เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 245 : ความแข็งแกร่งของฉู่เหยา

“กรงขังแห่งฟ้าดิน”

 

เสียงอันคุ้นหูดังขึ้นมาท่ามกลางวงต่อสู้อันเดือดดาล ผืนแผ่นดินอันวุ่นวายสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง เบื้องหน้าของหลงเฉินปรากฏเป็นอุ้งมือขนาดมหึมาครอบลงบนเงาร่างของผู้อาวุโสแห่งสำนักนรกโลหิตทั้งสามคนด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าฟาดในทันที

 

ผู้อาวุโสทั้งสามแตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ พลันก็ออกอาวุธฟาดฟันไปที่อุ้งมือนั้นอย่างกระวนกระวาย ทว่าเมื่อตัดผ่านลงไปยังสิ่งนั้นก็ได้พบว่ามันทั้งลื่นและเหนียวอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะออกแรงหรือใช้พลังมากเท่าใดก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะตัดให้ขาดได้

 

ทันใดนั้นเองอุ้งมือขนาดมหึมานั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนสภาพไปตามการเคลื่อนไหวของชายชราทั้งสามคน จากอุ้งมือที่ปิดครอบอยู่ก็ได้หลอมเหลวเข้ามัดตามแขนและขาของพวกเขาเป็นพัลวัน จนในท้ายที่สุดเงาร่างทั้งสามก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว

 

หลงเฉินจ้องมองไปยังผู้มาเยือนด้วยสีหน้าที่ไม่อยากที่จะเชื่อ พลันก็กล่าวพึมพำขึ้นมาว่า “ฉู่เหยา เป็นเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

 

ซุ่มเสียงของหลงเฉินสั่นเครืออย่างรุนแรง ดวงตาคู่คมได้แต่จดจ้องไปยังเงาร่างอันแสนคุ้นตา ภายในจิตใจเต้นระรัวจนแทบจะบ้าคลั่งเลยก็ว่าได้

 

“หลงเฉิน”

 

เสียงหวานระรื่นหูดังขึ้นมาแผ่วเบาแล้วร่างบางของหญิงสาวนางนั้นก็หันกลับมาช้าๆ จากนั้นก็สะอึกเข้ามายังเบื้องหน้าของหลงเฉินแล้วสวมกอดด้วยความรักใคร่

 

“ฉู่เหยา เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย”

 

อ้อมกอดของฉู่เหยาเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น กลิ่นกายอันหอมหวนของนางทำให้หลงเฉินราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความฝันอย่างไรอย่างนั้น มือข้างใหญ่ทั้งสองกระชับร่างอรชรของฉู่เหยาเอาไว้เสมือนว่าหากคลายมือออกแม้แต่น้อยจะทำให้นางหลุดลอยออกไป

 

“หลงเฉิน ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน” ฉู่เหยากล่าวขึ้นมาด้วยเสียงสะอึกสะอื้น ในที่สุดพวกเขาทั้งสองคนก็ได้พบกันอีกครั้ง

 

การที่มีสาวงามอยู่ในอ้อมกอดทำให้จิตใจของหลงเฉินทวีความอบอุ่นขึ้นมาจนท่วมท้น กลิ่นหอมอันแสนคุ้นเคยของฉู่เหยาตลอบอวลอยู่ในจมูกของเขาจนเขารู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้มีความสุขได้มากไปกว่าความรู้สึกในตอนนี้อีกแล้ว ในขณะที่กำลังจะเอ่ยถามความเป็นอยู่ของฉู่เหยาขึ้นมานั้น จู่จู่ก็มีเสียงตะโกนดังแทรกขึ้นมาก่อนว่า

 

“บัดซบ ผู้ใดสอดมือเข้ามากัน ไสหัวออกมาให้ข้าซะ” ชายชราทั้งสามคนตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล ถึงแม้ว่าจะถูกจับกุมอย่างแน่นหนาอยู่ก็ตามที

 

ผู้อาวุโสทั้งสามคนถูกลงมืออย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อยจึงไม่เห็นว่ามีผู้ใดเป็นคนลงมือ เมื่อมีปฏิกิริยากลับคืนมาก็ได้ถูกจับไปแล้วจึงตะโกนถามขึ้นมาอย่างมีโทสะ

 

สายตาของพวกเขาก็เหลือบไปมองกิ่งไม้ขนาดเท่าแขนของคนพันอยู่รอบตัว และแต่ละกิ่งก้านก็ยังมีรอยอักขระปรากฏขึ้นมาถี่ยิบ ไม่ว่าพวกเขาจะออกแรงมากเพียงใดก็ไม่อาจขยับเขยื้อนจากการบีบรัดได้เลยแม้แต่น้อย

 

“ฉู่เหยา นี่เป็นการลงมือของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

 

หลงเฉินทอใบหน้าแตกตื่นมองไปยังเหล่าผู้อาวุโสแห่งสำนักนรกโลหิต ภายในจิตใจเกิดความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่ากิ่งก้านและรากไม้ที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดินโดยไม่มีทราบที่มาที่ไปเหล่านั้นเป็นฝีมือของฉู่เหยา

 

ฉู่เหยาพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาคู่งามมองไปทางหลงเฉินแล้วกล่าวเสริมขึ้นมาว่า “ตำหนักป่าสวรรค์ของข้าได้รับหน้าที่ดูแลบริเวณชายแดนของจักรวรรดิเฟิงหมิง ทว่าเมื่อครู่นี้กลับรู้สึกถึงความไม่ถูกต้องบางอย่างจึงเร่งเดินทางออกมาพร้อมกับศิษย์พี่ฮวายวี่ และทันทีที่มาถึงก็พบว่าผู้อาวุโสเหล่านี้กำลังหาเรื่องเจ้าอยู่ ข้าก็เลยลงมือ”

 

“เจ้าหนู ฉู่เหยาของข้าได้กราบท่านเจ้าสำนักเป็นอาจารย์แล้ว นางขยันฝึกฝนตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทว่าภายในจิตใจของนางกลับถูกเจ้าหนูโสโครกอย่างเจ้าฉกฉวยไปได้ นี่เรียกได้ว่าเป็นตราบาปอย่างถึงที่สุด” ฮวายวี่กล่าวขึ้นมาแกมหยอกเย้า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พบกันนานทว่านางยังคงงดงามอย่างไม่เสื่อมคลายไปเลย

 

ดวงตาคู่คมของหลงเฉินเบิกกว้างขึ้นมาด้วยความตกใจ ภายในจิตใจเกิดการสั่นไหวเล็กน้อย ดูเหมือนว่าฉู่เหยาจะได้พบพานกับวาสนาอันล้ำค่าที่ตำหนักป่าสวรรค์แล้ว ถึงกับสามารถกราบท่านเจ้าสำนักเป็นอาจารย์ได้เลยทีเดียว

 

คงจะมีเพียงแต่เขาเท่านั้นที่น่าอเนจอนาถอย่างที่สุด ฉู่เหยาได้กราบท่านเจ้าสำนักเป็นอาจารย์ ส่วนอาหมานนั้นเองก็ได้กราบอาจารย์ของท่านเจ้าสำนักเป็นอาจารย์หรือก็คือเป็นศิษย์น้องของท่านเจ้าสำนักนั่นเอง

 

ถึงแม้ว่าภายในจิตใจจะเกิดความขัดแย้งขึ้นมา ทว่าก็มีความยินดีต่อฉู่เหยาอยู่ไม่น้อยเลย จากนั้นก็หันไปยิ้มแล้วกล่าวต่อฮวายวี่ว่า “ฉู่เหยามีวันนี้ได้ก็เพราะท่านผู้อาวุโสฮวายวี่ได้ช่วยเหลือเอาไว้ ข้าต้องขอขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก”

 

“บัดซบ ข้าบอกเจ้าไปกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกผู้อาวุโส ให้เรียกว่าเจี่ยเจี่ย เจ้าเห็นว่าข้าชราเหมือนคนพวกนั้นอย่างนั้นหรือ!” ฮวาวยวี่ตวาดเสียงดัง

 

หลงเฉินหัวเราะฮาฮาแล้วตอบกลับไปว่า “ขออภัยที่ล่วงเกินท่าน ด้วยความงดงามของเจี่ยเจี่ยนั้นย่อมสมควรกับการเรียกขานว่าเจี่ยเจี่ยจึงจะถูกต้อง”

 

หลงเฉินมีใบหน้าที่หนาและทนทานไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าวาจาเมื่อครู่นี้จะทำให้เขามีอาการขนลุกขึ้นตามแผ่นหลังก็จะต้องพูดเพื่อเอาตัวรอดให้จงได้

 

ตามความเป็นจริงแล้วด้วยอายุของฮวายวี่เองก็เกรงว่าคงจะเป็นถึงหน่ายหนาย (奶奶ท่านย่า) ของหลงเฉินไปแล้วก็ว่าได้ ทว่าฮวายวี่กลับเป็นหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์ดูอ่อนเยาว์เป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นสตรีเพศเมื่อได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูกไปแล้วจะมีผิวพรรณที่ผ่องใสมากยิ่งขึ้น หากเคยเหี่ยวย่นก็จะกลับกลายเป็นงดงามและมีชีวิตชีวาขึ้นมาจนถึงขั้นคงสภาพอยู่ชั้นนั้นไปจวบจนแก่เฒ่าเลยก็ว่าได้

 

เมื่อได้ยินหลงเฉินกล่าวขึ้นมาเช่นนี้ ฮวายวี่ก็หัวเราะร่าขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ “เจ้าหนู เจ้านี่ก็รู้จักอ้อล้อเสียจริง ไม่แปลกใจเลยที่แม่หนูฉู่เหยาของข้าถึงได้หลงเจ้าหัวปักหัวปำและบ่นคิดถึงเจ้าทุกเวลา จงบอกมา เจ้าหนู ตอนที่อยู่ในหมู่ตึกพลิกสวรรค์ได้เกี้ยวพาราสีสตรีไปกี่นางแล้ว?”

 

หลงเฉินทอสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาฉับพลัน มารดาเจ้าเถิด ช่วยพูดจาดีๆ ให้เนิ่นนานกว่านี้หน่อยได้หรือไม่ เพิ่งจะยกยอเจ้าไปไม่เท่าไหร่ก็หวนเอากระบองกลับมาทุบตีข้าเสียแล้ว!

 

“ท่านผู้อาวุโสแห่งตำหนักป่าสวรรค์ช่วยปล่อยพวกเราออกจากการกุมขังนี้ก่อนได้หรือไม่?” หนึ่งในผู้อาวุโสแห่งสำนักนรกโลหิตสอดวาจาขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว

 

หลังจากที่ได้ยินมานามของตำหนักป่าสวรรค์ เหล่าผู้อาวุโสแห่งสำนักนรกโลหิตทั้งหมดต่างก็ทอสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที เนื่องจากพวกเขาทราบอยู่แก่ใจแล้วว่าตำหนักป่าสวรรค์และหมู่ตึกพลิกสวรรค์นั้นเป็นเสมือนพี่น้องกัน อีกทั้งยังมีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกล

 

ฮวายวี่จึงหันไปสบสายตาเหล่าผู้อาวุโสทั้งสามคนแล้วกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ก่อนหน้านี้เหยาเอ๋อเม่ยเม่ยของข้าเป็นห่วงว่าพวกเจ้าจะล้างแค้นกันด้วยเรื่องส่วนตัวจนส่งผลกระทบต่อส่วนรวม ข้าเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อทั้งหมด ทว่าข้ากลับคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะกล้าล้างแค้นด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยในครั้งนั้น ทั้งที่เป็นการกระทำกันน่าอับอายอย่างถึงที่สุดของพวกเจ้าเอง เหอะ ต้องยอมให้กับความหน้าด้านของพวกเจ้าจริงๆ”

 

ทันใดนั้นเองบริเวณแห่งนั้นก็มียอดฝีมือชนชั้นผู้อาวุโสจากสำนักต่างๆ ที่อยู่ในอาณาเขตใกล้เคียงปรากฏตัวขึ้นมา โดยส่วนมากแล้วก็เป็นที่รู้จักมักคุ้นกับหลงเฉินด้วย เพราะเหล่าผู้อาวุโสเหล่านี้ได้เคยเชื้อเชิญให้หลงเฉินเข้าสำนักของพวกเขานั่นเอง

 

“สำนักนรกโลหิตช่างตกต่ำเกินไปแล้ว สารรูปดูไม่ได้เลย”

 

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ทอสีหน้าชิงชังมองไปทางผู้อาวุโสแห่งสำนักนรกโลหิตแล้วส่ายหน้าไปมา แม้แต่คำด่าทอก็ยังคร้านที่จะด่าทอออกไป นี่ถือว่าเป็นการกระทำที่ทำให้ฝ่ายธรรมะเสียหน้าเป็นอย่างมาก

 

“ท่านผู้อาวุโสฮวา ได้โปรดอย่าฟังความข้างเดียว คนผู้นั้นแอบอ้างว่าเขาคือหลงเฉิน เป็นศิษย์ของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ ทั้งยังไม่ยอมแสดงแผ่นป้ายประจำตัวขึ้นมาให้พวกเราได้ประจักษ์ ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้นก็คือเขาได้สังหารผู้อาวุโสจ้าวอีกด้วย พวกเราเพียงจะจับกุมตัวเขาเพื่อนำกลับไปถามไถ่ให้ชัดเจนก็เท่านั้น” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวอธิบายขึ้นมาอย่างรีบร้อน

 

จากนั้นผู้อาวุโสอีกสองคนก็รีบให้ความเสริมขึ้นมาในทันที ทั้งยังพยายามยัดเยียดข้อกล่าวหาที่ว่าหลงเฉินเป็นสายลับของฝ่ายอธรรมและเป็นผู้สังหารผู้อาวุโสแห่งสำนักนรกโลหิตอย่างโหดเหี้ยม

 

ฮวายวี่ทอสีหน้าประหลาดมองไปทางผู้อาวุโสเหล่านั้น ความรู้สึกลึกๆ ภายในจิตใจของนางกลับคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เด็กน้อยทั้งสามคนนี้จะกล่าวโป้ปดขึ้นมา ทว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่มีสิ่งใดมายืนยันความถูกต้องได้จึงไม่อาจกล่าวตัดสินออกไป

 

หลงเฉินจ้องมองไปยังชายชราเหล่านั้นแล้วส่งเสียงดังชิขึ้นมาอย่างเย็นชา พลันก็กระทืบฝ่าเท้าลงบนพื้นอย่างรุนแรงจนพื้นดินเกิดการสั่นไหวเป็นวงกว้าง ผู้คนรอบข้างต่างก็สะดุ้งตัวโยนขึ้นมาเพราะคิดไม่ถึงว่าหลงเฉินจะมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ไม่ต้องใช้พลังการฝึกยุทธ์ก็สามารถกระทืบเท้าจนทำให้พื้นดินยุบตัวลงจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ไปได้

 

“ซูม”

 

เงาร่างสายหนึ่งลอยระบำขึ้นมาจากใจกลางของพื้นดินแห่งหนึ่ง ทันทีที่ลอยคว้างขึ้นมานั้นก็ถูกหลงเฉินจับเอาไว้จนแน่น แท้ที่จริงแล้วคนผู้นี้ก็คือศิษย์พี่โล้วที่สามารถรักษาชีวิตจากคมดาบของหลงเฉินได้เพราะสวมเกราะป้องกันร่างกายเอาไว้อยู่ ทว่าในภายหลังก็ได้ถูกการต่อสู้ของหลงเฉินและจ้าวเม่าหางฝังร่างกายอยู่ในผืนทราย

 

หลงเฉินไม่ได้ลืมเลือนการคงอยู่ของคนผู้นี้เลยแม้แต่น้อย ทว่าต้องการที่จะเก็บเขาไว้เป็นพยานปาก ทั้งยังต้องการที่จะไถ่ถามถึงแผนการของสำนักนรกโลหิตด้วย

 

มือใหญ่ของหลงเฉินบีบคอหอยของศิษย์พี่โล้วด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งยังหมายที่จะจู่โจมไปที่ขั้วหัวใจของศิษย์พี่โล้วประดุจเป็นเข็มเงินอันแหลมคมที่กำลังจ่ออยู่ตรงกลางจิตวิญญาณของศิษย์พี่โล้ว

 

ศิษย์พี่โล้วที่อยู่ในอาการกึ่งสลบก็ตื่นขึ้นมาราวกับมีเสียงระฆังลั่นอยู่ในดวงวิญญาณ พลันก็ลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปทางหลงเฉินด้วยสีหน้าหวาดกลัว

 

“ผู้ใดเป็นคนออกคำสั่งให้เจ้ากระทำการเช่นนี้?” หลงเฉินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

“ผู้อาวุโสจ้าวสั่งให้ข้าทำ เขาบอกว่าให้สังหารหลงเทียนเซียว” ศิษย์พี่โล้วกล่าวขึ้นมาอย่างรีบร้อนด้วยร่างกายที่สั่นเทาไปทั้งหมด

 

“บัดซบ เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าเจ้ากำลังข่มขู่เขา หลักฐานเช่นนี้ถือว่าไม่นับ” หนึ่งในสามของผู้อาวุโสแห่งสำนักนรกโลหิตตะโกนขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด

 

“หยุดกล่าววาจาผายลมไปทั่วได้แล้ว หลงเฉินใช้พลังแห่งจิตวิญญาณผนึกจิตของเจ้าหนูผู้นี้เอาไว้ ไม่มีทางที่เขาจะกล่าววาจาโป้ปดออกมาได้” ฮวายวี่ตอกกลับไปด้วยน้ำเสียงดุดัน

 

แน่นอนว่าไม่มีการลงมือใดที่สามารถเล็ดรอดสายตาอันแหลมคมของนางไปได้เลย หลงเฉินได้เบิกพลังแห่งจิตวิญญาณขุมหนึ่งเข้ากดดันศิษย์พี่โล้วไว้จนทำให้คนผู้นั้นแทบไม่อาจกล่าวความเท็จออกมาได้เลย ไม่เช่นนั้นก็จะต้องถูกบดขยี้พลังแห่งจิตวิญญาณของตัวเองจนแหลกสลายไปในพริบตาอย่างแน่นอน

 

“แล้วตาแก่โง่เง่าเหล่านี้ทราบถึงแผนการเหล่านี้ด้วยหรือไม่?” หลงเฉินถามต่อ

 

“ทราบ ทั้งยังเป็นการเห็นพ้องกันของสี่สุดยอดผู้อาวุโสอีกด้วย”

 

“ขอบใจ จงพักผ่อนให้สบายเถิด”

 

ทันทีที่หลงเฉินกล่าวจบก็ได้กระตุ้นพลังแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาจนร่างกายของศิษย์พี่โล้วกระตุกอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อหลงเฉินคลายมือออก ร่างกายของศิษย์พี่โล้วก็ร่วงลงพื้นไป แม้เสียงตกกระทบจะไม่ได้ดังมาก ทว่ากลับทำให้ภายในโสตประสาทของผู้อาวุโสแห่งสำนักนรกโลหิตสั่นสะเทือนประดุจอัสนีบาตอันบ้าคลั่ง

 

“ยังคิดจะเล่นลิ้นอยู่อีกหรือไม่? ในเมื่อผู้บงการเป็นพวกเจ้าทั้งสี่คน หนึ่งในนั้นก็ได้ถูกสำเร็จโทษไปแล้วเมื่อครู่นี้ ฉะนั้นขอถามพวกเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่ายังมีผู้ใดที่บังอาจจะเอาชีวิตของบิดาของข้าอีก?” หลงเฉินจ้องมองไปทางชายชราทั้งสามคนอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

“ท่านผู้อาวุโสฮวายวี่ เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของจ้าวเม่าหางเพียงผู้เดียว พวกเราเป็นแค่ลูกมือของเขาเท่านั้น พวกเราไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของเขาได้ ได้โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย” ผู้อาวุโสแห่งสำนักนรกโลหิตกล่าวอ้อนวอนขึ้นมาฉับพลัน

 

“ผายลมที่สุด สี่สุดยอดผู้อาวุโสแห่งสำนักนรกโลหิตมีจ้าวเม่าหางอยู่ในอันดับสาม แล้วพวกเจ้ายังจำเป็นที่จะต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขาอยู่อีกหรือ? คิดว่าพวกเราเป็นตัวโง่งมหรืออย่างไรกัน?” ผู้อาวุโสจากสำหนักหนึ่งด่าทอขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

 

“เรื่องนี้ย่อมไม่เกี่ยวกับข้า พวกเจ้าทั้งหมดต่างก็เป็นคนของฝ่ายธรรมะ เรื่องบุญคุณความแค้นส่วนตัวของพวกเจ้าจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าเลยแม้แต่น้อย เจ้าหนู เจ้ามาจัดการเรื่องของเจ้าเองเถิด” ฮวายวี่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาแล้วตอบกลับไป

 

เมื่อฮวายวี่ปล่อยให้หลงเฉินเป็นผู้ตัดสินใจจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก พลันก็ชักดาบยาวเล่มหนึ่งออกมาหมายที่จะเข้าไปจัดการผู้อาวุโสเหล่านั้น

 

“หลงเฉิน ให้ข้าจัดการเอง”

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset