เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 26 อาหมานผู้น่าเกรงขาม

“อาหมาน เมื่อครู่เจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดจึงได้ระเบิดพลังมากมายมหาศาลเพียงนั้นออกมากัน?”

หลังจากที่กลับถึงจวนแล้วหลงเฉินจึงเอ่ยถามออกถึงความน่าหวาดหวั่นที่อาหมานได้แสดงออกมาในเวลานั้น มันทำให้เขารู้สึกตกใจเสียจนไม่อาจจะเพิกเฉยได้

“ข้าเองก็ไม่ทราบ เมื่อข้าเห็นว่าจะมีคนทำร้ายพี่หลง ในหัวก็เกิดเสียงดังขึ้นมา รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่าง คล้ายกับว่ามีเรี่ยวแรงที่ใช้ได้ไม่หมดสิ้นอย่างไรอย่างนั้น” อาหมานเกาศีรษะแล้วกล่าวตอบ

หลงเฉินวางมือข้างหนึ่งบนไหล่ของอาหมาน พลันเบิกพลังปราณจิตวิญญาณขึ้นด้วยพลังปราณจิตวิญญาณของเขาเอง เมื่อได้ตรวจสอบร่างกายของอาหมานอยู่สักครู่ก็สะดุ้งขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจอย่างที่สุด

ร่างกายของอาหมานนั้นช่างแตกต่างจากผู้คนทั่วไป ร่างกายธรรมดาสามัญจะมีเส้นลมปราณที่เชื่อมต่อกันอย่างยุ่งเหยิงและถี่ยิบ

แต่ว่าภายในร่างกายของอาหมานมีเพียงแค่สี่เส้น จากจุดตันเถียนเชื่อมโยงออกไปยังมือทั้งสองข้างและเท้าทั้งสองข้าง หลงเฉินเพิ่งจะเคยพบเจอเส้นลมปราณเช่นนี้เป็นครั้งแรก

ที่น่าประหลาดใจกว่าเส้นลมปราณที่มีเพียงสี่เส้นนั้นก็เห็นจะเป็นกล้ามเนื้อที่มีเนื้อเยื่อเกือบทั้งหมดเชื่อมรวมเอาไว้ด้วยกัน คล้ายกับว่าเป็นเนื้อเยื่อที่ได้ตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

แต่จะกล่าวว่าตายไปแล้วเสียทั้งหมดก็ไม่ได้ หลงเฉินสามารถสัมผัสถึงพลังไอร้อนที่ไหลเวียนเข้ามาคล้ายกับเนื้อเยื่อเหล่านั้นกำลังจำศีลอยู่ อีกทั้งยังมีการซึมซับของเนื้อเยื่อก่อนแล้วจากนั้นก็คงอยู่ในสภาวะกึ่งตายต่อไป

อาหมานผู้นี้คือสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง หลงเฉินพยายามครุ่นคิดเป็นร้อยเป็นพันครั้งก็ไม่อาจจะคลี่คลายข้อสงสัยได้ แต่ก็คิดออกมาได้เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น

“อาหมาน ข้าจะถามเจ้าว่าเจ้าไม่เคยกินอิ่มมาก่อนเลยใช่หรือไม่” หลงเฉินถามขึ้นอย่างทันควัน

“มีนะ อยู่ที่บ้านเกิด ข้ากินได้อิ่มหนำอย่างยิ่ง” อาหมานส่ายหน้าแล้วตอบกลับ

“อย่าได้โกหกข้า” หลงเฉินขมวดคิ้วเข้าหากัน

“อา โดยมากแล้วหากข้ากินอิ่มได้เพียงครึ่งหนึ่ง ข้าก็ถือว่าพอใจมากแล้ว” อาหมานไม่กล้าที่จะปิดบัง

“อาหมาน จำไว้นะ ข้าเป็นพี่หลงของเจ้า หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็อย่าได้กล่าวเท็จกับข้าอีก เจ้าเข้าใจไหม? ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่สนใจเจ้า” หลงเฉินกล่าวกำชับออกมาอย่างเคร่งขรึม

“พี่หลง ข้า……เข้าใจแล้ว” เมื่อเห็นใบหน้าที่เคร่งขรึมของหลงเฉิน อาหมานก็รีบตอบกลับอย่างร้อนรน

“ข้าจะถามเจ้าว่าเจ้ากินสิ่งใดที่ทำให้รู้สึกว่าร่างกายของเจ้านั้นมีพลังขึ้นมา”

“เนื้อ”

“เนื้ออะไร?”

“เนื้ออะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ว่าเนื้อวัวถือว่าดีที่สุด ข้าเคยกินอยู่ครั้งหนึ่ง”

หลงเฉินพยักหน้าอย่างเริ่มคลายความสงสัย ร่างกายของอาหมานนั้นพิเศษยิ่งกว่าผู้คนธรรมดาสามัญ เนื้อเยื่อทั่วทั้งร่างกายของเขาเกือบทุกส่วนต่างก็กำลังอยู่ในสภาวะจำศีล

นั่นเป็นเพราะว่าไม่มีอะไรที่จะไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อเหล่านั้นได้อย่างมากเพียงพอ พวกมันจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าสู้ภาวะจำศีลเพื่อลดทอนการใช้พลังให้ได้มากที่สุด

ถ้าหากว่าหลงเฉินไม่ได้รวมความทรงจำของเขาเข้ากับความทรงจำของจักรพรรดิโอสถก็คงไม่อาจที่จะมองออกถึงสภาวะร่างกายที่แสนประหลาดเช่นนี้ได้ ร่างกายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นกลับใช้การไหลเวียนของเนื้อเยื่อเพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้น

ไม่อยากจะคาดคิดเลยว่าหากเนื้อเยื่อทั้งหมดถูกหล่อเลี้ยงขึ้นมาคงจะเกิดเรื่องที่น่าหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย? หลงเฉินเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ว่าอาหมานนั้นเป็นคนของเขา ถ้าเขานั้นมีพลังที่เพิ่มมากขึ้นก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง

“ข้าจะถามเจ้าว่าในหนึ่งมื้อเจ้ากินเนื้อวัวอย่างน้อยเท่าไหร่”

“หนึ่งร้อยชั่ง……” อาหมานลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นยกมือนับนิ้วมือ

“พูดแต่ความจริง”

“วัวหนึ่งตัว……”

“พูดแต่ความจริง”

“วัวห้าตัวก็ยังกินเข้าไปได้อยู่”

“เจ้าจงพูดความจริงออกมา” เสียงดุดันของหลงเฉินคล้ายจะตะโกนออกมา

“ข้าไม่ทราบ แต่หากมื้อหนึ่งมีวัวสักสิบตัว ข้าคิดว่าคงจะอิ่มได้แล้ว” อาหมานมีสีหน้าสลดขึ้นมา เขายังไม่เคยกินจนอิ่มตีพุงจึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะสามารถกินเข้าไปได้มากถึงเพียงใด

หลงเฉินส่ายหน้าไปมาราวกับไม่ทราบที่จะกล่าวอันใดต่อไปดี “เอาเถิด พรุ่งนี้ข้าจะไปซื้อทั้งทุ่งเลี้ยงสัตว์มาให้เจ้า จงกินให้อิ่มหนำเถิด”

วันรุ่งขึ้นหลงเฉินก็ได้วานให้เป่าเอ๋อไปตามหาทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่อยู่ชานเมืองมาได้แห่งหนึ่ง แม้จะไม่ใหญ่โตมากนักแต่ก็มีวัวอยู่กว่าพันตัว

หลงเฉินให้อาหมานติดตามเขาไป หลังจากช่วงเวลาอาหารกลางวันเสร็จสิ้นก็แทบจะทำให้ผู้คนที่ทุ่งเลี้ยงสัตว์นั้นแตกตื่นไปจนหมดสิ้น

พวกเขาหลบหนีแล้วได้มาร้องเรียนกับเป่าเอ๋อว่าอาหมานผู้นั้นคล้ายกับปีศาจกินคนอย่างไรอย่างนั้น เขาจับวัวมาทีละตัวแล้วใช้หมัดทุบให้ตายคาที่ จากนั้นก็แยกชิ้นส่วนแล้วกินเข้าไปทั้งอย่างนั้น

ใบหน้าแตกตื่นของผู้คนเหล่านั้นคล้ายกับพบเจอศึกสงครามที่น่าหวาดกลัว พวกเขาเกรงกลัวว่าอาหมานจะกินได้ไม่หนำใจจนเขมือบพวกเขาไปด้วย

หลงเฉินไม่มีทางเลือกจึงให้เป่าเอ๋อไปเสาะหานักปรุงอาหารมากว่าสิบคน มอบหมายให้ปรุงอาหารจากเนื้อวัวให้แก่อาหมาน

ความประหลาดใจของหลงเฉินนั้นนับวันยิ่งทวีคูณ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาที่อาหมานได้เริ่มกินเนื้อวัวเข้าไป จากสิบตัวต่อหนึ่งวันกลับเพิ่มพูนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อาจหาจุดสิ้นสุด

หลงเฉินไม่ได้กลัวว่าเขาจะกินมากเพียงใด เพราะวัวตัวหนึ่งนั้นมีราคาเพียงสองสามตำลึงทองเท่านั้น ขอเพียงอาหมานนั้นอิ่มหนำสำราญก็พึงพอใจแล้ว

อาหมานนั้นยิ่งกินก็ยิ่งไร้ขีดจำกัดคล้ายกับว่าเนื้อเยื่อของเขานั้นเริ่มจะตื่นขึ้นมาทีละน้อยแล้ว เพียงแต่รอคอยให้ถึงเวลาที่การปลุกปั่นเช่นนี้เกิดขึ้นไปทั่วทุกส่วน อาหมานคงจะต้องกลายเป็นผู้ที่สะเทือนฟ้าดินได้อย่างแน่นอน

หลังจากที่จัดการเรื่องของอาหมานเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลงเฉินก็ได้กลับมาสะสางเรื่องของตัวเองบ้าง การต่อสู้กับชายหนุ่มที่มีรอยบากเมื่อวันก่อนทำให้เขารับรู้ได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามาอย่างถึงที่สุด

เขาเองก็รับรู้ได้ว่าชายหนุ่มที่มีรอยบากนั้นได้ออมพลังฝีมือเอาไว้บางส่วน แม้สุดท้ายแล้วจะถูกหยุดมือจากการปะทะกันเอาไว้ แต่หลงเฉินกลับรู้สึกถึงการย่ำกรายเข้ามาของบางสิ่งว่ามันไม่อาจที่จะจบลงอย่างง่ายดายเช่นนั้นอย่างแน่นอน

ร่างกายของหลงเฉินที่รวมเข้ากับความทรงจำของจักรพรรดิโอสถ ทำให้เขานั้นยิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความชั่วร้ายได้ชัดเจน อาจเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้เตรียมการอย่างระแวดระวังว่าจะถูกจับสัมผัสจากผู้อื่นได้

หากอีกฝ่ายเตรียมการพร้อม คงถึงคราวที่หลงเฉินอาจจะถูกช่วงชิงไปแม้กระทั่งชีวิตของเขาเอง แต่การคาดเดานี้ก็ไม่ได้ทำให้หลงเฉินเกิดความหวั่นไหวแม้เพียงเสี้ยวเดียว

ต่อให้กลับไปยังวันนั้น เขาก็คงจะกระทำเฉกเช่นเดิม แม้ว่าวันนั้นอาหมานจะลงแส้ไปหรือไม่ ก็ยังคงเหลือปมค้างคาอยู่ในใจของเขาไม่คลาย อย่างไรเสียสภาวะจิตใจของเขาจะไม่แปดเปื้อนกับสิ่งเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นหลังจากนี้คงจะกลายเป็นตัวก่อจิตมารขึ้นมาอย่างแน่แท้

การเก็บตัวในครั้งนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงจังกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เริ่มต้นด้วยการซึมซับพลังทั้งหมดของโอสถกักวายุเอาไว้ หลังจากผ่านพ้นไปเจ็ดวันแล้วนั้นดารากักวายุที่ใต้เท้าของหลงเฉินก็เกิดเสียงระเบิดขึ้นมา

เดิมทีเม็ดดารากักวายุนั้นมีขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวเท่านั้น ในระหว่างที่หลงเฉินใช้โอสถแทรกซึมเข้าไปในร่างกายอย่างมากมายนับไม่ถ้วนก็ได้ทำให้เม็ดนั้นมีขนาดที่ใหญ่โตขึ้น

เมื่อดารากักวายุได้เข้าสู่จุดอิ่มตัวก็เริ่มลอกคราบออกมา การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้น่าตกใจอยู่ไม่น้อย หลังจากที่การลอกคราบเสร็จสิ้นก็พบว่าเม็ดถั่วเขียวเม็ดโตเมื่อก่อนหน้าได้กลับกลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับดวงดาวดวงหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

เพียงแต่ว่าดวงดาวนั้นกลับส่องแสงใสออกมาเป็นชั้นที่ขับเคลื่อนแห่งพลังชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยมจนทำให้หลงเฉินเองยังต้องเบิกตากว้าง

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นคือการก่อตัวของดาวดวงแรกจากเคล็ดกายานวดารา——ดารากักวายุ บัดนี้หลงเฉินยังไม่อาจที่จะสัมผัสได้ถึงขนาดพลังของมัน เพราะความตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่อาจยับยั้งตัวเองได้

“ตูม”

การลอกคราบของดารากักวายุทำให้เกิดการสั่นไหวไปทั่วทั้งร่าง พลังอันน่าหวาดกลัวกลุ่มหนึ่งได้แผ่ปกคลุมบรรยากาศภายในห้องจนเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

“แย่แล้ว เป็นการเคลื่อนไหวที่รุนแรงยิ่งนัก”

หลงเฉินตกใจถึงขีดสุดกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้คิดจะยับยั้งก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว แนวผนังทั้งห้องเกิดการแตกระเบิดออกเป็นแนวคล้ายกลุ่มใยแมงมุม

ทันใดนั้นพลังแห่งฟ้าดินอันมหาศาลดั่งคลื่นมหาสมุทรได้โถมกระหน่ำเข้ามายังทิศทางที่หลงเฉินกำลังยืนอยู่ พลังรุนแรงอย่างบ้าคลั่งกระแทกเข้ามาจนแทบจะทำให้หลงเฉินล้มทั้งยืน

“โครม”

หลงเฉินกระอักโลหิตออกมาอึกหนึ่ง ร่างกายเจ็บปวดรวดร้าวคล้ายจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงอย่างไรอย่างนั้น แล้วสติของเขาก็หลุดไปในห้วงแห่งความมืดมิด

เมื่อเวลาผ่านไปชั่วครู่หลงเฉินได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เขามองเห็นมารดาที่กำลังทอสีหน้าเป็นกังวล แต่เมื่อพบว่าเขาได้สติคืนมาแล้ว ใบหน้าของฮูหยินหลงก็แปรเปลี่ยนเป็นความปิติยินดียิ่งนัก

“เฉินเอ๋อ เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบแย่อีกครั้งหนึ่งแล้ว เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่?”

หลงเฉินตอบกล่าวไปอย่างเร่งรีบ “มารดา ไม่มีอันใดให้น่าเป็นกังวลใจหรอก ผู้หลอมโอสถที่ทำเตาระเบิดถือเป็นเรื่องปกติยิ่งนัก”

เขาโป้ปดว่าเตาหลอมนั้นเกิดการแตกระเบิดขึ้นมาเท่านั้น หลังจากที่ปลอบประโลมจนมารดาใจเย็นลงแล้ว หลงเฉินก็ได้เบิกพลังแห่งสำนึกขึ้นมาเพื่อที่จะสอดส่องเข้าไปดูภายในร่างกายจนเกือบจะร้องเสียงหลงออกมาด้วยความตกใจ

นึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะมีจุดตันเถียนแล้ว เดิมทีจุดนั้นเป็นเพียงความว่างเปล่าที่ถูกลักขโมยไป อีกทั้งยังพบการปรากฏขึ้นมาของสภาวะพลังทั้งหมดสามสายกำลังไหลเวียนอยู่อย่างช้าๆ

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หลงเฉินสบถออกมาด้วยสีหน้าที่ตกใจเสียยกใหญ่

เมื่อพบว่าเม็ดดารากักวายุที่ใต้ฝ่าเท้านั้นยังคงไหลเวียนพลังเอาไว้อยู่ ยิ่งทำให้ภายในใจของเขากระวนกระจายอย่างไม่อาจคลี่คลายได้ เขาจึงลองไหลเวียนพลังทั้งสามสายที่จุดตันเถียนดู ในช่วงเวลาต่อมาก็ได้เกิดความคิดบางอย่างผ่านเข้ามา

รากปราณที่ได้ถูกช่วงชิงไป จุดตันเถียนที่คล้ายกับว่าได้ตายลงไปแล้ว อาจจะสามารถชักนำให้กลับมาใช้ได้อีกครั้งก็เป็นได้ นอกเสียจาก……

หรือแท้ที่จริงแล้วหากก่อรวมพลังจากดารากักวายุขึ้นมาจะสามารถฟื้นคืนเส้นลมปราณที่จุดตันเถียนได้กันนะ?

เมื่อตรึกตรองจนมาถึงตรงนี้ หลงเฉินก็เกิดประกายความคิดขึ้นมาในสมอง ภาพจำของสภาวะที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะสลบลงไปนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งพลังฟ้าดินอันมหาศาลอย่างน่าหวาดกลัว ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนธรรมดาสามัญจะสามารถทนทานรับไว้ได้

พลังอันมหาศาลที่ปะทุออกมาอย่างรุนแรงเช่นนั้นคงไม่อาจมีผู้ใดใช้ออกมาได้ หรือจะกล่าวว่าเดิมทีพลังอันมหาศาลเหล่านั้นมีไว้ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับจุดตันเถียนอย่างนั้นหรอกหรือ? แล้วหลังจากนั้นจะทะลวงอย่างไรกันเล่า?

แต่ทว่าหลงเฉินกลับคิดผิดไป เคล็ดกายานวดาราถือเป็นสิ่งที่น่ากลัวเกินกว่าที่เขาคาดเดาได้ สิ่งนี้คือการคงอยู่แต่เดิมของจุดตันเถียนของเขา ไม่เช่นนั้นร่างของเขาก็คงป่นปี้เป็นเถ้าถ่านไปตั้งแต่แรกแล้ว

หลงเฉินยังไม่อาจเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งว่ากลุ่มพลังทั้งสามสายที่จุดตันเถียนนั้นจะมีความสัมพันธ์อย่างไร

“หรือข้าจะฟื้นฟูจุดตันเถียนขึ้นมาได้ใหม่อย่างนั้นหรือ”

หลงเฉินลองทดสอบพลังอันมหาศาลที่อยู่ภายใน เขาไหลเวียนพลังสู่มือเท้าทั้งสี่อย่างช้าๆ ทว่ากลับไม่มีความติดขัดในการใช้แต่อย่างใด เขาแทบจะสามารถใช้พลังทั้งหมดออกมาได้อย่างเต็มที่เลยก็ว่าได้

ที่ใต้ฝ่าเท้าเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นวูบหนึ่ง พลังอันมหาศาลของดารากักวายุก็ไม่ได้ยุ่งยากหรืออยู่ในสภาพอ่อนแอแต่อย่างใด หลงเฉินก็ยิ่งเกิดความว้าวุ่นอยู่ภายในห้วงความคิด นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันที่มีจุดกักเก็บพลังปราณเพิ่มขึ้นมาหนึ่งจุด?

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลงเฉินก็ได้เวียนพลังอันมหาศาลจากดารากักวายุเข้าสู่จุดตันเถียน

“ซู่”

วินาทีนั้นหลงเฉินก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่เป็นเหมือนภูเขาเพลิงปะทุภายในร่างกาย พลังอันมากมายมหาศาลเกิดการไหลทะลักไปทั่วทั้งร่างจนกระทั่งหลงเฉินกระอักโลหิตออกมาอึกหนึ่ง

หลงเฉินล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง ร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะทรงตัว ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นตระหนก เนื้อเยื่อภายในร่างกายของเขาได้กระเพื่อมขึ้นอย่างดุเดือด

ระหว่างนั้นเขารีบนำโอสถรักษาอาการบาดเจ็บออกมาเม็ดหนึ่งแล้วกลืนลงไป หลังจากที่ฤทธิ์โอสถได้ไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกายแล้วก็ทำให้ใบหน้าที่เคยซีดเผือดเริ่มปรากฏจุดแดงแต่งแต้มขึ้นมาบ้าง

“ผู้ใดบอกกับข้าได้บ้างว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

หลงเฉินเกิดความเกรี้ยวกราดขึ้นมาอยู่ไม่น้อย เมื่อครู่เขาเกือบจะทำให้ตนเองต้องสิ้นชีพไปเสียแล้ว หากว่าตกใจจนตายขึ้นมาจริง ที่ทำมาทั้งหมดก็สูญเปล่าน่ะสิ

แต่จะคิดอย่างไรก็ไม่อาจหาคำตอบได้ ภายใต้ความนึกคิดของเขามีแต่เพียงวิธีในการฝึกยุทธ์เคล็ดกายานวดารา แต่ว่าสิ่งอื่นนั้นกลับไม่ได้มีอยู่ในห้วงความคิดของเขามาก่อนเลย

ไร้ซึ่งลำดับขั้น ไร้ซึ่งตัวแปร ไร้ซึ่งวิธีการและหลักการ เคล็ดกายานวดารานี้ไร้ซึ่งคุณลักษณะทั้งสามสิ่งนี้อย่างชัดเจน

หลงเฉินเกิดอารมณ์ขบขันปนข่มขืนอย่างไม่อาจแยกแยะได้ เขาที่ไร้ซึ่งรากลมปราณ กระดูกปราณ และโลหิตปราณ ทั้งสามสิ่งนี้ได้ถูกช่วงชิงไปแต่มันช่างเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อเคล็ดกายานวดาราอย่างถึงที่สุด

ความสังสัยที่พรั่งพรูออกมาไม่หยุดหย่อนเหล่านี้หากไม่ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ อาจทำให้หลงเฉินกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่ เขาจึงได้แต่กัดฟันไปมาพลันก็ไหลเวียนดารากักวายุต่อไป

แต่ว่าผลที่เกิดขึ้นในครั้งนี้กลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเข้าใจเหมือนครั้งก่อน เขาหมุนเวียนพลังไปมาอย่างระมัดระวังอยู่รอบหนึ่งจนดารากักวายุเกิดพลังอันมหาศาลขึ้น

“ตูม”

ในช่วงเวลาที่ได้ไหลเวียนพลังเข้าสู่จุดตันเถียนนั้น หลงเฉินก็ตกใจขึ้นมาอีกครั้งเมื่อพลังทั้งสามสายนี้ได้แปรเปลี่ยนขนาดจนใหญ่ขึ้นกว่าเดิมนับสิบเท่าภายในพริบตา

เดิมทีพลังไหลเวียนนั้นเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ว่าหลังจากที่ได้เพิ่มพูนพลังของดารากักวายุทั้งสามสายนั้นแล้วก็ได้มหาศาลประดุจการหมุนวนของคลื่นวายุอย่างไรอย่างนั้น

ในระหว่างการหมุนเวียนอย่างบ้าคลั่งของพลังทั้งสามสายนี้ก็บังเกิดเป็นพลังมากมายมหาศาลอย่างไร้ซึ่งขีดจำกัดแทรกซึมเข้าสู่เส้นเอ็นของแขนและขาทั้งสี่

“ฮูว”

ในที่สุดหลงเฉินก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อยถึงความลับของเคล็ดกายานวดารา สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาถือได้ว่าน่าหวาดกลัวจนเกินไป แม้แต่ตัวของหลงเฉินเองก็ยังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวในขุมพลังที่เกิดขึ้น

“หรือว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงของดวงดาราทั้งเก้าชั้นอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้จุดตันเถียนก็มีพลังถึงสามสายแล้ว หรือว่าจะสามารถเข้าถึงการเปลี่ยนแปลงระดับที่สามได้กัน?”

หลงเฉินปลอบประโลมจิตใจของตนเองให้สงบลง จุดตันเถียนที่มีพลังทั้งสามสายไหลเวียนอยู่ในขณะนี้ หากกล่าวถึงหลักการในโลกแห่งความเป็นจริงก็เสมือนกับเป็นได้เพียงระดับพลังขั้นก่อรวมระดับที่สามที่มีอยู่เกลื่อนกลาดเหมือนกับผักในตลาดอย่างไรอย่างนั้น

แต่ว่าจะเป็นผักหรือไม่นั้นก็มีแต่เพียงแค่ตัวเขาเองที่จะทราบได้ หนึ่งคำตอบจากหลายความสงสัยก็ได้ทำให้หลงเฉินเกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมาในเวลาเดียวกัน

จากนั้นเขาก็ได้ลูบไปที่แหวนมิติ บนฝ่ามือก็ปรากฏหนังปีศาจโบราณผืนหนึ่งที่หลงเฉินใช้โอสถติดสินบนกับยอดฝีมือระดับก่อโลหิตเพื่อแลกกับสิ่งของชิ้นนี้

“เบิกสวรรค์ เบิกสวรรค์ หึหึ ให้ข้าดูหน่อยเถิด ว่าแท้จริงแล้วเจ้าเก็บความลับอันใดเอาไว้กันแน่?”

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset