เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 261 เข้าสู่ขอบเขตที่อันตราย

“ไปตายซะ”

หลงเฉินกับผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมตะโกนขึ้นมาเสียงดัง พลังอันมหาศาลภายในร่างกายที่คล้ายกับคลื่นทะเลที่คลุ้มคลั่งซัดทอดออกมา ต่างฝ่ายต่างก็คิดที่จะใช้ลมปราณของตนเองซัดอีกฝ่ายให้กระเด็นไป

นี่ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่คับขันเป็นอย่างยิ่ง จำเป็นที่จะต้องชิงความได้เปรียบให้ได้ ถ้าหากผู้ใดทนไม่ได้จนกระเด็นถอยออกไปก่อน เช่นนั้นก็จะกลายเป็นเชิญชวนให้อีกฝ่ายโจมตีเข้ามาได้ดุจสายฝนคลั่งพายุโหมกระหน่ำ จนถึงขั้นพ่ายแพ้จนตายตกไปในทันที

ดังนั้นการโจมตีเช่นนี้ถือเป็นการตัดสินความเป็นความตายของตนเองเลยทีเดียว ดังนั้นทั้งสองคนจึงได้ระเบิดพลังทั้งหมดเพื่อเข้าแลก โดยไม่มีฝ่ายใดยอมยั้งมือ

“ตูมตูมตูม……”

ทั้งสองคนต่างก็ระเบิดพลังทั้งหมดออกมา จนสภาพอากาศสั่นสะเทือน พื้นดินแยกออกจากกัน เพราะความรุนแรงจากพลังที่น่ากลัวของทั้งสองคน และนับตั้งแต่เริ่มแรกก็ได้เกิดหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมาที่ใต้เท้าของทั้งสองคน

อีกทั้งหลุมขนาดใหญ่นี้ก็ได้ขยายวงกว้างเพิ่มขึ้นไม่หยุดจากการอัดพลังใส่กันของทั้งคู่ ราวกับว่าอีกแค่ไม่กี่ลมหายใจหลุมขนาดใหญ่ก็จะกว้างขึ้นหลายสิบลี้แล้ว

“ตูม”

ระหว่างที่เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมา ทั้งสองคนก็ได้ถอยหลังไปในเวลาเดียวกัน นี่ถือได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่มีพลังที่ก่ำกึ่งกันเลยทีเดียว

ทั่วทั้งสนามรบไม่ว่าจะเป็นฝ่ายศัตรูหรือฝ่ายเดียวกันต่างก็ตกลึง พลังอันรุนแรงของหลงเฉินได้ทำให้ทุกผู้คนเกิดอาการหวาดหวั่นขึ้นมา

“ตายซะ”

หลงเฉินคำรามออกมาเสียงดังจนสะเทือนไปทั้งสนามรบ ทลายมารในมือแฝงเอาไว้ด้วยพลังที่ไม่อาจที่จะต้านทานเอาไว้ได้ ครั้งนี้หลงเฉินกลับเป็นฝ่ายที่โจมตีออกไปก่อน

ที่สำคัญครั้งนี้หากไม่โจมตีก่อนเห็นทีจะไม่ได้ เพราะแม้ว่าการเบิกร่างกายาศึกกักวายุขึ้นมาจะแข็งแกร่งอย่างวิปริต แต่ก็สิ้นเปลืองพลังได้อย่างน่าพิศวงเช่นเดียวกัน

ต่อให้มีวงแหวนแห่งเทพคอยหนุนเสริม ก็ยังไม่พอที่จะใช้คงสภาวะเช่นนี้ได้ จึงทำให้พลังลมปราณของหลงเฉินถูกใช้ออกไปจนเกือบจะหมดในเวลาอันสั้น

นี้ก็คือจุดที่แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังแก้ไขไม่ได้ แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งแต่กลับไม่อาจยืนหยัดได้นานพอ ยังไม่ทันจะสาสมแก่ใจ ก็ถูกตัดบทไป เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจจะยอมรับได้

จุดอ่อนในเรื่องนี้หลงเฉินเองก็ทราบดีอยู่แล้ว แต่เนื่องจากยังไม่มีจุดดาราแปรแสง ทำให้ไม่มีทางที่จะแก้สภาวะขาดแคลนพลังนี้ได้ จึงได้แต่อดทนต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี้ไปเท่านั้น

ดังนั้นหลงเฉินจึงต้องปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา ก่อนที่พลังลมปราณจะหมดสิ้นลง เพื่อที่จะรีบปลิดชีวิตเฒ่าผีฝ่ายอธรรมผู้นี้ให้ได้ มิเช่นนั้นฝ่ายที่ต้องตายก็คงจะต้องกลายเป็นตนเองแล้ว

หลงเฉินไม่อาจที่จะสั่งให้ผู้อื่นมาช่วยเหลือตนเองได้ เพราะถ้าหากสั่งการออกไป รูปขบวนและกลยุทธ์ที่ใช้อยู่ก็จะกลายเป็นสูญเปล่าไป ที่สำคัญผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมที่มีความแข็งแกร่งที่เรียกได้ว่าวิปลาสผู้นี้ ย่อมต้องสามารถที่จะใช้เพียงไม่กี่กระบวนท่าในการสังหารพวกเขา

ที่ทำให้หลงเฉินแทบจะเป็นบ้าขึ้นมาก็คือ ในเวลาเช่นนี้ความแน่วแน่ภายในส่วนลึกของจิตวิญญาณของเขาเริ่มที่จะรบเร้าเขาขึ้นมาแล้ว จนทำให้เขาเกิดความคิดที่จะต้องสังหารผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมผู้นี้ให้จงได้

เขาที่เป็นเพียงแค่ผักปลาตัวน้อยๆที่อยู่ในขอบเขตก่อโลหิต กลับต้องมาโจมตีสังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าขอบเขตปรือกระดูกที่ไม่ทราบมีชีวิตมานานเท่าไหร่แล้ว นี้มิใช่เป็นการข่มเหงผู้คนหรือยังไงกัน

แต่แม้ว่าจะเป็นการข่มเหงผู้คน หลงเฉินเองก็ต้องทำ เขาไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว จะมีก็แต่ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

ทลายมารที่แฝงเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาลไร้ขอบเขต ก็ได้หันไปฟาดฟันใส่ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรม ด้วยสามกระบวนท่าที่คล้ายกับรวมเป็นหนึ่ง เปรียบเสมือนแม่น้ำสายยาวที่ถาโถมพลังออกมา

“ตูมตูมตูม”

เสียงระเบิดได้ดังขึ้นมาติดต่อกันถึงสามครั้ง ทว่าที่ทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมต้องแตกตื่นตกใจขึ้นมาก็คือ สามกระบวนท่าของหลงเฉินแฝงเอาไว้ด้วยผลลัพธ์ที่ประหลาด

หลังจากดาบแรกผ่านไป ดาบที่สองก็ได้แฝงเอาไว้ด้วยพลังทำลายที่หลงเหลือจากดาบแรก จนทำให้ดาบที่สองรุนแรงเสียยิ่งกว่าเดิม และดาบที่สามก็แฝงด้วยพลังทำลายที่เหลืออยู่จากดาบที่สอง ถาโถมเข้ามาดุจคลื่นมหาสมุทรที่เปี่ยมไปด้วยพลังที่กลืนได้กระทั่งผืนฟ้า

ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมเองก็ถูกทำให้แตกตื่นจนต้องถอยรนติดต่อกัน หลังจากถูกการโจมตีแรกจนตกใจถอยไปแล้ว กลับยังคงถูกพลังสภาวะของหลงเฉินกดดันเข้ามาอีก พริบตานั้นก็กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบไป

การโจมตีสองครั้งในภายหลังยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการโจมตีครั้งที่สาม ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมเองก็แทบจะไม่อาจทานรับพลังอันมหาศาลที่คล้ายดั่งมหาสมุทรซัดภูผาจนลมระเนระนาดได้ ในที่สุดก็ได้ถูกซัดจนลอยกระเด็นออกไป

หลงเฉินรอคอยเวลานี้มานานแล้ว หลังจากที่ได้ฟันดาบที่สามไปแล้ว พลังทั่วทั้งร่างก็ไม่มีหลงเหลือแม้แต่น้อย เนื่องจากได้ถ่ายเทพลังทั้งหมดเข้าสู่ภายในทลายมาร เงาดาบสายหนึ่งที่มียาวนับร้อยจั้งก็ได้พุ่งขึ้นสู่ฟ้า คล้ายดั่งศาสตราวุธเทพสวรรค์ แฝงเอาไว้ด้วยความแน่วแน่ที่บดขยี้ได้แม้แต่ผืนฟ้า ทลายได้แม้กระทั่งความว่างเปล่า!

“เบิกสวรรค์”

หนึ่งดาบสะเทือนไปทั้งฟ้า จนทำให้ผืนฟ้าสั่นไหวไปมา นี้ก็การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของหลงเฉิน ซึ่งใช้พลังลมปราณที่เหลืออยู่แต่เดิมทั้งหมดออกมาในคราวเดียว

เพราะหลงเฉินทราบดีว่า ถ้าหากไม่ปล่อยเบิกสวรรค์ออกมาอีกครั้ง ต่อให้ยังมีลมปราณเหลืออยู่ ก็คงจะไม่พอที่จะใช้รับมือกับอีกฝ่ายได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงได้ขอใช้กระบวนท่าเดียวเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะ

ดาบนี้ได้ใช้ทั้งพลังใจและพลังปราณ ทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยความแน่วแน่ของหลงเฉินที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ รวมเข้ากับความเด็ดเดี่ยวของสัจธรรมแห่งการพลีชีพเอาไว้ด้วย มีแต่รุกไร้ทางถอย มีแต่ตายไร้ทางรอด

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดาบเดียวของหลงเฉินที่ได้ฟันลงมา ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมผู้นั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ภายในแววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เหงื่อหลั่งไหลออกมาจากทุกรูขุมขนของเขาภายในพริบตา พลังคุกคามแห่งความตายอันเข้มข้นจนถึงขีดสุดเริ่มกัดกินภายในจิตใจของเขา

ที่สำคัญคือ เขาพึ่งจะถูกดาบที่สามของหลงเฉินซัดจนลอยออกไป ตอนนี้เขาไม่อาจจะหลบหรือใช้พลังออกมาได้ เพราะในจังหวะที่เท้าของเขาพึ่งจะแตะถึงพื้นนั้น ก็คือเวลาที่ดาบยาวได้ฟันเข้ามาถึง เนื่องจากทั้งหมดนั้นได้ถูกคำนวณเอาไว้อย่างพอดิบพอดี

เมื่ออยู่กลางอากาศจึงไม่อาจที่จะใช้พลังหนุนขึ้นมาได้ สายตาได้จับจ้องไปยังดาบที่ฟันลงมาราวกับตัดได้แม้กระทั่งฟ้าดิน ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมจึงได้ส่งเสียงดังอย่างเจ็บปวดขึ้นมา พร้อมกับผนึกพลังรวมเอาไว้บนมือขวาของตัวเอง

ภายในพริบตามือขวาข้างนั้นก็ได้แปรเปลี่ยนจนดำสนิทดุจเหล็ก คล้ายกับถูกคราบหมึกชโลมเอาไว้ เขานั้นได้รีดพลังที่สามารถจะใช้ได้ทั้งหมดออกมาแล้ว พร้อมทั้งผนึกรวมเอาไว้อยู่บนหมัดข้างขวา

“กรงเล็บภูติซ่อนหมึก”

ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงที่เกรี้ยวกราด พร้อมกับฟาดกรงเล็บที่เป็นดั่งเหล็กดำ เข้าไปที่ทลายมารของหลงเฉินอย่างดุดัน

เมื่อทลายมารของหลงเฉินได้ปะทะเข้ากับกรงเล็บภูติของผู้อาวุโสฝ่ายอธรรม ทั่วทั้งแผ่นดินก็สงบขึ้นมา ราวกับว่าบนโลกหล้านี้ได้ไร้ซึ่งสิ่งที่เรียกกันว่าเสียง

“ตูม”

หลังจากที่ผ่านความเงียบสงบไปแล้ว เสียงระเบิดก็ได้ดังขึ้นมา แรงระเบิดจากพลังอันมหาศาลนั้นได้เบิกภูผาบดขยี้ขุนเขาไป แผ่นดินได้ระเบิดเป็นวงกว้าง ฝุ่นดินลอยกระจายไปทั่ว รอบบริเวณหลายสิบลี้ก็ได้ถูกพลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวนี้ทำลายจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่

เมื่อฝุ่นดินค่อยๆเลือนรางหายไป เหล่าผู้คนก็ได้พบว่าที่ใต้หลุมขนาดยักษ์มีเงาอยู่สองร่าง ต่างฝ่ายต่างก็อยู่ห่างออกจากกันคนละทิศคนละทาง

หลงเฉินเสียบทลายมารลงสู่พื้นข้างกายและลุกขึ้นมา อาภรณ์บนร่างฉีกขาดเต็มไปหมด ผมเผ้ารกรุงรัง อีกทั้งที่หน้าอกยังมีบาดแผลขนาดใหญ่อยู่ เขาหายใจหอบอย่างบ้าคลั่ง

ร่างกายของเขายังคงสั่นไม่หยุด นั้นถือเป็นผลที่เกิดจากการใช้พลังมากเกินไป จึงต้องมีสภาพเช่นนี้ การโจมตีเมื่อครู่นี้เรียกได้ว่าสูญเสียพลังไปจนหมดสิ่น ทั้งยังไม่หลงเหลือพลังปราณหรือแม้กระทั่งพลังกายก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างถูกใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว

หลงเฉินรู้สึกราวกับว่าตัวเองจะตายเลย ทั่วร่างไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้เพียงครึ่งเสี้ยว แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะขยับนิ้วมือก็ยังไม่มี

ขณะนี้เขาทำได้เพียงแต่มองไปทางผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมด้วยความลำบาก แต่ว่าเมื่อได้พบว่าเงาร่างนั้นยังคงยืนอยู่ในจุดเดิม หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะเบิกดวงตากว้างจนค้างขึ้นมา

ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมผู้นั้นยังยืนอยู่ที่เดิม แต่ว่าใบหน้าที่ชราของเขากลับซีดขาวดุจกระดาษ ภายในแววตาทั้งคู่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแตกตื่น ไม่กล้าพอแม้แต่จะมองไปที่แขนของตนเอง

แขนขวาทั้งแขนของเขานั้นหายไปจนสิ้น ภายใต้การโจมตีที่น่าหวาดกลัวของหลงเฉิน เขาได้ผนึกพลังที่ฝึกปรือมาทั้งชีวิตไว้ที่แขนขวา แต่ก็ยังไม่อาจที่จะต้านทานพลังอันมหาศาลของหลงเฉินเอาไว้ได้ จนแขนถึงแหลกละเอียดไป

นี่ทำให้เขาทั้งแตกตื่นและเดือดดาล เขาถือได้ว่าเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูก “แปดบวงสรวง” กระดูกแขนข้างนั้นคือสิ่งที่เขาได้ใช้บวงสรวงปรือกระดูกสร้างขึ้นมา นั้นถือเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะงอกเกิดขึ้นมาใหม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะมียาโอสถใดก็ไม่อาจที่จะเยียวยาให้คืนกลับมาสู่สภาพเดิมได้อีก หลังจากนี้ไปเขาก็ไม่ต่างจากคนพิการที่มีแขนเดียวแล้ว

“เจ้าหนู ข้าจะบดขยี้กระดูกเจ้าให้เป็นผุยผง”

ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมผู้นั้นเกิดโทสะรุมเร้าเข้ามาในจิตใจ จนไม่แยแสอาการบาดเจ็บสาหัสภายในร่างกายเลยแม้แต่น้อย มุ่งหน้าพุ่งเข้าหาและใช้เท้าข้างหนึ่งเตะเข้าไปที่หลงเฉิน

“โครม”

หลงเฉินไม่อาจที่จะขยับร่างกาย จึงแต่มองดูฝ่าเท้าของผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมเหยียบเข้ามา เท้าข้างหนึ่งก็ได้เตะลงไปที่น่องของเขาในทันที จนหลงเฉินถึงกลับกระเด็นไป

“พรวด……”

เท้านี้ของผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมนั้นเตะเข้าไปด้วยความเกลียดชัง ถ้าหากเป็นศิษย์สายตรงโดยทั่วไปก็คงจะต้องถูกบดขยี้ไปในทันทีแล้ว

สำหรับหลงเฉิน แม้ว่าจะไม่มีลมปราณคุ้มครองร่างเอาไว้ แต่ก็ยังแค่กระอักโลหิตออกมาอย่างรุนแรงเท่านั้น เมื่อได้กระแทกเข้ากับพื้น ก็ได้กลิ้งห่างออกไปอีกหลายร้อยจั้งกว่าจะหยุดลง

หลังจากที่หยุดลง ก็ได้กระอักโลหิตออกมาอย่างรุนแรงอีกสองครั้ง หลงเฉินรู้สึกราวกับว่าทั่วทั้งร่างจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

“ตายซะ”

ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมหลังจากเตะหลงเฉินจนลอยออกไปแล้ว ก็ยังรีบวิ่งเข้ามาเพื่อเหยียบไปที่หลงเฉินอีกหนึ่งครั้ง ฝ่าเท้าในครั้งนี้เหยียบลงไปที่หน้าอกของหลงเฉิน ถ้าหากการโจมตีนี้ประสบผลขึ้นมา ย่อมต้องทำให้หลงเฉินกระดูกแหลกจนต้องตายลงอย่างไม่ต้องสงสัย

“โล่พันไม้”

ในพริบตาที่ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมออกเท้าเพื่อที่จะเหยียบเข้ามา พื้นที่ด้านหน้าของหลงเฉินก็เกิดการระเบิด มีแท่งไม้หลายสิบแท่งโผล่ขึ้นมา ผสานกันจนกลายเป็นแผ่นโล่ไม้

“โครม”

กำแพงไม้ที่สูงใหญ่นั้น ก็ได้ถูกเท้าผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมเหยียบทำลายลง ทว่าหลังจากที่โล่ไม้ถูกทำลายลง หลงเฉินที่อยู่ด้านหลังโล่ไม้ก็หายตัวไปแล้ว

เมื่อได้เงยหน้าขึ้นและมองออกไป ก็เห็นหญิงสาวนางหนึ่งอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลออกไป นางนั่งยองๆอยู่กับพื้น ในมือโอบคนคนหนึ่งเอาไว้ ซึ่งคนผู้นั้นก็คือหลงเฉินนั้นเอง

หญิงสาวนางนั้นก็คือฉู่เหยา เดิมทีนางได้ทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับผู้อยู่เหนือขอบเขตฝ่ายอธรรมอีกคน แม้ว่าผู้อยู่เหนือขอบเขตที่ตกอยู่ภายใต้การโจมตีของฉู่เหยาจะประคับประคองตัวเอาไว้ด้วยความลำบาก แต่ทว่านางก็ยังไม่อาจที่จะเอาชนะเขาได้ในเวลาอันสั้น

หลังจากที่ได้ยินคำพูดจากผู้อาวุโสถู่ฟาง จึงพบว่าหลงเฉินและผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมที่แข็งแกร่งผู้นั้นกำลังเปิดศึกกันอยู่ วินาทีนั้นนางก็ไม่ได้สนใจที่จะกักเก็บพลังเอาไว้อีกต่อไป จึงรีบกระตุ้นพลังจากรากฐานขึ้นมาในทันที

เดิมทีแล้วผู้ฝึกยุทธ์ธาตุไม้ก็คล้ายกับต้นไม้ที่สูงใหญ่ต้นหนึ่ง และพลังดั่งเดิมของพวกนาง ก็มีส่วนที่คล้ายกับรากของต้นไม้ของพวกนางเอง

รากไม้จึงถือเป็นพลังดั่งเดิมอันมหาศาลทั้งหมด แต่ว่าการใช้พลังทำหมดเช่นนี้ออกมา จะทำให้การฝึกปรือของตนเองไม่อาจที่จะก้าวหน้าต่อไปได้ในเวลาสั้นๆ ทั้งยังมีโอกาสที่จะทำให้ได้รับอันตรายถึงรากฐานได้

ควรทราบว่าหากได้รับบาดเจ็บถึงรากฐาน ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อการเลื่อนขั้นพลังในวันข้างหน้าเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นพลังดั่งเดิมจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ธาตุไม้เป็นอย่างยิ่ง

แต่เมื่อพบเห็นหลงเฉินตกอยู่ในอันตราย ฉู่เหยาก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป นางใช้พลังดั่งเดิมออกมาเพื่อเสริมเข้าไปบนพลังธาตุไม้ของตนเอง

หลังจากที่พลังดั่งเดิมได้ถ่ายเทเข้าสู่พลังแห่งธาตุไม้แล้ว ฉู่เหยาก็จะสามารถใช้ยันต์ตราเพื่อกระตุ้นให้ก้านไม้เหล่านี้ส่องสว่างแสงสีทองขึ้นมาได้

หลังจากที่ยันต์ตราสีทองเหล่านี้ส่องแสงขึ้นมาแล้ว เมื่อฉู่เหยากระตุ้น ก้านไม้เหล่านั้นก็จะแข็งแรงทนทานเป็นอย่างยิ่ง แข็งแกร่งดุจทองคำเลยก็ว่าได้

แท่งไม้สีทองหลายร้อยก้านพุ่งเข้าไปโจมตีผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นในเวลาเดียวกัน แม้ว่าจะมีความแข็งแกร่งอย่างผู้อยู่เหนือขอบเขต ก็ใช่ว่าจะรับไว้ได้ ไม่นานก็ถูกแท่งไม้ทองนั้นเสียบแทงจนตายตกไปด้วยพลังอันมหาศาล

ในตอนที่ฉู่เหยาสังหารผู้อยู่เหนือขอบเขตผู้นั้นไป ทางด้านหลงเฉินก็ได้ปะทะกับผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมผู้นั้นไปแล้ว ทั้งยังเป็นการปะทะกันอย่างรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ทำให้นางที่คิดจะเข้ามาเพื่อจะทำการสนับสนุนถูกซัดจนกระเด็นออกไปในทันที

เมื่อฉู่เหยาวิ่งเข้ามาใกล้อีกครั้ง ก็พบว่าหลงเฉินตกอยู่ในห้วงคับขันพอดี จึงได้กระตุ้นพลังนั้นเพื่อต้านทานการโจมตีเอาไว้

ทว่าฉู่เหยาเองก็ทราบถึงความน่ากลัวของผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมดี ทราบว่าตัวเองไม่อาจยับยั้งเขาเอาไว้ได้ ดังนั้นจึงใช้เพียงพลังแห่งธาตุไม้สามัญออกมาเท่านั้น

ในช่วงที่กำลังต้านทานกระบวนท่าของผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมอยู่นั้น นางก็ได้ฉุดหลงเฉินเข้ามาจนถึงทางด้านข้างด้วยพลังแห่งธาตุไม้ มืออันขาวผ่องก็ได้ประทับไปบนหัวไหล่ของหลงเฉิน พร้อมกับใช้พลังแห่งชีวิตของตนเอง เพื่อทำการรักษาอาการบาดเจ็บของหลงเฉิน

“กล้ามากที่มาขวางข้า ตายไปเสียเถอะ ! ”

เมื่อผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมพบว่าฉู่เหยาสามารถที่จะรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่หลงเฉินได้ จึงได้มีโทสะพุ่งเสียดฟ้าขึ้นมา หันกายพุ่งเข้าหาทั้งสองคน

“เฒ่าผี เจ้าสมควรที่จะไปตายซะ”

ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงตะโกนดังกังวาลขึ้นมา กู่หยางเป็นคนแรกที่ได้พุ่งเข้ามาหาผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมผู้นั้น จากนั้นก็ได้กวาดกำปั้นออกไป

“หมัดหกดวงตะวัน”

กู่หยางออกหมัดไปในทันที ทว่ามีการโจมตีอีกสองสายพุ่งเข้ามาถึงในเวลาเดียวกัน

“วายุตัดความเดี่ยวดาย”

“ทลายเยือกแข็ง”

ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวเองก็ได้มาถึงแล้วเช่นกัน ทั้งสองคนต่างก็ได้ลงมือออกไปในเวลาเดียวกัน การโจมตีทั้ง 3 สายพุ่งเข้าไปที่ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมผู้นั้น

“เจ้าพวกแมลง ไสหัวไปซะ”

ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมผู้นั้นก็ได้ตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว หลังจากที่เขาปล่อยหมัดออกไปคราหนึ่ง คมวายุของถังหว่านเอ๋อและอาวุธน้ำแข็งของเยี่ยจื่อชิวก็ได้แตกระเบิดขึ้นมาในทันที

กู่หยางเองก็ถูกพลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวกระแทกจนลอยกระเด็นออกไป แขนข้างหนึ่งถึงกับฉีกขาดไปกว่าเจ็ดถึงแปดส่วน

ถังหว่านเอ๋อกับเยี่ยจื่อชิวตกใจขึ้นมายกใหญ่ พวกนางรีบผนึกพลังอาวุธขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็ได้พุ่งขึ้นไปอีกครา พวกนางหมายที่จะชิงโอกาสนี้เพื่อให้หลงเฉินได้ฟื้นคืนพลังกลับมา

“ไสหัวไป”

มือข้างหนึ่งของผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นสีดำทมิฬ พร้อมกับฟาดออกไปจนเกิดเป็นลมกรรโชกแรงขึ้นมา ทั้งสองไม่อาจที่จะต้านทานเอาไว้ได้จึงถูกกระแทกจนลอยออกไปในทันที จากนั้นก็กระอักโลหิตออกมาอย่างแรง ยังไงเสียพวกนางก็มีพลังที่แตกต่างจากผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมห่างไกลมากจนเกินไป

“ในเมื่อพวกเจ้าคิดที่จะตายกัน ข้าผู้ชราก็น้อมที่จะสนองพวกเจ้าเอง”

ผู้อาวุโสฝ่ายอธรรมหัวเราะดังเสียงเคี๊ยกเคี๊ยกขึ้นมาเป็นสาย จากนั้นก็ได้ยื่นมือข้างใหญ่ออกมา วิ่งตะบึงตรงเข้าไปคว้าที่คออันขาวผ่องของถังหว่านเอ๋อ

ทว่าในขณะที่กรงเล็บของเขากำลังจะมุ้งเป้ากระทำที่คอของถังหว่านเอ๋อนั้น พลังโจมตีที่รุนแรงระลอกหนึ่งก็ได้พุ่งเข้ามาตัดเข้าไปที่แขนของเขาในทันที

.

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset