การเป็นผู้ฝึกยุทธ์จะต้องเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจสำหรับการต่อสู้ที่ไม่คาดฝันเอาไว้ทุกเวลา แล้วอาการแตกตื่นเช่นนี้คืออะไรกัน? พวกเขจ้ากำลังคิดว่าศัตรูจะต้องบอกกล่าวกับพวกเจ้าล่วงหน้าอย่างนั้นหรือ? บอกให้พวกเจ้าอบอุ่นร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมการโจมตีอย่างนั้นหรือ? เจ้าพวกศิษย์โง่!” ถู่ฟางมองไปยังเหล่าศิษย์ที่กำลังแตกตื่นและอยู่ในอาการสับสนจึงส่งเสียงด่าทอออกมาอย่างเหลืออด

 

“การเปิดศึกในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับหมู่ตึกของพวกเราเท่านั้น ศิษย์ของสำนักอื่นก็จะต้องทำการต่อสู้ด้วยเช่นกัน ทว่าแต่ละสำนักก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในการรักษาเขตแดนของตัวเองเอาไว้

 

การเปิดศึกในครั้งนี้ย่อมมีแต่ความโกลาหลเป็นอย่างยิ่ง เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นก่อนก็คงจะไม่อาจดูแลพวกเจ้าได้ทั้งหมด ฉะนั้นจงดูแลและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่าได้ก่อศึกภายในขึ้นภายในเหตุการณ์ครั้งนี้เลย และผู้บัญชาการของพวกเจ้าก็คือหลงเฉิน ข้าอยากให้ศิษย์ทุกคนฟังคำสั่งจากเขาเอาไว้ให้ดี” หลิงหวินจื่อกล่าว

 

หลงเฉินมองไปทางหลิงหวินจื่อด้วยดวงตาเบิกกว้าง เหตุใดข้าถึงได้กลายเป็นผู้บัญชาการของศึกในครั้งนี้ไปได้? ข้าเองก็ต้องการที่จะกอบโกยแต้มคะแนนอยู่นะ หากต้องคอยสอดส่องและออกคำสั่งให้ทุกคนเช่นนี้แล้วข้าจะกอบโกยแต้มคะแนนได้อย่างไรกันเล่า!

 

เมื่อพบว่าหลงเฉินคล้ายกับจะปฏิเสธออกมา หลิงหวินจื่อจึงรีบกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “บุคคลที่มากความสามารถเช่นเจ้า มีหรือที่จะมีผู้ใดเข้าขัดขวางได้ หลงเฉิน เจ้าเป็นศิษย์ของทางหมู่ตึก ฉะนั้นข้าขอออกคำสั่งให้เจ้ารับภารกิจนี้”

 

หลงเฉินได้แต่ทอสีหน้าโง่งมขึ้นมา ภายในจิตใจเกิดความรู้สึกจุกอยู่ในอกจนไม่อาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังถู่ฟางที่คล้ายกับกำลังหัวเราะในโชคชะตาของเขาอยู่

 

“หลงเฉิน วางใจเถิด ข้าเพียงเจ้าทำให้ผลงานชิ้นนี้ออกมายอดเยี่ยม ทางหมู่ตึกก็จะตอบแทนด้วยรางวัลที่คุ้มค่าอย่างถึงที่สุด หนึ่งในนั้นก็คือแผ่นป้ายประจำตัวของศิษย์สายตรงนั่นเอง” ถู่ฟางยิ้มแล้วกล่าว

 

หลงเฉินแสยะยิ้มขึ้นมาในทันที ศิษย์สายตรง? ก็ไม่ได้สูงส่งกว่าที่เป็นอยู่สักเท่าใดนัก เพราะทุกวันนี้เขาได้อาศัยอยู่ในห้องหับภายในถ้ำของศิษย์สายตรงแล้ว อีกทั้งยังได้ทานอาหารจากฝีมือของชิงยวูอยู่เป็นประจำ ทว่าวาจาของหลิงหวินจื่อกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความเด็ดเดี่ยวจนเขาไม่อาจปฏิเสธออกไปได้เลย

 

ถู่ฟางมองไปที่หลงเฉินราวกับว่าอ่านความคิดของเด็กหนุ่มออกแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “หลงเฉิน เจ้าอย่าได้ดูแคลนสถานะภาพของศิษย์สายตรงไปถึงเพียงนั้นเลย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ได้พิเศษมากมายนัก ทว่าหลังจากที่ขอบเขตแดนลับนพเก้าอันเป็นมิติช่องว่างแห่งหนึ่งได้เปิดออกแล้ว

 

เหล่าศิษย์สายตรงจะได้รับโอกาสให้เข้าไปค้นหาสมบัติในตำนานที่มีมากมายนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะได้พบกับวาสนาที่สามารถเย้ยสวรรค์ได้เลยทีเดียว ที่สำคัญที่สุดก็คือพลังการฝึกยุทธ์ของเจ้าจะต้องก้าวกระโดดเหนือการคาดเดาของเจ้าไปไกลอย่างแน่นอน”

 

“ขอบเขตแดนลับนพเก้า?” หลงเฉินเองก็ไม่ทราบว่าเป็นสถานที่แห่งนั้นมีความลึกลับอย่างไร ทว่านามของมันกลับทำให้จิตใจของเขาเต้นระรัวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่จุดดารากักวายุที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็ยังไม่อาจควบคุมพลังลมปราณเอาไว้ได้จนต้องไหลเวียนขึ้นมาอย่างรุนแรง

 

หลงเฉินเกิดความฉงนสงสัยขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดจุดดารากักวายุถึงได้ตอบสนองอย่างรุนแรงถึงเพียงนี้ได้? หรือว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับขอบเขตแดนลับนพเก้าอย่างนั้นหรือ?

 

“อย่าได้สงสัยอีกเลย โอกาสเช่นนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายดายนัก ฉะนั้นจงรีบฉวยเอาไว้เถิด” ถู่ฟางตบบ่าของหลงเฉิน เบาๆ ทว่าน้ำเสียงของเขากลับหนักแน่นเป็นอย่างยิ่ง

 

ข้อเสนอนี้ถือได้ว่าเป็นการชักชวนที่เย้ายวนต่อจิตใจของหลงเฉินอย่างถึงที่สุด ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกอับจนปัญญาและไม่ทราบว่าจะปฏิเสธออกไปเช่นไรดี ทว่าขอบเขตแดนลับนพเก้านั้นก็ช่างดึงดูดความสนใจได้อย่างยิ่งยวด เป็นไปได้ว่าในสถานที่แห่งนั้นจะต้องมีความลับของเคล็ดวิชากายานวดาราอยู่เป็นแน่

 

“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่ไว้วางใจ ศิษย์จะทุ่มเทความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อทำภารกิจนี้ให้สำเร็จเอง” หลงเฉินตอบรับด้วยความนอบน้อม ในเมื่อไม่อาจปฏิเสธได้ก็น้อมรับเอาไว้ดีกว่า

 

หลิงหวินจื่อฉีกรอยยิ้มกว้างแล้วกล่าวว่า “ขอบใจมาก นับตั้งแต่บัดนี้ไปข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการของฝ่ายธรรมะ หากมีผู้ใดบังอาจขัดขวางหรือไม่เชื่อฟังคำสั่งของเจ้า ข้าให้สิทธิ์เจ้าลงโทษคนผู้นั้นได้ในทันที!”

 

วาจาของหลิงหวินจื่อทำให้ผู้คนของพรรคฟ้าดินและพันธมิตรเกิดอาการกระหยิ่มยิ้มย่องขึ้นมาด้วยความยินดีเมื่อได้ยินว่าหลงเฉินกลายเป็นผู้บัญชาการในการออกศึกครั้งนี้

 

“ขอคัดค้าน!”

 

จู่จู่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาท่านกลางความเงียบงัน คนผู้นั้นตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงสูงและแข็งทื่อ เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นสายตาของผู้คนทั้งหมดก็ได้หันไปมองยังต้นเสียง เขาคือศิษย์สายในประจำขุมกำลังของกู่หยางนั่นเอง

 

“ท่านเจ้าสำนักที่เคารพ พวกเราและหลงเฉินมีความแค้นต่อกันอยู่ไม่น้อย หากท่านแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชาการ อีกทั้งยังมีอำนาจเด็ดขาดต่อทุกคน เช่นนั้นแค่เขากระดิกนิ้วมือเพียงครั้งเดียวก็กลายเป็นว่าได้ตัดสินชีวิตของพวกเราไปแล้วไม่ใช่หรอกหรือ?” ศิษย์สายในผู้นั้นตะโกนขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ

 

ทันทีที่ศิษย์สายในผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบไปก็ได้มีมือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อของเขาแล้วจับโยนออกไปไกล จากนั้นกู่หยางก็รีบหันไปกล่าวต่อหลิงหวินจื่อด้วยท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยมารยาทว่า “ต้องขออภัยด้วย คนของศิษย์ไม่รู้ว่าอันใดไม่สมควร ได้โปรดท่านเจ้าสำนักให้อภัยพวกเราด้วย”

 

หลิงหวินจื่อทอสีหน้าเรียบเฉยแล้วถามหยั่งเชิงออกไปว่า “เจ้าต้องการจะกล่าวอันใดอีกหรือไม่?”

 

กู่หยางส่ายหน้าไปมา “ไม่มีอันใดที่สมควรจะกล่าวออกไปแล้ว ศิษย์เชื่อมั่นว่าคนอย่างหลงเฉินไม่มีวันลงมืออย่างเลวทรามเช่นนั้นแน่นอน!”

 

วาจาของกู่หยางทำให้ผู้คนทั้งหมดทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมา แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเลย คำพูดและท่าทีของกู่หยางเรียกได้ว่าเหนือความคาดหมายของพวกเขาเป็นอย่างมาก

 

“ศิษย์เห็นด้วยอีกเสียงหนึ่ง ภารกิจในครั้งนี้จะต้องให้หลงเฉินเป็นผู้บัญชาการของพวกเราเท่านั้นจึงจะเหมาะสม” เหร่ยเชียนซังกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน

 

ผู้คนมากมายต่างก็เกิดความสับสนระคนคลาแคลงใจ เห็นๆ กันมาเนิ่นนานแล้วว่าพวกเขาทั้งสองคนมีเรื่องบาดหมางกับหลงเฉินจนต้องตายกันไปข้างหนึ่งเลยก็ว่าได้ แล้วเหตุใดจู่จู่ถึงกล่าววาจาสนับสนุนขึ้นมาเช่นนี้ หรือพวกเขากำลังคิดจะกลั่นแกล้งหลงเฉินอยู่?

 

“ไม่เลวเลยทีเดียว เป็นเพราะนิสัยของหลงเฉินสินะ” หลิงหวินจื่อพยักหน้าพร้อมกับกล่าวพึมพำกับตัวเอง แววตาทั้งสองปรากฏประกายชื่นชมขึ้นมาเป็นสาย

 

“พี่ใหญ่……”

 

ศิษย์สายในที่ถูกโยนออกไปเมื่อครู่นี้ร่ำร้องขึ้นมายกใหญ่ ในขณะที่คนผู้นั้นกำลังจะกล่าวพร่ำเพ้อขึ้นมานั้น กู่หยางก็รีบโบกมือขวางเขาเอาไว้ พลันก็หันมากล่าวต่อหลงเฉินว่า “ไม่ทราบว่าข้าจะสามารถสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเจ้าได้หรือไม่?”

 

หลงเฉินมองไปยังใบหน้าจริงจังของกู่หยางแล้วยิ้ม “หากเจ้ายอมมอบแผ่นหลังของเจ้าให้ข้า ข้าก็จะไม่ทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

 

ทันใดนั้นกู่หยางก็หัวเราะฮาฮาขึ้นมาเสียงดัง “ได้ ชีวิตของกู่หยางผู้นี้จะขอมอบให้แก่หลงเฉินก็แล้วกัน”

 

ผู้คนมากมายอยู่ในอาการตกใจอย่างไม่เสื่อมคลาย คิดไม่ถึงเลยว่ากู่หยางผู้ยิ่งใหญ่จะยอมมอบชีวิตของตัวเองให้กับหลงเฉิน อีกทั้งยังเป็นวาจาที่ไม่ได้ฝืนจิตใจของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

 

ส่วนเหร่ยเชียนซังเองก็อยากจะกล่าววาจาเช่นนั้นออกไปบ้าง ทว่าด้วยนิสัยถือตัวจึงทำให้เขาไม่มีความกล้าหาญเยี่ยงกู่หยาง

 

“ความแค้นของผู้คนภายในหมู่ตึกที่ผ่านมานั้นเบาบางดั่งเส้นขน แล้วพวกเจ้ายังไม่เข้าใจกันอีกหรือว่าข้านั้นเป็นคนเช่นไร ขอเพียงพวกเจ้าไม่ทรยศต่อความจริงใจของข้า ข้าก็ยินยอมพร้อมที่จะหลั่งโลหิตจนหยาดสุดท้ายเพื่อพวกเจ้าด้วยเช่นกัน

 

ในครั้งนี้ที่พวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายอธรรมผู้โหดเหี้ยม ข้าไม่อาจให้คำมั่นสัญญาได้ว่าจะทำให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดกลับมาได้ทุกคน ทว่าสิ่งที่ข้าสามารถให้คำมั่นสัญญาได้ก็คือในช่วงวิกฤตที่อันตรายที่สุด พวกเจ้าจะมีข้าคอยยืนอยู่เบื้องหน้าสุดของพวกเจ้าเสมอ” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

แม้ผู้คนทั้งหมดไม่ได้ส่งเสียงดังด้วยความฮึกเหิมแต่อย่างใด ทว่าภายในจิตใจของพวกเขากลับไม่หวาดกลัวต่อศึกการต่อสู้ที่กำลังจะได้พบเจอแม้แต่น้อย คำพูดของหลงเฉินได้ดังกึกก้องไปจนถึงจิตวิญญาณของพวกเขาจนทำให้จิตใจเต้นระรัวขึ้นมา แม้กระทั่งกระแสโลหิตยังพุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง

 

ถังหว่านเอ๋อเหม่อมองไปยังใบหน้าแน่นิ่งของหลงเฉิน ภายในดวงตาคู่งามทอประกายความเคารพยกย่องขึ้นมาเป็นสาย ในช่วงเวลาที่คนผู้นั้นจริงจังขึ้นมานั้นแทบจะไม่ต่างไปจากวีรบุรุษแห่งยุคเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญที่ทำให้ผู้คนยอมรับจนหมดใจ

 

มุมปากของหลิงหวินจื่อปรากฏรอยยิ้มเหยียดขึ้นมาด้วยความพึงพอใจอย่างถึงที่สุด เขาคิดไม่ผิดที่ให้หลงเฉินเป็นผู้บัญชาการของกองทัพในครั้งนี้ เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคก็สามารถทำให้ผู้คนเลื่อมใสได้ อีกทั้งยังเข้าไปกระตุ้นความแน่วแน่ของผู้คนทั้งหมดภายในพริบตาเดียว

 

“ซูม”

 

หลิงหวินจื่อโบกมือขึ้น จากนั้นสัตว์มายาประเภทเหาะเหินหลายร้อยตัวก็ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าผู้คน ที่น่าตกใจที่สุดก็คือสัตว์พาหนะเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์มายาระดับสามทั้งหมด

 

“ออกเดินทางได้!”
.

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset