เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 246 : ผู้อยู่เหนือขอบเขต

มืออันขาวผ่องฉุดรั้งแขนของหลงเฉินเอาไว้ทันควัน “โปรดให้ข้าลงมือเองเถิด ที่ผ่านมาเจ้าเอาแต่ปกป้องข้าอยู่ฝ่ายเดียว ครั้งนี้ขอให้ข้าได้ทำเพื่อเจ้าบ้าง ให้ข้าได้ยืนอยู่เบื้องหน้าของเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด”

 

ดวงตาคู่คมมองไปที่ใบหน้าอันงดงามของฉู่เหยาแล้วส่ายหน้าไปมา “เจ้าเป็นคนมากด้วยน้ำใจยิ่งนัก ทว่าเรื่องเช่นนี้ไม่สมควรให้เจ้าเป็นคนจัดการ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”

 

“ไม่ได้ ข้าได้ปฏิญาณตนเอาไว้แล้วตอนที่อยู่ในตำหนักป่าสวรรค์ว่าข้าจะขอเป็นฝ่ายปกป้องเจ้าบ้าง เพื่อให้คำสัตย์สาบานนี้เป็นจริงขึ้นมา ข้าจึงทุ่มเททั้งแรงกายและใจฝึกฝนอย่างไม่คิดชีวิต

 

ข้าทราบดีอยู่แก่ใจว่าวิถีแห่งการฝึกยุทธ์ของเจ้านั้นไม่มีทางหวนกลับ อีกทั้งยังต้องพบเจอกับความยากลำบากตลอดเวลา ฉะนั้นข้าจึงอยากจะติดตามเจ้าไปทุกแห่งหนแม้แต่ต้องลงนรกขุมอเวจีก็ตาม

 

หากทั้งสองมือนี้ต้องแปดเปื้อนหยาดโลหิต หรือจิตใจจะต้องกลายเป็นนางมารร้าย ข้าก็จะไม่เสียใจที่ได้ทำเพื่อเจ้าเลย”

 

ทันทีที่ฉู่เหยากล่าวจบก็ค่อยๆ คลายมือออกจากหลงเฉินแล้วยื่นออกไปทางด้านหน้า กิ่งก้านที่พันพัวอยู่บนร่างกายของผู้อาวุโสแห่งสำนักนรกโลหิตทั้งสามคนก็ได้เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตขึ้นมาในทันที ปลายแหลมของกิ่งไม้ค่อยๆ งอกเงยขึ้นสู่ด้านบนช้าๆ ประดุจงูเหลือมตัวหนึ่งที่กำลังเลื้อยไปตามร่างกายของผู้อาวุโสเหล่านั้น

 

“ตายซะ!”

 

“พรวด พรวด พรวด”

 

ปลายแหลมของกิ่งไม้เหล่านั้นแทงเข้าไปยังใจกลางหน้าอกของผู้อาวุโสทั้งสามคนจนสิ้นชีพไปในทันที ผู้อาวุโสจากสำนักอื่นต่างก็ทอสีหน้าแตกตื่นมองไปยังฉากที่อยู่เบื้องหน้า ยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูกทั้งสามคนถึงกับถูกสังหารจนตายตกไปในเวลาเดียวกัน ช่างเป็นพลังฝีมือที่น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว

 

ฉู่เหยามีใบหน้าขาวซีดอย่างรุนแรงจนหลงเฉินต้องรีบยื่นมือเข้าไปพยุงร่างบางนั้นเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตื่นตันระคนเสียใจขึ้นมา “เหตุใดต้องมาลำบากเพื่อข้าด้วย?”

 

หากหลงเฉินจดจำไม่ผิดนี่คือครั้งแรกที่ฉู่เหยาลงมือสังหารผู้คนด้วยตัวเอง อีกทั้งยังลงมือสังหารไปถึงสามในครั้งเดียวอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นกาสังหารครั้งยิ่งใหญ่ของหญิงสาวที่มีจิตใจงดงามเช่นนางเลยก็ว่าได้

 

“ในเมื่อเจ้ายอมทำทุกอย่างเพื่อข้าได้ ข้าเองก็จะทำให้เจ้าด้วยเช่นกัน” ฉู่เหยากล่าวพร้อมกับยื่นมือไปลูบที่ใบหน้าของหลงเฉินอย่างนุ่มนวล

 

หลงเฉินจดจ้องไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเข้มแข็งของฉู่เหยาด้วยความตื้นตันอย่างไร้ที่เปรียบ อีกส่วนหนึ่งก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความรักใคร่ที่ไม่อาจหาคำพูดมาอธิบายได้

 

“เหวยเหวย เกือบจะได้เวลาเก็บกวาดแล้ว หากอยากทำอะไรก็รีบทำซะ ทว่าคิดจะหุงข้าวให้สุกก็รอศึกครั้งใหญ่เสร็จสิ้นแล้วค่อยว่ากันเถิด” ฮวายวี่ยิ้มแล้วกล่าวแทรกขึ้นมา

 

ฉู่เหยาทอใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา ทว่าภายในจิตใจกลับรู้สึกเสียดายที่จะต้องแยกจากหลงเฉินแล้วจึงได้แต่จับแขนของหลงเฉินเอาไว้จนแน่น

 

“ไปเถิด ข้าจะพาเจ้าไปพบท่านพ่อ” หลงเฉินกล่าวแล้วจูงมือฉู่เหยาเดินมุ่งหน้าไปทางหลงเทียนเซียว

 

“โบร๋วโบร๋ว” เสี่ยวเสว่ยทะยานเข้ามายังเบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสองคนแล้วส่งเสียงขึ้นมาเบาๆ

 

“โห เสี่ยวเสว่ยโตขึ้นถึงเพียงนี้แล้วหรือ?” ฉู่เหยากล่าวขึ้นมาด้วยอาการตะลึงลาน เสี่ยวเสว่ยในขณะนี้ดูเฉิดฉายกว่าตอนที่เจอกันครั้งสุดท้ายเป็นอย่างมาก นางจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปสวมกอดเสี่ยวเสว่ยแล้วจุมพิตไปที่หว่างคิ้วของเจ้าหนูน้อยเบาๆ

 

จากนั้นนางก็เดินตามหลงเฉินไปหาหลงเทียนเซียว “เหยาเอ๋อน้อมพบท่านอา”

 

“จะเรียกท่านอาไปถึงเมื่อใดกัน ฟังแล้วรู้สึกแปลกประหลาดพิกล ช่วยเปลี่ยนเป็นท่านพ่อจะได้หรือไม่ ฟังแล้วรู้สึกดีกว่าเป็นอย่างยิ่ง” หลงเฉินกล่าวหยอกเย้าขึ้นมาพร้อมกับส่งรอยยิ้มมีเลศนัยไปทางฉู่เหยา

 

ฉู่เหยาทอใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาประดุจลูกผิงกวอ พลันก็บิดตัวไปมาด้วยความเขินอายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยความยากลำบากว่า “เหยาเอ๋อน้อมพบท่านพ่อ”

 

หลงเทียนเซียวหัวเราะฮาฮาแล้วตอบกลับไปว่า “ดี ดูเหมือนว่าพวกเจ้าได้เติบใหญ่กันมากแล้ว บิดาช่างมีความสุขไม่น้อยเลยที่ได้พบพวกเจ้าอีกครั้ง ไปเถิด ไปนั่งคุยกันสักหน่อยเถิด”

 

หลงเฉินฝืนยิ้มขึ้นมาอย่างข่มขื่นแล้วส่ายหน้าไปมา “วันนี้คงไม่ได้แล้วท่านพ่อ ทางด้านนั้นยังมีพี่น้องของข้ากำลังรอคอยข้าอยู่”

 

หลงเทียนเซียวผ่านศึกมามากมายถึงเพียงนี้ย่อมเข้าใจความหมายของหลงเฉินเป็นอย่างดีจึงตบไปที่บ่าของบุตรชายแล้วตอบกลับไปว่า “ได้ หลังจากที่พวกเจ้าได้รับชัยชนะกลับมาแล้วค่อยมาพบเจอกันอีก มารดาของเจ้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก”

 

เมื่อได้ยินบิดาเอ่ยถึงมารดาขึ้นมา หลงเฉินก็ทอดวงตาแดงก่ำขึ้นมาจนหลงเทียนเซียวต้องกล่าวต่ออีกว่า “เฉินเอ๋อ อย่าได้เสียใจไปเลย นับตั้งแต่โบราณกาลมาแล้วที่ความกตัญญูเป็นเรื่องที่ยากจะทำสำเร็จ แน่นอนว่าพวกเราคงจะไม่ได้แยกจากกันไปทั้งชีวิต ไปเถิด ไม่ว่าอย่างไรข้าและมารดาของเจ้าก็รอเจ้าอยู่ที่นี่”

 

เมื่อกล่าวจบ หลงเทียนเซียวก็นำพากองทัพของเขากลับเข้าไปในเมือง และในขณะนี้ก็ได้อพยพประชาชนออกไปทั้งหมดแล้ว

 

หลังจากที่หลงเทียนเซียวจากไปแล้ว หลงเฉินก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วหันมาถามฉู่เหยาว่า “เจ้าต้องกลับไปเป็นแนวหน้าของกองทัพด้วยอย่างนั้นหรือ?”

 

ฉู่เหยาอมยิ้มแล้วตอบว่า “เกรงว่าคงจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น ข้ากำลังรอคอยให้ผู้อยู่เหนือขอบเขตของอีกฝ่ายปรากฏตัวออกมาก่อนจึงจะสามารถร่วมศึกได้”

 

“ผู้อยู่เหนือขอบเขต? หมายความว่าอย่างไรกัน?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยอย่างถึงที่สุด

 

“อาจารย์ได้บอกกล่าวต่อข้าว่าผู้อยู่เหนือขอบเขตก็คือวิถีแห่งการบุกเบิกสวรรค์ (衍天之道) มักปรากฏขึ้นมาพร้อมกับผู้มีพรสวรรค์ บุคคลเช่นนี้……ได้ยินมาว่าเป็นถึงยอดฝีมือแห่งยุคเลยก็ว่าได้” เมื่อกล่าวมาถึงประโยคหลัง ใบหน้าของฉู่เหยาก็เกิดความไม่แน่ใจขึ้นมาบางส่วน

 

หลงเฉินจ้องมองไปทางฉู่เหยาด้วยอาการปากอ้าตาค้าง จากนั้นก็ดึงมือของฉู่เหยาเข้ามาแล้วกล่าวว่า “หากเป็นไปตามที่เจ้ากล่าวออกมาก็หมายความว่าเจ้าก็จะต้องเป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้หนึ่งด้วยใช่หรือไม่?” ฉู่เหยาพยักหน้าน้อยๆ ด้วยความเขินอาย

 

หลงเฉินเกิดอาการลิงโลดขึ้นมาด้วยความปิติยินดี พลันก็สวมกอดฉู่เหยาแล้วหมุนไปโดยรอบ “ฮาฮา เจ้าแข็งแกร่งมากเลย!”

 

เมื่อฉู่เหยาพบว่าหลงเฉินเองก็ดีใจอย่างถึงที่สุดด้วย นางจึงยิ้มร่าแล้วตอบกลับไปด้วยเสียงเจื้อยแจ้วว่า “นับตั้งแต่ที่ข้าได้รับรู้เรื่องราวเช่นนี้ ข้ากลับคิดว่าเจ้าจะหนีหายไปจากข้าเสียอีก”

 

“เหตุใดข้าจะต้องหนีด้วย?” หลงเฉินขมวดคิ้วเข้ม

 

“ผู้คนมักกล่าวกันว่าเกิดเป็นชายชาตรีจะต้องเข้มแข็ง ทั้งยังไม่ชมขอบสตรีที่แข็งแกร่งกว่าตน” ฉู่เหยากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

“เจ้ายังไม่ได้เป็นสตรีของข้าเลยนะ หรือถ้าหากว่าเจ้าอยากจะเป็นก็ย่อมได้ ข้าจะได้ทราบด้วยว่าชมชอบหรือไม่” หลงเฉินกล่าวหยอกเย้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

ใบหน้าของฉู่เหยาแดงซ่านขึ้นมาอย่างรุนแรง ดวงตาคู่งามจ้องกลับไปที่หลงเฉิน “ขอเพียงเจ้าปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น เหยาเอ๋อก็พร้อมที่จะเป็นของเจ้าตลอดไป”

 

ภายในอกของหลงเฉินเต้นระรัวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง แย่แล้ว เขาเผลอนำนิสัยที่ชอบกล่าววาจาหยอกล้อต่อถังหว่านเอ๋อมากล่าวกับฉู่เหยาไปเสียได้ ฉู่เหยานั้นต่างจากถังหว่านเอ๋อเป็นอย่างมาก เพราะนางมักจะเอาคำพูดของเขาไปคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

 

“เรื่องนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อน พวกเราต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ หากยังไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้าแล้วสูญเสียความบริสุทธิ์ไปก่อนก็คงจะยากที่จะเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้าได้”

 

“แท้ที่จริงแล้วเจ้าทราบดีอยู่แก่ใจ เจ้าจงใจจะแหล้งข้าอย่างนั้นหรือ?” ฉู่เหยากล่าวพร้อมกับทอสีหน้าทะเล้นขึ้นมา

 

“เหยาเอ๋อ เหตุใดเจ้าถึงกล่าวเช่นนี้? อย่าบอกข้านะว่า….เป็นฮวายวี่ใช่หรือไม่ที่สอนเจ้ามา”

 

“ฮวาเจี่ยเจี่ยบอกว่าเป็นอิสตรีไม่ควรอ่อนโยนและบอบบางมากจนเกินไป ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นผู้ถูกรังแกได้ อีกทั้งยังอาจจะถูกบุรุษรังเกียจเดียดฉันอีกด้วย” ฉู่เหยากล่าว

 

หลงเฉินสะดุ้งขึ้นมา พลันก็คิดว่าจะได้เรื่องดีดีจากสตรีเช่นนั้นได้อย่างไรกัน? จากนั้นก็รีบบอกกล่าวต่อฉู่เหยาอย่างจริงจังว่า “เหยาเอ๋อ เจ้าก็อย่าได้ฟังวาจาเหลวไหลของนางไปเลย ข้าชมชอบเจ้าที่เจ้ามีความอบอุ่นและอ่อนโยน จริงๆ เลยเชียว อย่าได้เปลี่ยนตัวเองไปเป็นเช่นนั้นโดยเด็ดขาด”

 

“จริงหรือ? ฮวาเจี่ยเจี่ยบอกข้าว่าอิสตรีก็เหมือนกับข้าวจานหนึ่ง ต่อให้อาหารจะอร่อยมากเพียงใด หากบุรุษทานมากเกินไปก็ต้องรู้สึกเบื่ออยู่บ้าง ฉะนั้นแล้วหญิงสาวควรจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองสักหน่อยจึงจะดี” ฉู่เหยากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ

 

ศีรษะของหลงเฉินมีเหงื่อหลั่งออกมาจนชุ่ม ฮวาเจี่ยเจี่ยเป็นนางมารผู้เจ้าเสน่ห์อย่างแท้จริง! หากว่าฉู่เหยายังอยู่กับนางคงจะต้องย่ำแย่แน่นอน ทางที่ดีควรจะหาหัวข้อสนทนาอื่นดีกว่า “เหยาเอ๋อ เจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังได้หรือว่าผู้อยู่เหนือขอบเขตเป็นเช่นไรกัน?”

 

“อาจารย์ได้กล่าวเอาไว้ว่าผู้อยู่เหนือขอบเขตมักจะถูกลิขิตเอาไว้ตั้งแต่กำเนิด อีกทั้งยังแบกรับโชคชะตาแห่งวิถีสวรรค์เอาไว้ด้วยจนทำให้บุคคลเช่นนี้มีพลังในการต่อสู้แข็งแกร่งเป็นอย่างมากหรือเรียกได้ว่าเป็นการคงอยู่ที่ไร้ซึ่งผู้ต้านก็ว่าได้” ฉู่เหยากล่าว

 

เมื่อได้ฟังคำกล่าวของฉู่เหยา หลงเฉินก็นึกถึงชายหนุ่มลึกลับที่ใช้ธนูยาวผู้นั้นขึ้นมาในทันที บุคคลที่มีนามว่าม่อเนี่ยนและใช้เพียงคมศรเดียวก็สามารถสังหารศิษย์ฝ่ายอธรรมไปได้หลายร้อยคน

 

“เหยาเอ๋อ ไร้ซึ่งผู้ต้านของเจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน?” หลงเฉินถาม

 

“หากอยู่ในระดับเดียวกันก็เป็นเสมือนผู้ที่คอยชี้นำผู้คนทั้งหมดภายใต้โลกหล้า หากเปลี่ยนเป็นข้าที่มีพลังเพียงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น ทว่าด้วยการที่ข้าเป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตก็ย่อมไม่มีผู้ใดที่จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ได้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นระดับสูงสุดก็ตาม”

 

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นหลงเฉินก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง ขอเพียงเข้าสู่ตอนต้นได้ก็จะกลายเป็นการคงอยู่ที่ไร้ซึ่งผู้ต้านในระดับเดียวกันอย่างนั้นหรือ? พลันก็หวนนึกถึงช่วงเวลาที่ฉู่เหยาลงมือต่อผู้อาวุโสขอบเขตปรือกระดูดทั้งสามคนจนไม่อาจขัดขืนได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจเกินไปแล้ว

 

“ใช่แล้ว เหยาเอ๋อ เส้นรากปราณของเจ้าจัดอยู่ในระดับใดกัน?” ทันใดนั้นหลงเฉินก็ตะโกนถามขึ้นมา

 

“เส้นรากปราณของผู้อยู่เหนือขอบเขตไม่อาจแบ่งแยกตามปกติได้ หรือเรียกว่าเป็นเส้นรากปราณพิสดาร” ฉู่เหยากล่าว

 

นอกจากระดับทองแดง เงิน ทอง และทองเหลืองแล้ว ยังมีสิ่งที่เรียกว่าเส้นรากปราณพิสดารอีกชนิดหนึ่งด้วยหรือ ทั้งยังมีบุคคลที่มีเส้นรากปราณพิสดารเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมาอีก

 

พรสวรรค์ของฉู่เหยาก็คือพลังแห่งธาตุไม้ ในมุมของผู้ฝึกธาตุไม้โดยทั่วไปย่อมมีฝีมือไม่แตกต่างกันมากนัก ทว่าพลังแห่งธาตุไม้กลับอยู่เหนือการแพ้ทางของธาตุทั้งห้า ฉะนั้นด้วงพลังเช่นนี้จึงไม่จำเป็นที่จะต้องหวาดกลัวมือกระบี่จำพวกเพลิงแต่อย่างใด

 

“หลงเฉิน ไม่ว่าข้าจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ข้าก็จะขออยู่ข้างกายเจ้าตลอดไป” ฉู่เหยากล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแล้วสวมกอดหลงเฉินอีกครั้ง

 

หลงเฉินยกมือขึ้นลูบไล้เส้นผมยาวของฉู่เหยาแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “เจ้ากลัวว่าจะต้องทุบข้าอย่างนั้นหรือ? เหอะเหอะ คงจะไม่ได้ ข้าจะแข็งแกร่งกว่าเจ้าอย่างแน่นอน เพราะข้าจะต้องคอยปกป้องเจ้าไปตลอดด้วยเช่นกัน”

 

ถึงแม้ว่าฝีปากจะกล่าวออกไปเช่นนั้น ทว่าภายในจิตใจของหลงเฉินกลับเกิดความข่มขื่นขึ้นมาเป็นสาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะไม่ดีแน่ ฉะนั้นจะต้องรีบเบิกจุดดาราแปรแสงขึ้นมาให้เร็วที่สุด

 

หลังจากนั้นหลงเฉินและฉู่เหยาก็ได้อยู่สนทนากันสักครู่หนึ่ง และก็ทราบว่าในขณะนี้นางไม่อาจที่จะเข้าร่วมการศึกในครั้งนี้ได้จึงจะต้องย้อนกลับไปยังสถานที่ตั้งเดิมก่อน

 

การปรากฏตัวของฉู่เหยาทำให้หลงเฉินทั้งแตกตื่นระคนยินดี อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความกดดันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะบ้าคลั่ง ฉู่เหยาจะต้องรอให้ผู้อยู่เหนือขอบเขตของฝ่ายอธรรมปรากฏตัวออกมาก่อนจึงจะสามารถลงมือได้ ฉะนั้นก็หมายความว่าฝ่ายอธรรมเองก็มีผู้อยู่เหนือขอบเขตด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังไม่ได้มีเพียงคนเดียวด้วย

 

ทว่าที่หลงเฉินแปลกใจกลับเป็นความที่ว่าแล้วเหตุใดม่อเนี่ยนผู้นั้นถึงสามารถลงมือได้? แท้ที่จริงแล้วคนผู้นั้นไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกันอย่างนั้นหรือ?

 

หลังจากนั้นหลงเฉินก็เดินทางกลับมายังสถานที่เดิม ซึ่งบริเวณนั้นก็มีกำลังพลมากมายกำลังตั้งค่ายป้องกันอยู่โดยรอบ แล้วทันใดนั้นเองก็มีศิษย์ฝ่ายอธรรมจำนวนมากไหลทะลักเข้ามาพุ่งเข้าหากันอย่างวุ่นวาย

 

ในขณะที่หลงเฉินกำลังจะเปิดเผยตัวอยู่นั้น จู่จู่ก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ฉับพลัน แล้วเขาก็เสาะหามุมอับแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากพวกพ้องเพื่อคอยสังเกตการณ์ว่าพวกเขาจะรับมือกับศึกนี้อย่างไร

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset