เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 241 : ความร้ายกาจของสำนักนรกโลหิต

“หลงเฉิน เจ้าเป็นอะไรไป? เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นอย่างนั้นหรือ?” ถังหว่านเอ๋อเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหลงเฉินมีอาการแปลกไป

 

หลงเฉินได้แต่จ้องมองไปที่ป้ายหยก จากนั้นก็เอาแผนที่ออกมาแล้วชี้ไปตามเส้นทางของสันเขาสายหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากสถานที่แห่งนี้——เฟิงหมิง

 

“หว่านเอ๋อ ข้ามีเรื่องที่จะต้องไปสะสางสักครู่หนึ่ง เจ้าช่วยเป็นผู้บัญชาการชั่วคราวไปก่อนนะ” หลงเฉินกล่าวพร้อมกับเก็บแผนที่นั้นลงไป พลันก็นำแผ่นป้ายชิ้นหนึ่งยัดใส่มือของถังหว่านเอ๋ออย่างรวดเร็ว

 

ป้ายหยกชิ้นนั้นคือแผ่นป้ายสำหรับส่งข่าวสารและสัญญาณทุกอย่าง ซึ่งภายในนั้นมีอักขระประหลาดซ่อนอยู่ ขอเพียงไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณเข้าไปก็จะสามารถรับและส่งข่าวสารให้กับอีกคนหนึ่งได้ทันที

 

และเมื่อครู่นี้เองหลงเฉินก็สัมผัสได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านขึ้นมาบนอักขระเหล่านั้น อีกทั้งยังพบว่าจักรวรรดิเฟิงหมิงเป็นเขตคุ้มครองของสำนักใหญ่แห่งหนึ่งอันมีนามว่าสำนักนรกโลหิตนั่นเอง

 

สำนักนรกโลหิตเคยคิดจะกอบโกยเหมืองหินปราณทั้งหมดที่อยู่ในจักรวรรดิเฟิงหมิงทั้งหมดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ทว่าในท้ายที่สุดกลับไม่ได้รับผลประโยชน์ใดเลยก็เพราะหลงเฉิน

 

หากเป็นไปตามที่หลงเฉินคาดการณ์เอาไว้ อาจจะเป็นไปได้ที่ศิษย์ของสำนักนรกโลหิตจะต้องเพิกเฉยต่อการบุกโจมตีจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงของฝ่ายอธรรม อีกทั้งยังแสร้งทำเป็นไม่อาจต้านรับศัตรูเหล่านั้นได้ แล้วปล่อยให้ศิษย์ฝ่ายอธรรมเข้าไปทำลายเมืองจนพินาศย่อยยับ

 

ก่อนหน้านี้หลงเฉินก็เคยพบกับผู้อาวุโสของสำนักนรกโลหิตที่ถูกเรียกขานว่าจ้าวเม่าหางแล้ว และคนผู้นี้ก็ยังกระทำการที่หมายจะสร้างความอัปยศให้แก่หลงเฉิน ทว่าท้ายที่สุดกลับถูกถู่ฟางขับไล่จนหนีเตลิดไป

 

เมื่อหลงเฉินเห็นว่าจักรวรรดิเฟิงหมิงเป็นแนวหน้าของเขตคุ้มกันนั้น ด้วยความเกลียดชังของสำนักนรกโลหิตที่มีต่อจักรวรรดิเฟิงหมิงคงจะต้องเกิดเรื่องที่เลวร้ายจนยากที่จะรับไหวอย่างแน่นอน

 

ด้วยเหตุนี้หลงเฉินจึงอดไม่ได้ที่จะทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เพราะสถานที่แห่งนั้นมีบิดา มารดา และพวกพ้องของเขาอยู่ ภายในจิตใจจึงเกิดความรู้สึกเป็นห่วงระคนวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง ในขณะนี้จึงมีจิตใจที่จะจากไปเพื่อช่วยเหลือพวกเขา

 

ถังหว่านเอ๋อมองไปยังป้ายหยกที่หลงเฉินส่งมาให้ด้วยอาการปากอ้าตาค้างขึ้นมาอย่างถึงที่สุด แม้แต่พวกพ้องที่รายล้อมอยู่โดยรอบก็ได้ทอสีหน้าตะลึงลานมองไปทางหลงเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา หลงเฉินเปรียบเหมือนจิตวิญญาณของกองทัพนี้ หากว่าเขาจากไปแล้วผู้คนที่เหลือจะมีจิตสมาธิตั้งมั่นอยู่ได้อย่างไร

 

“ข้าไม่มีเวลาอธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจแล้ว ข้าจำเป็นที่จะต้องไป ทว่าพวกเจ้าก็อย่าได้หวาดหวั่นไปเลย ข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด หากเป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้คงจะได้พบเจอกับกำลังหลักของฝ่ายอธรรมในอีกสามถึงห้าวันหลังจากนี้

 

ส่วนที่พบเจอตามรายทางทั้งหมดต่างก็เป็นเพียงปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น ไม่ได้มีพลังการต่อสู้ที่น่าหวาดกลัวแต่อย่างใด อีกทั้งการลงมือของพวกเราคงจะสร้างความหวาดหวั่นให้กับศัตรูได้ไม่น้อยเลย ขอเพียงพวกเจ้าร่วมมือกัน ต่อให้ฝ่ายอธรรมจะใช้วิธีการที่เลวทรามหรือจำนวนที่มากมายก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเจ้าได้”

 

หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าวต่อผู้คนทั้งหมด จากนั้นก็หันมามองป้ายหยกที่อยู่ในมือของถังหว่านเอ๋อแล้วกล่าวว่า “เจ้าเป็นถึงนางเซียนในจิตใจของพวกเขา ข้าเชื่อว่าเจ้าจะนำพาทุกคนให้รอดปลอดภัยได้!”

 

ถังหว่านเอ๋อกำป้ายหยกในมือด้วยความรู้สึกราวกับแบกรับภาระที่หนักอึ้งอย่างไร้ที่เปรียบอยู่ การกระทำของหลงเฉินไม่ต่างไปจากการมอบความเป็นความตายของผู้คนเอาไว้ในเงื้อมมือของนางเลย

 

“อย่าได้หวาดกลัวจนเกินไป ในช่วงนี้คงจะไม่เกิดศึกใหญ่อันใดขึ้น ข้าจะให้อาหมานอยู่กับเจ้าด้วย เช่นนั้นคงจะปลอดภัยอยู่ไม่น้อยเลย

 

อาหมาน เจ้าจะต้องคุ้มกันผู้คนที่อยู่ที่นี่ หากหว่านเอ๋อเจี่ยเจี่ยบอกกล่าวสิ่งใดก็ต้องเชื่อฟังนาง หากนางสั่งให้เจ้าไปทุบตีผู้ใดก็คือต้องจัดการคนผู้นั้น” หลงเฉินกล่าวกับถังหว่านเอ๋อแล้วหันไปกำชับต่ออาหมาน

 

อาหมานพยักหน้าอย่างว่าง่าย ถึงแม้จะไม่ทราบว่าหลงเฉินจะจากไปในที่แห่งใด ทว่าหากเป็นคำสั่งของหลงเฉินแล้ว มีหรือที่เขาจะไม่เชื่อฟังและทำตาม

 

หลงเฉินพยักหน้าแล้วหันไปกล่าวกับศิษย์สายตรงว่า “หลังจากนี้ไปไม่นานคงจะต้องขอรบกวนพวกเจ้าเป็นอย่างมาก ข้าให้คำมั่นว่าจะกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้”

 

ทันทีที่กล่าวจบ หลงเฉินก็ได้วางมือคล้องกันคล้ายกับเป็นผนึกชนิดหนึ่งลงบนหน้าอกของตัวเอง พลันก็เบิกพลังแห่งจิตวิญญาณขุมหนึ่งขึ้นมา และทันใดนั้นเองก็มีเงาร่างขนาดใหญ่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนทั้งหมด

 

“โบร๋ว”

 

เสี่ยวเสว่ยหอนเสียงดังกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ เมื่อเห็นการปรากฏตัวของเสี่ยวเสว่ยก็ทำให้ผู้คนทั้งหมดเข้าใจได้ในทันทีว่าหลงเฉินได้เก็บเสี่ยวเสว่ยเอาไว้ในช่องว่างแห่งจิตวิญญาณมาโดยตลอดนั่นเอง

 

หลงเฉินรีบกระโดดขึ้นไปบนแผ่นหลังของเสี่ยวเสว่ย จากนั้นขาทั้งสี่ข้างของเสี่ยวเสว่ยก็ดันพื้นดินออกทะยานสู่เบื้องหน้าไปในทันที หลงเหลือเพียงพวกพ้องที่ทอสีหน้าโง่งมประดุจกำลังตกอยู่ในความฝันบทหนึ่ง

 

เมื่อหลงเฉินออกเดินทางจนลับสายตาไปแล้ว ถังหว่านเอ๋อก็กระชับป้ายหยกในมือจนแน่นแล้วกล่าวต่อผู้คนทั้งหมดว่า “หลงเฉินขอแยกตัวออกไปชั่วขณะหนึ่ง ในระหว่างนี้จงเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น และอย่าได้ก่อเรื่องให้วุ่นวาย ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเราทั้งหมดคงจะไม่มีหน้าไปพบเขาได้อีกแล้ว”

 

“รับทราบ!”

 

ผู้คนทั้งหมดทอสีหน้าเคร่งขรึมแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงดุดัน มีหรือที่พวกเขาจะไม่ทราบว่านิสัยใจคอของหลงเฉินเป็นเช่นไร อีกทั้งหลงเฉินก็เคยบอกเอาไว้ว่าความหวังสูงสุดของศึกในครั้งนี้คือการนำพาทุกคนกลับไปยังหมู่ตึกอย่างปลอดภัย

 

ฉะนั้นในขณะนี้ชีวิตของพวกเขากลับไม่ใช่เป็นขอตัวเองอีกต่อไป ทว่ากลับเป็นของพี่น้องทุกคนในที่แห่งนี้ และนี่ก็คือพลังของพวกพ้องนั่นเอง

 

……

 

หลังจากที่หลงเฉินเดินทางออกมาได้สามชั่วยาม บริเวณโดยรอบของจักรวรรดิเฟิงหมิงก็มีเหล่าบรรดาประชาชนกำลังเคลื่อนย้ายกันออกไปแทบจะทั้งหมดแล้ว

 

ไม่ว่าผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าศึกของฝ่ายธรรมะและอธรรมอันเลื่องชื่อจะเกิดขึ้นกับอาณาเขตโดยรอบของจักรวรรดิเฟิงหมิงด้วย แม้แต่เหล่าทหารที่ประจำอยู่ตามชายแดนยังต้องช่วยเหลือชาวบ้านในการเคลื่อนย้ายกำลังพลไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยกว่า

 

“โหวเยว่ ประชาชนเหล่านี้อพยพกันช้าเกินไปแล้ว หากฝ่ายอธรรมบุกเข้ามาในตอนนี้ พวกเราคงไม่อาจที่จะปกป้องประชาชนทั้งหมดเอาไว้ได้อย่างแน่นอน” พลทหารนายหนึ่งกล่าวต่อชายวัยกลางคนที่สวมชุดเกราะสีทองด้วยความเคารพ

 

ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือขุนนางเจิ้งหยวนหลงเทียนเซียวซึ่งเป็นบิดาของหลงเฉินนั่นเอง หลังจากที่จักรวรรดิกลับคืนสู่ความสงบสุขแล้ว เขาก็ปฏิเสธที่จะอยู่อาศัยภายในจักรวรรดิเฟิงหมิงแล้วพาภรรยาของเขาไปอยู่ชายแดนด้วยกัน

 

เนื่องจากหลงเทียนเซียวมีความผูกพันกับสถานที่แห่งนี้อย่างลึกซึ้ง หากเปรียบเทียบกับจักรวรรดิที่มีแต่การแย่งชิงแล้ว เขาชื่นชอบที่จะอยู่อย่างสมถะอย่างชาวบ้านผู้หนึ่งเสียมากกว่า อีกทั้งยังมีอิสรเสรีได้มากกว่าเป็นหลายเท่าตัว

 

“จะให้เร็วกว่านี้ก็คงจะไม่ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทิ้งคนชราและสตรีมีครรภ์เอาไว้เบื้องหลังได้ บริเวณด่านหน้าสุดนั้นมีศิษย์จากสำนักใหญ่คอยคุ้มกันพวกเราอยู่ ฉะนั้นยังพอจะมีเวลาโยกย้ายอยู่อีก อดทนสักครู่เถิด” หลงเทียนเซียวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

 

“ขอรับ” พลทหารนายนั้นตอบรับแล้วหันกายจากไป จากนั้นก็ได้มีชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินสวนเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

“ท่านลุงหลง แย่แล้ว บริเวณด่านหน้าได้ส่งสัญญาณแจ้งเตือนว่าคับขันกลับมา เป็นไปได้ว่าศิษย์ฝ่ายอธรรมได้บุกโจมตีเข้ามาแล้วแน่นอน” ซือเฟืงกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทีแตกตื่น

 

นับตั้งแต่ที่หลงเฉินออกจากจักรวรรดิเฟิงหมิงแล้ว ซือเฟิงก็ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นราชบุตรเขยขององค์ไทเฮา ทว่าด้วยความเคารพนับถือในตัวของหลงเทียนเซียวมาตั้งแต่เยาว์วัย เขาจึงได้ขอให้องค์ไทเฮาส่งตัวเองไปติดตามอยู่ข้างกายหลงเทียนเซียวมาโดยตลอด

 

ในตอนนี้ซือเฟิงได้เลื่อนระดับพลังจนเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นสูงสุดแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้ เขาจึงถูกยกย่องให้เป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิเฟิงหมิง

 

หลงเทียนเซียวทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงแล้วเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึงเพียงนี้เลยหรือ? แล้วศิษย์จากสำนักใหญ่ที่อยู่ด่านหน้าก็ได้พ่ายแพ้ลงไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

“ไม่อาจทราบได้ เมื่อเห็นว่ามีสัญญาณแจ้งเตือนขึ้นมา ข้าก็รีบวิ่งมาส่งข่าวให้ท่านลุงทราบ เพราะคาดว่าอีกไม่นานนัก ฝ่ายอธรรมก็คงจะมาถึงที่นี่แล้ว” ซือเฟิงเองก็อยู่ในสภาวะเคร่งเครียดไม่ต่างกัน

 

“ไปรวบรวมพลทหารทั้งหมดมารวมตัวกัน ไม่ว่าจะอย่างไรก็อย่าได้ปล่อยให้ฝ่ายอธรรมเข้ามาเข่นฆ่าประชาชนที่ไร้ทางสู้ได้แม้แต่คนเดียว”

 

หลังจากที่หลงเทียนเซียวออกคำสั่งไป เหล่าพลทหารที่กำลังช่วยเคลื่อนย้ายประชาชนอยู่ก็รีบมารวมตัวกันจนเกิดเป็นกองทัพที่มีกำลังพลมากถึงสิบห้าหมื่นนายเลยทีเดียว พลันก็หยิบอาวุธยุทโธปกรณ์ใส่มือกันครบครัน แล้วมุ่งหน้าไปประจำอยู่ที่หน้าประตูเมือง

 

ในขณะที่หลงเทียนเซียวกำลังตั้งแนวรบเพื่อเตรียมรับการจู่โจมอยู่นั้น บริเวณที่ห่างไกลออกไปกว่าร้อยลี้ก็ได้มีชายหนุ่มสวมอาภรณ์ของสำนักนรกโลหิตหลายสิบคนกำลังจับจ้องไปทางกองกำลังที่อยู่หน้าประตูเมือง

 

“ศิษย์พี่โล้ว พวกเราสมควรจะทำเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

“เจ้าจะกลัวสิ่งใด เรื่องนี้เป็นคำสั่งของผู้อาวุโสจ้าวเม่าหาง พวกเจ้าจะเป็นกังวลไปทำไมกัน? จักรวรรดิเฟิงหมิงสมควรที่จะพิงพินาศไปให้หมดสิ้น โดยเฉพาะสองพ่อลูกแห่งตระกูลหลงที่ยิ่งสมควรตายตกไปนับหมื่นครั้ง

 

เหมืองศิลาปราณที่ควรจะเป็นของสำนักนรกโลหิตของพวกเรากลับถูกเปิดโปงโดยสองพ่อลูกแห่งตระกูลหลงจนสำนักของพวกเราต้องสูญเสียเหมืองศิลาปราณทั้งหมดไป ให้ตายเถิด แค่นึกขึ้นมาก็อยากจะฆ่าคนแล้ว” ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่โล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกล่าวขึ้นมา

 

ชายหนุ่มชุดขาวที่ถูกหลงเฉินสังหารไปเมื่อครั้งนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือพี่ชายของชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่โล้วนั่นเอง เดิมทีเขาได้ช่วยให้พี่ชายของเขาสามารถสร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้กับสำนัก ทว่าผลสุดท้ายกลับต้องสูญเสียพี่ชายของตัวเองไป อีกทั้งตัวเองยังถูกกักบริเวณเพื่อเป็นการลงโทษอีกด้วย

 

ด้วยเหตุนี้เหล่าศิษย์และผู้คนของสำนักนรกโลหิตจึงมีแต่ความเกลียดชังต่อสองพ่อลูกแห่งตระกูลหลงอย่างถึงที่สุด เมื่อโชคเข้าข้างให้พวกเขามาปกป้องคุ้มครองอาณาเขตโดยรอบของจักรวรรดิเฟิงหมิงก็ทำให้ความแค้นที่ฝังรากลึกในครั้งนั้นพร้อมที่จะถูกปลดปล่อยออกมา

 

จ้าวเม่าหางจึงได้บอกกล่าวต่อศิษย์ของสำนักนรกโลหิตว่าให้จงใจปล่อยเหล่าศิษย์ฝ่ายอธรรมบุกเข้าไปทำลายล้างอาณาเขตโดยรอบของจักรวรรดิเฟิงหมิง ถึงแม้ว่าจะเกิดการสูญเสียจนประชาชนบาดเจ็บและล้มตายไปบ้างก็ไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด

 

จากนั้นก็ปล่อยให้หลงเทียนเซียวตายด้วยเงื้อมมือของศิษย์ฝ่ายอธรรมโดยที่มือของพวกเขาก็ไม่เปื้อน ถือได้ว่าเป็นการล้างแค้นที่สะอาดหมดจดเป็นอย่างยิ่ง

 

“น่าเสียดายที่หลงเฉินได้เข้าร่วมกับหมู่ตึกพลิกสวรรค์แล้ว หากพวกเขาอยู่ด้วยกันในจักรวรรดิแห่งนั้น ข้าจะได้เข้าไปฝังศพของพวกเขาพร้อมกันทีเดียวเลย

 

หากหลงเทียนเซียวถูกสังหาร พวกเจ้าก็ส่งสารออกไปบอกกล่าวให้ศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือ ขอเพียงมีมีประชาชนล้มตายไม่มากจนเกินไปก็ย่อมไม่เป็นที่สงสัย เข้าใจหรือไม่!” ศิษย์พี่โล้วผู้นั้นกล่าวขึ้นมาน้ำเสียงเย็นชา

 

ศิษย์ที่เหลือต่างก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ดวงตาทุกคู่ก็ได้หันไปจับจ้องยังประตูเมืองที่ห่างไกลออกไปอย่างดจจ่อ

 

ในขณะที่หลงเทียนเซียวสามารถรวบรวมกำลังพลมาได้มากที่สุดแล้ว ทันใดนั้นเองดวงตาก็เหลือบไปเห็นศิษย์ฝ่ายอธรรมกว่าสามสิบคนปรากฏตัวอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลออกไปไม่มากนัก พวกเขาทั้งหมดสวมชุดคลุมสีแดงสดกำลังวิ่งตะบึงเข้ามาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย

 

เดิมทีหลงเทียนเซียวคิดที่จะกล่าวปลุกเร้าจิตวิญญาณของพลทหารให้ฮึกเหิมขึ้นมา ทว่าเมื่อเห็นพลังการฝึกยุทธ์ของศัตรูแล้วถึงกับรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาเป็นสาย

 

ฝ่ายอธรรมเหล่านั้นเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นทั้งหมด ถึงแม้จะเป็นเพียงตอนต้นทว่าด้วยการขึ้นตรงต่อสำนักย่อมเป็นพลังสภาวะที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนปลายของผู้คนทั่วไปเช่นเขา หรือกล่าวได้ว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าเขาเป็นหลายสิบเท่า

 

หลงเทียนเซียวสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาอย่างโชกโชนในสนามรบก็ยังไม่มีครั้งใดที่รู้สึกว่าจะต้องมาพบกับวาระสุดท้ายของชีวิตเฉกเช่นตอนนี้เลย เพราะพลังของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากจนเกินไป

 

คงจะมีเพียงหลงเทียนเซียวเพียงผู้เดียวที่ทราบว่าทุกคนจะต้องตายอย่างแน่นอน ทว่าเขากลับไม่กล่าววาจาอันใดออกมา ทั้งยังค่อยๆ ชักดาบยาวขึ้นมา ในเมื่อไม่อาจหันหลังกลับหรือถอยหนีได้ก็จงใช้ชีวิตเข้าแลกอย่างสมเกียรติ

 

ในขณะที่กองกำลังของจักรวรรดิเฟิงหมิงอยู่ห่างจากฝ่ายอธรรมไม่กี่ร้อยจั่ง หลงเทียนเซียวก็กู่ร้องขึ้นมาเสียงดัง พลันก็ยกดาบวิ่งตะบึงออกไปเบื้องหน้าในทันที ส่วนเหล่าพลทหารต่างก็พุ่งออกไปอย่างไม่เกรงกลัวต่อความตายพร้อมกับอาวุธในมือที่สาดประกายคมกล้าออกไปทั่วทุกสารทิศ
 

“หึ่ง”

 

ในขณะที่สองฝ่ายกำลังจะปะทะกัน จู่จู่ก็มีคมวายุขนาดใหญ่พุ่งตัดเข้ามาระหว่างกลางแล้วกระแทกไปยังใจกลางของกลุ่มศิษย์ฝ่ายอธรรม

 

“ผู้กล้าแห่งเฟิงหมิงจงถอยหลังกลับไปให้หมด ที่นี่มอบให้ข้าจัดการเอง”

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset