เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 235 : บุก!

บนหลังของสัตว์มายาขนาดใหญ่ตัวหนึ่งมีหลงเฉินและศิษย์สายตรงอีกสิบเจ็ดคนนั่งอยู่รวมกัน หลงเฉินล้วงเอาหนังสัตว์ผืนหนึ่งออกมากาง จากนั้นก็ชี้ไปยังกลางแผ่นที่กล่าวว่า

 

“ฝ่ายอธรรมได้บุกเข้ามาในบริเวณนี้ คงจะใช้เวลาอีกกว่าเก้าชั่วยามจึงจะเจอกับพวกเรา ศิษย์ฝ่ายอธรรมทั้งหมดมีความคุ้นเคยในการลอบสังหารผู้คน พวกเขาคงจะเข่นฆ่าชาวบ้านผู้ไร้ซึ่งทางสู้ไปมากมายจนคล้ายกับเป็นการฝึกฝนชนิดหนึ่งของตัวเองไปแล้ว

 

เมื่อพวกเราไปถึงที่นั่นแล้วคงจะไม่มีเวลาเตรียมความพร้อมใดใดทั้งสิ้น เพราะหากพวกเราล่าช้าไปแม้แต่น้อยก็อาจทำให้ชาวบ้านต้องตายตกไปนับไม่ถ้วน”

 

ศิษย์สายตรงพยักหน้าอย่างว่าง่าย เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นรวดเร็วจนเรียกว่าคับขันเลยก็ว่าได้ พวกเขาจึงไม่มีเวลาเตรียมการหรือวางแผนใดใดทั้งสิ้น จากที่จะได้โจมตีก่อนก็กลับกลายเป็นว่าถูกบุกเข้ามาก่อนเสียอย่างนั้น

 

“ฝ่ายอธรรมเหล่านี้กำลังคิดอันใดอยู่กัน? เหตุใดถึงได้โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้? เหตุใดถึงเข่นฆ่าผู้คนไม่เลิกรา?” หลี่ฉีกล่าวขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด

 

ภายในจิตใจของศิษย์สายตรงต่างก็ไม่อาจหาคำพูดใดมาอธิบายความรู้สึกของตัวเองได้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือฝ่ายอธรรมก็คงจะต้องมีบิดาและมารดาคอยเลี้ยงดูฟูมฟักขึ้นมาไม่ใช่หรือ แล้วเป็นเพราะเหตุอันใดพวกเขาเหล่านั้นถึงได้มีจิตใจที่โหดเหี้ยมอำมหิตจนสามารถสังหารผู้ที่ไม่มาทางสู้ได้

 

หลงเฉินมองไปยังแววตาสั่นเครือของพวกพ้องแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “พวกเจ้าไม่มีวันที่จะเข้าใจพวกเขา ฝ่ายอธรรมนั้นก็มีความเชื่อมั่นของพวกเขาเอง ทว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นเชื่อมั่นกลับมีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้น

 

พวกเขาปลูกฝังว่าการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ย่อมต้องเป็นผู้แข็งแกร่งเท่านั้น ส่วนผู้อ่อนแอก็เป็นได้แค่บันไดที่ให้ผู้แข็งแกร่งเหยียบย่ำแล้วก้าวต่อไปได้ ฉะนั้นยอดฝีมือที่อ่อนแอกว่าก็เป็นได้แค่เครื่องสังเวยของผู้ที่แข็งแกร่งกว่าโดยไม่มีข้อกังขา

 

ฉะนั้นพวกเขาทุกคนจึงมีความเชื่อมั่นต่อพลังของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม ภายในห้วงสมองคิดเพียงว่าพลังคือทุกสิ่งอย่าง อีกทั้งยังสามารถกุมอำนาจทั้งหมดเอาไว้ได้โดยไม่สนแม้แต่วิธีการหรือหลักการแห่งสวรรค์”

 

“แล้วเหตุใดถึงต้องโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้กันเล่า?” ถังหว่านเอ๋อถอนหายใจออกมา

 

หลงเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “นั่นก็เป็นเพราะความเชื่อมั่นคือสิ่งเดียวที่จะบ่มเพาะจิตใจที่แน่วแน่ของผู้คนอย่างไรเล่า หากไร้ซึ่งความเชื่อมั่นก็หมายถึงคนผู้นั้นเป็นคนอ่อนแอ

 

ฝ่ายอธรรมเชื่อว่าวิธีการเอาตัวรอดเช่นนั้นเป็นสิ่งที่สมควรกระทำที่สุด ซึ่งการเข่าฆ่าก็คือกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดิน ส่วนฝ่ายธรรมะอย่างพวกเราที่เอาแต่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันนั้นขัดกับวิถีแห่งฟ้าดิน ฉะนั้นพวกเขาที่คิดว่าตัวเองเป็นตัวแทนแห่งสวรรค์จึงหมายที่จะจัดการกับผู้ฝ่าฝืนต่อวิถีแห่งฟ้าดินนั่นเอง

 

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเข่นฆ่าผู้คนแล้วทอดสายตาเย้ยหยันโดยไม่รู้สึกผิดก็เพราะตัวเองได้ปกป้องวิถีแห่งฟ้าดินแล้ว และที่สำคัญก็คือสำหรับพวกเขานั้นการสังหารผู้คนเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ภายในจิตใจจึงไม่ได้เกิดความขัดแย้งว่าสมควรหรือไม่”

 

คำพูดของหลงเฉินสร้างความหวาดหวั่นให้กับเหล่าศิษย์สายตรงทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะเคยได้ยินความโหดเหี้ยมของฝ่ายอธรรมมาบ้าง ทว่าพวกเขาก็ไม่เคยได้ทราบถึงเหตุผลอันล้ำลึกเช่นนี้เลย

 

“เป็นกลุ่มคนที่บ้าคลั่งเสียจริง” ศิษย์สายตรงผู้หนึ่งกล่าวพร้อมกับส่ายหน้าไปมา

 

“ข้าจึงอยากเตือนพวกเจ้าว่าในขณะที่ลงมือนั้นอย่าได้ยั้งมืออย่างมีไมตรีจิต อย่าได้รู้สึกเมตตา กรุณา หรือปราณีกับฝ่ายตรงข้ามโดยเด็ดขาด เพราะความโง่เขลาของพวกเขาไม่มีโอสถใดจะเยียวยารักษาได้อีกแล้ว

 

และจงคิดไว้เสมอว่าการตายโดยที่ไม่ลงมืออย่างเด็ดขาดจะกลับมาทำร้ายผู้คนที่ติดตามพวกเจ้าอยู่ เช่นนั้นต่อให้พวกเจ้าตายไปก็ไม่อาจตายตาหลับได้” หลงเฉินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พลันก็ปรายตามองมาทางถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวที่เป็นสตรีมีจิตใจงดงาม

 

“วางใจเถิด ข้าจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่ ข้าจะไม่ใจอ่อนต่อศัตรู” ถังหว่านเอ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วตอบกลับไปอย่างหนักแน่น

 

หลงเฉินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยแล้วพยักหน้าอย่างเบาใจ พลันก็กวาดสายตามองไปโดยรอบแล้วกล่าวต่ออีกว่า “ยังมีผู้ใดอีกบ้างที่ยังไม่สามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมา? แล้วพวกเจ้าอยากจะปลุกมันขึ้นมาหรือไม่?”

 

ศิษย์สายตรงที่ยังไม่มีสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลต่างก็ทอแววตาเป็นประกายเจิดจ้า จิตใจเต้นระรัวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เพราะว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้ยินข่าวลือว่าหลงเฉินใช้วิชาลับบางอย่างจนทำให้ซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉางปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ภายในพริบตาเดียว

 

“หากศิษย์พี่หลงเฉินช่วยเหลือพวกเรา พวกเรายินดีที่จะเป็นม้าตามรับใช้ท่านตลอดไป”

 

ศิษย์สายตรงผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยอาการลิงโลด เพราะว่าทางตระกูลใหญ่ของเขาก็ไร้ซึ่งผู้สืบทอดพลังจากสัญลักษณ์มานานแล้ว อีกทั้งในรุ่นหลังก็ยิ่งมีโลหิตของบรรพบุรุษเจือจางลงไปทุกที หากผู้สืบทอดไม่อาจปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ เหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาคงจะไม่มีวันนอนตายตาหลับอย่างแน่นอน

 

“การกระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลของพวกเจ้านั้นข้าเองก็ช่วยไม่ได้มาก ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเอง หลี่ฉี เจ้าช่วยบอกเล่าถึงเหตุการณ์ปลุกพลังให้พวกเขาได้รับรู้เสียหน่อยเถิด”

 

หลี่ฉีพยักหน้าด้วยความยินดีแล้วเริ่มเล่าถึงประสบการณ์ที่พบพานและความรู้สึกที่ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงในวันนั้นให้ศิษย์สายตรงทั้งหมดได้รับฟังจนผู้คนทั้งหมดปากอ้าตาค้างด้วยความประหลาดใจ

 

“ข้านึกบางอย่างขึ้นมาได้แล้ว เมื่อในตอนที่กระตุ้นพลังอักขระขึ้นมาได้นั้นเป็นช่วงที่เม่ยเม่ยของข้าถูกกักบริเวณอยู่ ในวันนั้นข้าได้แอบพาเม่ยเม่ยออกไปล่าสัตว์ที่หุบเขาลึกจนพบกับสัตว์มายาที่แข็งแกร่งตัวหนึ่ง ในตอนนั้นข้ายังไม่มีพลังฝีมือที่แกร่งพอที่จะต่อสู้กับสัตว์มายาตัวนั้นได้เลย ข้าจึงได้แต่มองดูเสี่ยวเม่ย (น้องสาวคนเล็ก) กลายเป็นอาหารของสัตว์มายาไปต่อหน้าต่อหน้า

 

ภายในจิตใจของข้ารู้สึกคลุ้มคลั่งขึ้นมาไม่หยุด แล้วจู่จู่ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากร่างกายของข้าพร้อมกับพลังมหาศาลขุมหนึ่งที่สามารถสังหารสัตว์มายาตัวนั้นลงไปได้ในที่สุด และในภายหลังก็เพิ่งจะมาทราบว่าพลังขุมนั้นคือสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลนั่นเอง” กู่หยางเล่าออกมายืดยาว

 

“เมื่อชีวิตของตัวเองถูกคุกคามจนไร้หนทางหลบหนีหรือมีคนสำคัญตกอยู่ในห้วงแห่งความตาย พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ก็จะระเบิดออกมานับสิบเท่า เพราะการปกป้องของพวกเราก็เหมือนกับความเชื่อมั่นของฝ่ายอธรรม มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่จะทำให้พวกเจ้าไร้ซึ่งความหวาดกลัวต่อศัตรู สามารถมุ่งไปข้างหน้าได้อย่างไม่หยุดยั้ง และที่สำคัญคือพวกเจ้าจะไม่ใส่ใจต่อความเป็นตายอีกต่อไป

 

ฉะนั้นหากพวกเจ้าอยากปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาก็จำเป็นที่จะต้องระเบิดพลังที่มีทั้งหมดออกมาเพื่อปกป้องคนสำคัญด้วยจิตวิญญาณ แล้วเมื่อถึงตอนนั้นพลังอันมหาศาลภายในโลหิตของบรรพบุรุษก็จะปรากฏขึ้นมาเอง

 

ทว่าเพียงคำพูดก็อาจจะง่ายดาย อีกทั้งโอกาสสำเร็จก็ไม่ได้สูงล้ำมากนัก อยู่ที่พวกเจ้าเองว่าจะเชื่อมั่นในสหายของพวกเจ้าหรือไม่ หรือเห็นว่าชีวิตของพวกเขาสำคัญต่อตัวเองหรือไม่

 

ศึกครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่แท้จริง มีชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน การลงมือต่อศัตรูไม่ใช่ความเคยชินที่พวกเราเคยพบพานมา ฉะนั้นทุกครั้งที่ลงมือจงอย่าได้สับสนหรือปราณี ไม่เช่นนั้นคนที่จะต้องตายก็คือพวกเจ้าเอง

 

และหากปรารถนาให้ผู้คนมีชีวิตรอดกลับมามากที่สุด พวกเจ้าจะต้องทุ่มเทการสนับสนุนด้วยพลังทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเขา ใช้พลังทั้งหมดสังหารศัตรูอย่างหมดจด โค่นล้มศัตรูอย่างเฉียบขาดเพื่อเป็นการเปิดฉากที่งดงามที่สุดให้ได้ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?” หลงเฉินกล่าว

 

“เข้าใจแล้ว พวกเราจะทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีในการต่อสู้ครั้งนี้!”

 

ศิษย์สายตรงตบปากรับคำในทันที ในเมื่อหลงเฉินแบ่งปันประสบการณ์ให้กับพวกเขาแล้ว ภายในจิตใจที่เคยเกิดความบาดหมางต่อหลงเฉินก็ได้สลายหายไปจนไม่เหลือร่องรอยเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันกลับเกิดความรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาอย่างท่วมท้น

 

หลงเฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันไปกล่าวต่อหญิงสาวนางหนึ่ง “ศิษย์พี่ฉีเยวี่ย ฝากเรื่องภายหลังจากนี้กับพวกท่านด้วย ข้าจะแบ่งกำลังพลบางส่วนไปคุ้มกันพวกท่านเอง”

 

ฉีเยวี่ยคือผู้รักษาแห่งศาลาการแพทย์ที่เคยเข้ามารักษาอาการบาดเจ็บให้กับผู้คนของพรรคฟ้าดินพร้อมกับลู่ชรวนนั่นเอง

 

“วางใจเถิด พวกเราเองก็จะทุ่มเทพลังทั้งหมดเช่นกัน” ฉีเยวี่ยกล่าว

 

ฉีเยวี่ยได้พาศิษย์จากศาลาการแพทย์ร่วมเดินทางมาด้วยส่วนหนึ่งเพื่อช่วยรักษาศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้อย่างทันท่วงที

 

“ลู่ฉวนก็คงจะร่วมเดินทางมาด้วยสินะ ฝากท่านบอกต่อเขาด้วยว่าหากกล้าลงมือโดยไม่รู้จักกาลเทศะ ข้าจะเป็นคนเด็ดศีรษะของเขาออกมาทันที” หลงเฉินกล่าว

 

ฉีเยวี่ยหัวเราะเบาๆ แล้วตอบกลับไปว่า “วางใจเถิด หลังจากที่เจ้าสังหารหวู่ฉีได้ เขาก็สงบเสงี่ยมและเชื่อฟังคำสั่งแต่โดยดีไปโดยปริยาย”

 

หลงเฉินพยักหน้ารับ เขาไม่ได้เกรงกลัวว่าลู่ฉวนจะก่อเรื่องวุ่นวาย ทว่ากลับวิตกว่าเด็กน้อยผู้นั้นจะไม่ช่วยทำการอันใดเลยต่างหาก ในเมื่อศิษย์พี่ฉีเยวี่ยกล่าวออกมาเช่นนั้นก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาได้

 

“ทุกคนจะต้องพกพลุแจ้งสัญญาณเอาไว้กับตัวทั้งหมดสามแท่ง ไม่แนะนำให้เก็บเอาไว้ในแหวนมิติ เพราะหากอยู่ในช่วงเวลาคับขันจะไม่สามารถใช้ได้ทันที และในขณะที่จะจุดพลุแจ้งสัญญาณต้องเอียงเล็กน้อยแล้วค่อยปล่อย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าไปชักนำสัญญาณให้ศัตรูทราบตำแหน่งได้……”

 

เมื่อหลงเฉินกำชับทุกอย่างออกไปอีกครั้งหนึ่งแล้วก็ประจวบกับช่วงเวลาที่เหล่าสัตว์มายาเริ่มร่อนลงสู่เบื้องล่างที่เป็นภูเขาลูกใหญ่ ทว่าบนภูเขาแห่งนั้นกลับโล่งเตียนจนสามารถมองเห็นหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่ง

 

หลังจากที่ร่อนลงมาถึงบริเวณหมู่บ้านร้าง ผู้คนทั้งหมดก็ได้สูดลมหายใจที่เย็นเยียบเข้าไปช้าๆ สายตามองไปยังซากศพมากมายด้วยความโกรธแค้น รังสีสังหารแผ่ออกมาจนบรรยากาศโดยรอบสั่นไหวอย่างรุนแรง

 

“เป็นฝีมือของเจ้าพวกบัดซบเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ!”

 

ผู้คนมากมายขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วด่าทอขึ้นมา หมู่บ้านแห่งนี้มีคนตายนอนเกลื่อนกลาดอยู่หลายร้อยคน มีทั้งคนแก่ชราไปจนถึงเด็กทารกแรกเกิดเพียงไม่กี่เดือนเลยก็ว่าได้

 

“ทั้งหมดเตรียมเข้าสู่สนามรบ!”

 

ทันใดนั้นหลงเฉินก็ตะโกนเสียงดังกังวานไปทั่วทั้งผืนฟ้า “พี่น้องทั้งหลาย ศิษย์ของฝ่ายอธรรมได้เข่นฆ่าชาวบ้านผู้ไร้ทางสู้ไปแล้ว นี่ไม่ใช่การทดสอบ ทว่าเป็นศึกชี้ความเป็นตาย

 

ไม่ใช่เพื่อคะแนนหรือเกียรติยศ มีเพียงโลหิตที่เดือดพล่านภายในกายของพวกเราเท่านั้นที่จะทำให้พวกมันประจักษ์ จงใช้อาวุธในมือห้ำหั่นศัตรูจนศีรษะขาดสะบั้น สังหารพวกมันให้หมด!”

 

“บุก! บุก! บุก!”

 

จิตใจของผู้คนทั้งหมดถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่แววตายังกลายเป็นสีแดงฉานไปทั้งหมด จากความเคร่งเครียดและกดดันกลายเป็นความหิวกระหายอย่างบ้าคลั่ง ความรู้สึกในตอนนี้พร้อมที่จะเปิดศึกกับฝ่ายอธรรมอย่างหมดจดแล้ว

 

ทันใดนั้นเองเบื้องหน้าสายตาของพวกเขาก็ปรากฏหมู่บ้านขนาดเล็กอีกแห่งหนึ่งที่มีผู้คนสวมชุดคลุมยาวสีแดงหลายสิบคนถือดาบจันทร์เสี้ยวกำลังไล่ฆ่าชาวบ้านจนพื้นนองไปด้วยหยาดโลหิต

 

หลงเฉินเป็นคนแรกที่กระโดดลงจากหลังของสัตว์มายาขนาดใหญ่แล้ววิ่งตะบึงไปยังกลุ่มของศิษย์ฝ่ายอธรรมในทันที

 

“บุก!”

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset