เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 25 องค์ชายต้าเซี่ย

​“เจ้าบังอาจทำร้ายพี่หลงของข้า!!”

ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงตะโกนดังแทรกเข้ามา ดังสนั่นกึกก้องเข้าไปยังโสตประสาทของผู้คนทั้งหมดในบริเวณนั้น พลังอันมหาศาลกลุ่มหนึ่งได้เกิดขึ้นพร้อมกับแสงประกายสีโลหิตที่ปกคลุมกำปั้นข้างหนึ่ง คมหมัดแหวกบรรยากาศรอบๆ มุ่งหน้าเข้าไปหาชายหนุ่มที่มีรอยบากอย่างรวดเร็ว

เพียงแค่พริบตาเดียวชายผู้นั้นกลับรู้สึกเย็นยะเยือกเข้าไปถึงกระดูกดำ ช่างน่าเกรงกลัวอะไรถึงเพียงนี้ราวกับว่าถูกสัตว์ประหลาดแสนร้ายกาจตัวหนึ่งจดจ้องเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น

เดิมทีชายหนุ่มที่มีรอยบากมุ่งโจมตีไปที่หลงเฉิน แต่เมื่อเห็นตัวเองกำลังจะถูกจู่โจมเข้ามาด้วยพลังที่ทั้งมหาศาล ทั้งรวดเร็ว เขาจึงได้พลิกแผนเปลี่ยนเป้าหมายไปยังสัตว์ประหลาดตัวนั้น เหวี่ยงหมัดเบี่ยงไปยังอีกทิศในทันทีอย่างไม่ต้องคิด

“ปึก”

เสียงปะทะกันของสองหมัดทำให้ทั่วทั้งเหลาสุราสั่นไหวราวกับถูกคลื่นพายุซัดผ่าน ความแตกตื่นของผู้คนนั้นมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า เงาร่างขนาดใหญ่ของสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้เข้ากำบังอยู่ทางด้านหน้าของหลงเฉินเอาไว้ ร่างนั้นจะเป็นผู้ใดอื่นไปไม่ได้นอกจากอาหมานนั่นเอง

ความโกรธที่ปะทุอยู่ทำให้อาหมานที่มีรูปร่างใหญ่โตอยู่แล้วกลับยิ่งดูมหึมาขึ้นอีกประดุจเทพสงครามอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาคู่นั้นคล้ายสัตว์ป่าที่ดุร้ายกำลังหิวโหยพร้อมตะครุบเหยื่อ ผิวหนังแดงซ่านคล้ายกับจะระเบิดออกได้ทุกเมื่อ อาหมานสามารถต้านทานกับคมหมัดที่พุ่งเข้ามาของชายผู้นั้นเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

ชายหนุ่มที่มีรอยบากตกใจจนออกนอกหน้า เขาไม่นึกคิดมาก่อนเลยว่าจะได้พบเจอผู้ที่มีร่างกายใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ ถึงกับต้องไหลเวียนพลังทั้งร่างกายออกมาใช้เพื่อต้านทานความยิ่งใหญ่นั้นให้ได้

เมื่ออาหมานได้สติก็เบิกตากว้าง พลันก็ถอยเท้าไปด้านหลังอยู่หลายก้าวด้วยความตื่นตระหนกถึงที่สุด เขาสะดุดกับอะไรบางอย่างจนเซ ทิ้งบั้นท้ายทิ่มลงตรงพื้นที่อยู่ไม่ไกลจากหลงเฉิน

ชายหนุ่มที่มีรอยบากไม่อาจที่จะควบคุมอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา ทั้งหลงเฉินและอาหมานต่างก็สัมผัสไม่ได้ถึงพลังที่จะฝึกยุทธ์ แต่เขาที่เป็นถึงยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตกลับไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้ ทั้งความตกใจ ความหวาดหวั่น ความโกรธแค้น ความริษยา ถูกหลอมรวมออกมาที่แววตาอำมหิตคู่นั้น

เมื่อหลงเฉินเห็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีสังหารของชายผู้นั้นก็รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องการลงมือสังหารให้ตายกันไปข้างหนึ่ง หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะกลัวขึ้นมาเพราะเขาในตอนนี้ยังฝึกพลังดารากักวายุได้ไม่สมบูรณ์ ไม่อาจที่จะต่อกรกับชายผู้นั้นได้อย่างที่ผ่านมา

แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวด้วยกระบวนท่าอันใดออกมา ไม่มีแม้การปะทุพลังยุทธ์เหมือนก่อนหน้านี้ จากแววตาอำมหิตกลับกลายเป็นความลังเลอยู่ไม่น้อย

ทางด้านอาหมานนั้นก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น จู่จู่ก็มีความแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างมากมายมหาศาล แต่ว่าต่อให้ทั้งสองร่วมมือกันก็ยังไม่อาจที่จะโค่นล้มชายหนุ่มที่มีรอยบากผู้นั้นได้

หลงเฉินลูบไปที่แหวนมิติเบาๆ แล้วนำโอสถสีแดงเพลิงออกมาวางเอาไว้บนฝ่ามือหนึ่งเม็ด เขาเงยหน้าไปมองชายหนุ่มที่มีรอยบากอย่างเยือกเย็น

“หยุดมือ”

ในขณะที่ชายหนุ่มที่มีรอยบากกำลังจะลงมือ ก็ได้มีเสียงตะโกนแทรกขึ้นมาเสียก่อน พลันก็ปรากฏกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งขึ้นที่ชั้นบนของเหลาสุรา

กลุ่มคนที่เพิ่งมาเยือนนั้นมีทั้งหมดสิบคนแต่งกายด้วยชุดขององค์รักษ์ แต่ทว่ามีชายหนุ่มสองคนที่อยู่แถวหน้าสุดที่แต่งกายผิดแผกแตกต่างออกไป ทั้งสองสวมชุดคลุมที่เป็นผ้าแพรยาวสีเหลืองสด เห็นได้ชัดว่าเขาทั้งสองน่าจะเป็นชนชั้นที่สูงส่งกว่า

“ขอน้อมเข้าพบกับองค์ชาย”

การปรากฏกายของคนกลุ่มนี้ทำให้เหล่าผู้คนที่อยู่รอบบริเวณนั้นต่างพากันถวายความเคารพด้วยการโค้งคำนับกันเสียยกใหญ่

หนึ่งในสองหนุ่มที่ดูสูงศักดิ์นั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาคือองค์ชายฉู่หยางนั่นเอง เขามีอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี จมูกโด่งเป็นสัน ใบหน้าดูขึงขังให้ความรู้สึกน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

ชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ทางด้านข้างของเขา ดูอ่อนเยาว์กว่าฉู่หยางเล็กน้อย ใบหน้าขาวมน มีรูปร่างลักษณะที่ดีของผู้กล้า ทว่ากลับให้ความรู้สึกที่เย็นเยียบราวกับธาตุหยิน

“พี่ฉู่หยาง จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงของพวกเจ้า ต้อนรับแขกเช่นนี้หรือ?” ชายหนุ่มผู้นั้นก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบขึ้นมา

ในเวลานี้ฉู่หยางได้ทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาส่วนหนึ่ง จ้องมองไปทางชายหนุ่มคิ้วเลขแปดที่หมอบคลานอยู่บนพื้น เขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาอย่างมีโทสะว่า “นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น? พวกเจ้าไม่มีดวงตาหรืออย่างไรกัน? พวกเขานั้นเป็นแขกผู้มีเกียรติจากจักรวรรดิต้าเซี่ย พวกเจ้าไม่ทราบหรืออย่างไร หา?!”

ฉู่หยางกราดสายตามองไปโดยรอบ ทั้งเจ้าอ้วนและพวกพ้องต่างก็หลั่งเหงื่อออกมาเต็มใบหน้าคล้ายดั่งมีการลั่นกลองอยู่ภายในใจ

พวกเขาเดาออกมาได้ทันทีหลังจากที่ชายหนุ่มคิ้วเลขแปดสามารถกล่าววาจาเช่นนั้นต่อหน้าองค์ชายได้ อีกทั้งด้วยมวยผมแบบโบราณที่ถักทอบนศีรษะ ก็เข้าใจขึ้นมาได้ว่าชายผู้นี้จะต้องเป็นองค์ชายแห่งจักรวรรดิเมืองต้าเซี่ยอย่างแน่นอน

จักรวรรดิเมืองต้าเซี่ยและจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงนั้นได้เป็นคู่อริกันมาโดยตลอด เป็นเหมือนศัตรูที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง แต่ทว่าหลายสิบปีมานี้ความบาดหมางเหล่านั้นก็เริ่มทุเลาลง ความตึงเครียดก็ค่อยๆ คลี่คลาย และเริ่มสานสัมพันธ์อันดีต่อกันประดุจกัลยาณมิตรที่ดี

แต่ว่ามีองค์ชายของจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงและองค์ชายของจักรวรรดิเมืองต้าเซี่ยอยู่สองพระองค์ที่ไม่ลงรอยกัน

“ไม่ใช่เป็นเพราะว่าดวงตาของข้านั้นมืดบอด แต่เป็นเจ้าเด็กน้อยคิ้วเลขแปดผู้นี้มีดวงตาสุนัขต่างหาก ข้าจึงจัดบรรณาการให้เสียรอบหนึ่ง”

หลงเฉินเดินออกมาพร้อมกับสายตาที่มองไปยังฉู่หยางอย่างไม่เกรงกลัว แล้วกล่าวออกไปว่า

“เจ้าเป็นผู้ใดกัน?” เมื่อองค์ชายฉู่หยางได้เห็นท่าทีและน้ำเสียงที่ฟังดูหยามเหยียด ก็อดไม่ได้ที่จะมีโทสะขึ้นมา ทว่าเขาก็กลืนมันลงไปแล้วสงบจิตใจเอาไว้

“หลงเฉิน”

ฉู่หยางสะดุ้งขึ้นมา บัดนี้ทั่วทั้งจักรวรรดิไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้จักนามว่าหลงเฉิน ข่าวลือความแข็งแกร่งของเขาถูกเล่าลือบอกต่อออกไปจนแพร่สะพัดไปทั่ว หากจะหาผู้ใดที่ไม่ทราบนามของเขาผู้นี้นั้นอาจจะต้องพลิกแผ่นดินกันตามหาทีเดียว

จากเจ้าคนไร้โยชน์ขยะผู้หนึ่งที่ได้ก้าวสู่เวทีประลองเป็นตายติดต่อกันถึงสองครั้ง จนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้เอาชนะยอดฝีมือพลังขั้นก่อรวมผู้หนึ่ง หลังจากนั้นก็ได้กลายเป็นศิษย์แห่งชุมนุมผู้หลอมโอสถอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อีกทั้งภายในร่างยังแฝงเอาไว้ด้วยพลังลี้ลับอยู่ขุมหนึ่ง

“เหตุใดเจ้าต้องทำร้ายองค์รักษ์ขององค์ชายฉางเฟิงกัน?” ฉู่หยางจุดประเด็นการวิวาทครั้งนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของชุมนุมผู้หลอมโอสถ ต่อให้เป็นถึงองค์ชายก็อาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะรับมือได้

“ไม่ได้มีเหตุผลอันใด เพียงแค่คิดเอาไว้ว่าโชคชะตาของเขาต้องเป็นเช่นนี้ มีเพียงฟ้าดินเท่านั้นที่จะทราบได้” หลงเฉินโบกมือไปมาแล้วกล่าว

“เจ้า……” ฉู่หยางไม่อาจระงับโทสะได้อีกต่อไป เขาคิดว่าหลงเฉินจะกล่าวออกมาด้วยเหตุและผลที่แท้จริง แต่กลับกลายเป็นวาจายั่วยุจนน่าโมโห ในมุมมองของหลงเฉินที่เป็นคนของชุมนุมผู้หลอมโอสถ อาจจะมองว่าเรื่องใหญ่เฉกเช่นนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยได้

คล้ายหลงเฉินแสร้งฟังไม่ออกถึงความหมายในวาจาขององค์ชายฉู่หยาง จึงได้กล่าววาจาตอบกลับมาเช่นนั้น ยิ่งทำให้ความโกรธของเขาปะทุขึ้นมาเป็นสาย

“เจ้ามีนามว่าหลงเฉินอย่างนั้นหรือ? ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของเจ้ามาก่อน ดูเหมือนว่าช่วงนี้เจ้าจะดูน่าเกรงขามขึ้นมาไม่น้อยเลยนะ?” องค์ชายเซี่ยฉางเฟิงแห่งจักรวรรดิต้าเซี่ยได้พูดแทรกระหว่างการสนทนาอย่างกะทันหัน

“หึหึ ความน่าเกรงขามของข้านั้นเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น หากเทียบกับคนของจักรวรรดิต้าเซี่ยของเจ้าแล้วก็เป็นได้เพียงแค่ผู้น้อยพบผู้สูงศักดิ์”

หลงเฉินชี้ไปทางชายหนุ่มคิ้วเลขแปดที่หมอบคลานอยู่บนพื้น เขาแสดงสีหน้าเหยียดหยามแล้วกล่าว “สุนัขขี่สัตว์มายาลากรถก่อความวุ่นวายในพื้นที่ของผู้อื่นอย่างอุกอาจ ไม่เห็นชีวิตผู้อื่นอยู่ในสายตา ให้ถือว่ามีความน่าเกรงขามอย่างนั้นหรือข้าคาดคิดไม่ถึงเลยว่าสุนัขของนายท่านจะมีความอุกอาจมากถึงเพียงนี้!”

เซี่ยฉางเฟิงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความกังวล ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “นี่เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?”

หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “อย่าได้มาถามข้า ไปถามสุนัขของเจ้าเถิด”

“ลู่โหลว มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ?” เซี่ยฉางเฟิงถามออกไปอย่างดุดัน หันหน้าไปหาชายหนุ่มคิ้วเลขแปด

“ใต้เท้า ข้าน้อยเพียงแต่เร่งรีบเท่านั้น ผู้ใดจะทราบได้กันว่าจะมีประชาชนอยู่ในที่แห่งนั้น ไม่ทราบด้วยว่ามาขวางทางได้อย่างไร โทษข้าน้อยไม่ได้นะ” ชายคิ้วเลขแปดได้สติขึ้นมาเล็กน้อย ฝืนทนความเจ็บปวดแล้วตอบกลับไป

“สามหาว สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ต้าเซี่ย ผู้ใดจะจดจำรถม้าของราชวงศ์ไม่ได้กัน? นำตัวออกไปให้กับข้า” เซี่ยฉางเฟิงด่าออออกมายกใหญ่ หลังจากสิ้นคำกล่าวก็ได้มีชายสวมชุดขององค์รักษ์ต้าเซี่ยเดินเข้ามาหิ้วร่างของชายผู้นั้นออกไป

เซี่ยฉางเฟิงหันหน้ากลับมากล่าวขออภัยต่อฉู่หยาง “ฉางเฟิงต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่คนของจักรวรรดิได้ทำเรื่องเสียมารยาท หลังจากที่กลับไปข้าจะสั่งสอนให้อย่างสาสม ไม่ให้เป็นที่หัวเราะของพี่ฉู่หยาง”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ฉางเฟิงเกรงใจเกินไปแล้ว อย่าให้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มากระทบกับความสัมพันธ์ของทั้งสองจักรวรรดิเป็นดีที่สุด” ฉู่หยางกล่าวออกมาอย่างเร่งรีบ

“พี่ฉู่หยางกล่าวหนักไปแล้ว เรื่องเช่นนี้ปล่อยให้มันผ่านไปเถิด” เซี่ยฉางเฟิงกล่าวจบก็หันหน้าไปทางหลงเฉิน “ฉางเฟิงต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งต้องขอขอบคุณน้องชายที่เตือนสติ”

เหล่าคนในที่แห่งนี้ต่างก็ตกอยู่ในอาการปากอ้าตาค้าง ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าองค์ชายแห่งเมืองต้าเซี่ยจะมีวาจาอ่อนน้อมถ่อมตนได้ถึงเพียงนี้ จึงพากันชื่นชมในความอ่อนโยนขององค์ชายต้าเซี่ย เขาช่างดูสูงส่งเสียจริง

ถ้าหากหลงเฉินไม่ได้มีพลังแห่งจิตวิญญาณและการประสาทสัมผัสที่ทรงพลังก็คงจะน้อมรับความใสซื่อเช่นนั้นเอาไว้ แต่ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงประกายแห่งจิตสังหารจากเซี่ยฉางเฟิง แม้จะเพียงวูบเดียวแต่ก็ไม่อาจที่จะรอดพ้นจากประสาทสัมผัสที่ฉับไวของเขาได้

“องค์ชาย ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว ก็แค่สุนัขตัวหนึ่งที่ไม่เชื่อฟัง นั่นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ท่านจำเป็นที่จะต้องถลกหนังของพวกมันบ่อยๆ อย่าให้พวกมันเที่ยวแยกเขี้ยวกางเล็บกัดข่วนผู้คนไปทั่ว หากเป็นเช่นนั้นคงจะเลวร้ายยิ่งนัก” หลงเฉินหัวเราะฮาฮาออกมาเสียงดัง

เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มที่มีรอยบากผู้นั้นก็ได้ขมวดคิ้วด้วยใบหน้าที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หลงเฉินผู้นี้ประดุจมีสุนัขอยู่ในปากหลายคอก ด่าทอได้อย่างเจ็บแสบจนเหล่าองครักษ์ทั้งหมดแทบอยากจะฉีกเนื้อหนังออกเป็นชิ้น

เซี่ยฉางเฟิงฝืนยิ้มออกไปเล็กน้อย คล้ายกับไม่ได้แปลความหมายที่แฝงเอาไว้ในวาจาเหล่านั้น “เพิ่งจะมาถึงยังจักรวรรดิแห่งนี้ กลับพบเจอแต่เรื่องราวของเจ้า…น้องชาย ช่างสมคำเล่าลือเสียจริง

เดิมทีคิดว่าน้องชายจะเป็นผู้หลอมโอสถที่สูงส่ง ทว่าเมื่อดูให้ดีอีกทีแล้วคงจะดูผิดไป เจ้าน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์และผู้หลอมโอสถทั้งสองแขนงแล้วกระมัง ด้วยระดับพลังการต่อสู้เช่นนี้ช่างเป็นที่น่าเลื่อมใสอย่างยิ่ง อีกทั้งอายุยังเยาว์ เจ้าจะต้องกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นได้อย่างแน่นอน”

หลงเฉินมองไปที่เซี่ยฉางเฟิงอย่างอาจที่จะเข้าใจได้ถึงความนัยของวาจาเหล่านั้น ได้แต่ยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบกลับอันใดออกไป

“ไม่ทราบว่าน้องชายจะเห็นแก่หน้าของข้าได้หรือไม่ ดื่มเป็นเพื่อนด้วยกันสักหลายจอก?” เซี่ยฉางเฟิงยิ้มกว้างแล้วกล่าวออกมา

รอยยิ้มนั้นอาจทำให้ผู้อื่นเกิดความนับถือและเลื่อมใส แต่ไม่ใช่กับหลงเฉิน เขาสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มนั้นเสมือนพิษร้ายจากคมเขี้ยวของอสรพิษอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงไม่อาจที่จะไว้เนื้อเชื่อใจชายผู้นี้ได้แม้แต่น้อย

“ต้องขออภัยด้วย ผู้น้องดื่มไปมากแล้ว อีกทั้งยังไม่ค่อยช่ำชองในสุรา ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่ไปมีปัญหากับสุนัขสองตัวนั้น อย่างไรเสียคงต้องขอเสียมารยาทต่อทุกท่าน ผู้น้องต้องขอตัวก่อน”

หลงเฉินยิ้มออกไปเล็กน้อยก่อนที่จะเดินนำอาหมานออกไปจากสถานที่แห่งนี้ เขาจึงไม่ได้สนใจแววตาสองคู่ที่แอบแฝงเอาไว้ด้วยรังสีสังหารของเซี่ยฉางเฟิงและชายหนุ่มที่มีรอยบาก

หลังจากที่หลงเฉินหายไปจากหอเหลาสุรา ซือเฟิงและพวกพ้องก็รีบกล่าวอำลาต่อ ฉู่หยางแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว วันนี้ช่างเป็นวันที่ทำให้พวกเขาแตกตื่นจนอยากจะคลั่งตาย

……

“นายท่าน เพราะเหตุใดจึงไม่สั่งข้าฆ่าเจ้าหนูผู้นั้น? ลู่โหลวแทบจะสิ้นใจเลยนะขอรับ เด็กน้อยผู้นั้นช่างไม่เกรงกลัวผู้ใดเสียจริง”

ในขณะนี้องค์ชายต้าเซี่ยได้กลับมายังที่พำนักแล้ว ชายหนุ่มที่มีรอยบากก็ได้กล่าววาจาที่เต็มไปด้วยความชิงชังต่อหน้าเขา

“เจ้าหนูนั่นเป็นคนของชุมนุมผู้หลอมโอสถ แม้ว่าจะไม่ใช่คนของชุมนุมแห่งจักรวรรดิเรา แต่หากเจ้าสังหารเขาลง ข้าก็ต้องส่งมอบเจ้าให้แก่ชุมนุมผู้หลอมโอสถของจักรวรรดิแห่งนี้จัดการ”เซี่ยฉางเฟิงจิบชาไปคำหนึ่ง แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“แต่ว่าเจ้าหนูผู้นั้นได้แสดงท่าทีเหิมเกริมยิ่งนัก คิดแล้วก็น่าเจ็บใจที่ไม่ได้ระบายความแค้นออกไป” แต่ละคำพูดที่ถูกด่าทอว่าเป็นสุนัข ยากที่จะมีผู้ใดทานรับได้

“จะฆ่าคนผู้หนึ่งจำเป็นที่จะมองหยั่งลึกไปที่ฝีมือ สิ่งที่จำเป็นในการสังหารคือรู้จักรักษาชีพของตนไม่ให้ตายตามไปด้วย” เซี่ยฉางเฟิงส่ายหน้าไปมา

“ที่แท้แล้วนายท่าน……มีวิธีการอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มที่มีรอยบากกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“แน่นอน ไม่เช่นนั้นข้าจะไปไกล่เกลี่ยความให้เจ้าไปทำไมกัน? อีกทั้งยังต้องไปต่อปากต่อคำกับคนที่มีวาจาลื่นไหลถึงเพียงนั้น คล้ายกับจะพูดให้ลิ้นพันตายกันไปข้างหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น”

เซี่ยฉางเฟิงปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากใบหน้าที่ทอประกายความเยือกเย็นออกมาท่วมท้น ชายหนุ่มที่มีรอยบากที่ยืนอยู่ไม่ไกลถึงกับร่างกายสั่นเทาขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้านั้น

“อย่าได้หลงลืมเป้าหมายในการมาของพวกเราในครั้งนี้ อย่าห้เรื่องเล็กมาทำให้เสียเรื่องใหญ่ ปล่อยให้เจ้าหนูผู้นั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเสียหน่อย

วันเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ของทางจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิง——เทศกาลโคมไฟเฟิงหมิงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เวลาแห่งการแสดงวิทยายุทธ์

วันนี้ที่ข้าได้ยกยอเขาถึงเพียงนั้น หาใช่การยกยอโดยเปล่าประโยชน์อย่างนั้นหรือ? เหอะ เมื่อชื่อเสียงของเขาได้ลือเลื่องขึ้นมาจนถึงระดับนี้แล้ว มีหรือที่เจ้าจะขอท้าประลองกับเขาแล้วจะถูกปฏิเสธ” เซี่ยฉางเฟิงเอนกายไปที่เก้าอี้ หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง มุมปากปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายอีกครั้ง

ชายหนุ่มที่มีรอยบากนั้นเริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่องค์ชายกล่าว วิธีการนี้ช่างล้ำลึกยิ่งนัก ต่อให้หลงเฉินจะไม่ต้องการเข้าร่วมการประลองก็จำเป็นที่จะต้องกระทำเพราะศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่

ถ้าหากหลงเฉินปฏิเสธที่จะเข้าร่วมก็อาจจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี ยิ่งไปกว่านั้นหลงเฉินเองก็ยังเป็นเพียงผู้เยาว์ที่เพิ่งจะได้ลืมตาอ้าปากเท่านั้น

“แต่ว่าเจ้าระวังเอาไว้ การเป็นผู้คุ้มกันของข้าไม่ควรที่จะเปิดเผยพลังฝีมือมากจนเกินไป อย่าให้ข้าต้องเตือนเจ้าอีกครั้งก็แล้วกัน”

“ขอรับ นายท่านโปรดวางใจ หลายปีมานี้ข้ายังไม่เคยเปิดเผยไพ่ตายที่แท้จริงออกมาแม้สักครั้งเดียว” ชายหนุ่มที่มีรอยบากรีบแก้ตัวออกมาอย่างรีบร้อน

เซี่ยฉางเฟิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ดวงตาเหม่อมองออกไปยังแสงจันทราส่องแสงท่ามกลางความมืดมิดดั่งห้วงความคิดที่ลึกล้ำของเขาเอง การวางหมากเป็นสิ่งที่ถนัดที่สุดขององค์ชายเช่นเขา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset