เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 265 กระแสกระบี่ทะลวงสวรรค์

“หวู่หลี เล็บของเจ้ายาวเกินไปแล้วนะ”

ทันใดนั้นก็มีเสียงอันเย็นเยียบดังแทรกขึ้นมาราวกับเป็นเสียงสะท้อนมาจากสวรรค์ชั้นเก้า แล้วประกายกระบี่อันคมกล้าสายหนึ่งก็ตัดผ่านอากาศมาที่ฝ่ามือขนาดใหญ่ข้างนั้นอย่างหนักหน่วง

“พรวด”

กระบี่ยาวทลายฟ้าตวัดเงามายาขนาดพันจั่งไปที่ฝ่ามือขนาดใหญ่จนกลายเป็นสองส่วนในพริบตา หลงเฉินเบิกดวงตาโพลงโตมองไปยังฝ่ามือขนาดใหญ่ที่มีหยาดโลหิตไหลรินออกมา

“หลิงหวินจื่อ”

ฝ่ามือขนาดใหญ่ค่อยๆ ลอยละล่องย้อนกลับเข้าสู่ห้วงมิติโปร่งใสช้าๆ จากนั้นก็มีเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราดของคนผู้หนึ่งดังออกมา แล้วทันใดนั้นเองบริเวณที่ห่างไกลจากถู่ฟางก็ได้มีห้วงมิติขนาดใหญ่อีกบานหนึ่งปรากฏขึ้นมาพร้อมกับเงาร่างของคนผู้หนึ่ง

หลิงหวินจื่อยืนอยู่ในท่านิ่งสงบ มือทั้งสองไพล่อยู่ข้างหลัง ดวงตาจดจ้องไปทางห้วงมิติที่อยู่ฟากหนึ่ง “หวู่หลี เจ้าเงียบหายไปนานกว่าสามสิบปีเห็นจะได้ แม้แต่ข่าวคราวก็ยังไม่มี แล้วเหตุใดในวันนี้ถึงได้อาจหาญลงมือกับกลุ่มทารกน้อยของข้าเช่นนี้?”

ถึงแม้ว่าการปรากฏตัวของหลิงหวินจื่อจะเป็นเพียงเงามายาสายหนึ่ง ทว่าบรรยากาศบนร่างกายของท่านเจ้าสำนักกลับมีสำนึกแห่งกระแสกระบี่พวยพุ่งออกมาไม่หยุดราวกับว่าเป็นกระบี่ยาวอันเย็นเยียบที่ถูกชักออกจากฝักอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากที่หลิงหวินจื่อปรากฎตัวก็ได้ทำให้พลังกดดันของฝ่ามือขนาดใหญ่ลดทอนลงไปจนหมดสิ้น อีกทั้งยังสูญเสียพลังทำลายอันน่าหวาดกลัวเมื่อครู่นี้ไปจนผู้คนทั้งหมดกลับมาหายใจได้ตามปกติ ทว่าด้วยพลังอันน่าหวาดกลัวกลับทำให้พวกเขาทอใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ ร่างกายชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อราวกับว่าเพิ่งพ้นมาจากความตาย

“หลิงหวินจื่อ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะสามารถผนึกกายาปราณขึ้นมาได้อีกครั้ง” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากห้วงมิติขนาดใหญ่ น้ำเสียงของคนผู้นั้นทั้งเดือดดาลและหวาดผวาในเวลาเดียวกัน

สิ่งที่เรียกกันว่ากายาปราณนั้นเป็นรูปแบบของพลังแห่งจิตวิญญาณระดับสูงสุด มีเพียงยอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตก่อฟ้าไปแล้วเท่านั้นที่จะสามารถผนึกพลังแห่งจิตวิญญาณให้กลายเป็นร่างแยกจิตวิญญาณขึ้นมาได้ อีกทั้งยังเป็นร่างแยกที่มีพลังการต่อสู้ถึงหนึ่งในสิบส่วนของร่างต้น

ทว่ายอดฝีมือขอบเขตก่อฟ้าก็ใช่ว่าจะสามารถผนึกพลังแห่งจิตวิญญาณเป็นร่างแยกจิตวิญญาณได้ทุกคน นอกจากจะต้องมีพลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งมากพอแล้วก็ยังต้องมีพรสวรรค์อันสูงส่งที่ยากจะเสาะหาได้อีกด้วย

“เหอะ และข้าก็ไม่อาจกระทำต่ำช้าได้อย่างเจ้าด้วย ที่เอาแต่หาเรื่องจัดการกับเหล่าผู้เยาว์อย่างไม่เหมาะสม” หลิงหวินจื่อหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วกล่าวออกไปอย่างไม่แยแส

“หลิงหวินจื่อ เจ้าคิดจะท้าทายข้าอย่างนั้นหรือ?” คนผู้นั้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความโกรธเกลียดเอาไว้

“ก็อยากจะให้เป็นเช่นนั้น ทว่าน่าเสียดายที่เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าอีกแล้ว ฉะนั้นจงไสหัวไปซะ!” หลิงหวินจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับกวาดกระบี่ยาวทลายฟ้าไปที่ห้วงมิติขนาดใหญ่อีกฝั่งหนึ่งอย่างไร้ความปราณี

ห้วงมิติโปร่งใสถูกหลิงหวินจื่อฟันจนแตกสลายด้วยกระแสกระบี่เพียงครั้งเดียว และหลังจากที่ห้วงมิติบานนั้นหายลับจากสายตาของผู้คนทั้งหมดไปแล้วก็คล้ายกับมีเสียงคำรามกันเกรี้ยวกราดดังกึกก้องไปทั่วทั้งผืนฟ้า

หลิงหวินจื่อกวาดสายตามองไปโดยรอบสนามรบอันวุ่นวายที่ได้หยุดลงหลังจากที่เขาปรากฏตัว จากนั้นแววตาเป็นประกายเจิดจ้าก็ได้หยุดอยู่ที่เงาร่างสายหนึ่ง “ฮาฮาฮา หลงเฉิน ยอดเยี่ยมมาก เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ” หลิงหวินจื่อหัวเราะเสียงดังก่อนที่จะถอยหลังกลับเข้าไปในห้วงมิติแล้วหายลับไปจากเบื้องหน้าสายตาของผู้คนทั้งหมด

หลังจากที่กายาปราณของหลิงหวินจื่อได้เลือนหายไปพร้อมกับห้วงมิติบานนั้น ทั่วทั้งสนามรบก็ตกอยู่ในสภาวะเงียบสงัดไปอีกชั่วครู่หนึ่ง เหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดต่างก็ไม่เคยคิดเลยว่าการต่อสู้ระหว่างพวกเขานั้นถึงกับชักนำยอดฝีมือขอบเขตก่อฟ้าเข้ามาจัดการศึกการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมในครั้งนี้ด้วย จึงทำให้จิตใจของพวกเขาเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

ส่วนเฒ่าประหลาดเนตรมารเองก็ทราบได้ทันทีว่าศึกการต่อสู้ในครั้งนี้ได้จบสิ้นแล้ว และพวกเขาคือฝ่ายที่ได้รับความพ่ายแพ้กลับไปอย่างไม่ต้องสงสัย นับเป็นศึกการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมที่น่าหวาดหลัวอย่างถึงที่สุด เพราะเขาได้สูญเสียผู้อยู่เหนือขอบเขตไปถึงสามคน อีกหนึ่งนั้นถูกฟาดจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว ส่วนอีกหนึ่งคนนั้นถูกตัดขาข้างหนึ่งไป ช่างเป็นความน่าอับอายที่ยากจะทนทานรับไหวชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้ พลันก็ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดว่า

“ถอนกำลัง”

เมื่อสิ้นเสียงของเฒ่าประหลาดเนตรมารแล้ว เหล่าศิษย์ฝ่ายอธรรมที่มีชีวิตอยู่พันกว่าคนก็ค่อยๆ ถอยหลังกลับออกมาจากสนามรบ

“อยากจะถอยก็ถอยออกไปง่ายๆ เช่นนี้เลยอย่างนั้นหรือ? เหล่าพี่น้องของข้า จงบุกไปชิงแหวนมิติของพวกเขามา ภายในนั้นจะต้องมีศีรษะของพี่น้องของพวกเราอยู่แน่นอน จงแย่งชิงกลับมาให้ได้ อย่าปล่อยให้พี่น้องของพวกเราตายไปเป็นผลประโยชน์ของคนเหล่านั้น!”

เมื่อหลงเฉินพบว่าศิษย์ฝ่ายอธรรมรีบถอยทัพกลับไปอย่างง่ายดายโดยที่เหล่าผู้อาวุโสเองก็ไม่คิดที่จะขวางรั้งเอาไว้เลยแม้แต่น้อยจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไปด้วยความเกรี้ยวกราด

เดิมทีศิษย์ฝ่ายธรรมะมากมายต่างก็โห่ร้องขึ้นมาด้วยความเบิกบานใจที่ได้รับชัยชนะจากศึกในครั้งนี้ ทว่าทันทีที่ได้ยินคำสั่งของหลงเฉินดังขึ้นมา ความสุขที่เพิ่งจะดื่มด่ำเข้าไปก็หายไปในพริบตา ดวงตาจ้องมองไปทางศิษย์ฝ่ายอธรรมพร้อมกับกระชับอาวุธในมือมุ่งหน้าเข้าปะทะกับศัตรูในทันที

“บัดซบ พวกเจ้าคิดจะละเมิดข้อตกลงของการออกศึกอย่างนั้นหรือ!”

การที่ฝ่ายยอธรรมถอยทัพกลับไปแต่โดยดีนั้นถือว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้วอย่างสมบูรณ์ หากเป็นไปตามข้อตกลงที่ได้เขียนร่างขึ้นมาด้วยกันแล้ว ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะย่อมไม่อาจไล่ต้อนอีกฝ่ายได้ ฉะนั้นการกระทำของหลงเฉินจึงไม่ต่างจากการละเมิดข้อตกลงที่มีมาเนิ่นนานแล้ว

และถึงแม้ว่าถู่ฟางจะทราบดีอยู่แก่ใจว่าหลงเฉินได้ทำผิดต่อข้อตกลง ทว่าเขาก็ได้แต่กรอกตาอยู่รอบหนึ่งแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หลงเฉินเป็นผู้บัญชาการของศึกในครั้งนี้ ฉะนั้นข้าจึงไม่มีสิทธิ์สอดมือเข้าไปก้าวก่ายคำสั่งของเขาได้”

เฒ่าประหลาดเนตรมารจึงยิ่งทอสีหน้าดุร้ายขึ้นมาแล้วพ่นวาจาที่เปี่ยมไปด้วยโทสะว่า “นี่เจ้ากำลังกล่าววาจาผายลมอยู่นะ รู้หรือไม่! คิดว่าข้าเป็นตาแก่โง่งมอย่างนั้นหรือ? ตัวบัดซบเช่นพวกเจ้ายังหาญกล้าที่จะเรียกตัวเองว่าฝ่ายธรรมะอยู่อีกหรือ?”

ดวงตาประดุจปีศาจร้ายมองไปยังศิษย์ฝ่ายอธรรมที่กำลังถูกศิษย์ฝ่ายธรรมะไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งอยู่เบื้องล่าง อีกทั้งยังเรียกได้ว่าไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้เลยแม้แต่น้อยจนถูกฆ่าตายลงไปทีละคนอย่างรวดเร็ว

“เฒ่าผีปีศาจ หุบปากของเจ้าไปเสียดีกว่า รู้บ้างหรือไม่ว่ามันได้ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งจนข้าปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมดแล้ว” ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในการลงมือกับผู้คน ทว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของเขายังมีมากพอที่จะด่าทอออกไปไม่หยุด

“กล่าวหาว่าข้านั้นละเมิดต่อข้อตกลงอย่างนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นห้วงมิติเมื่อครู่นี้เป็นฝีมือของผู้ใดกัน? ไม่ใช่ว่าเป็นพวกเจ้าหรอกหรือที่ละเมิดข้อตกลงก่อน? พวกเฒ่าผีไร้ยางอาย! เหอะ คงจะเป็นเพราะพวกเจ้าตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ใช่หรือไม่ถึงได้หยิบยกข้อตกลงมากมายออกมาพูด ใบหน้าของพวกเจ้าคงจะใช้หนังทำรองเท้าห่อหุ้มเอาไว้สินะ มันถึงได้แน่นหนาจนไร้ยางอายถึงเพียงนั้น

เหล่าพี่น้องของข้า จงบุกเข้าไปแล้วสังหารศิษย์ฝ่ายอธรรมให้หมดสิ้น เป้าหมายของการจู่โจมในครั้งนี้คือกวัดแกว่งอาวุธของพวกเจ้าตัดผ่านร่างกายของพวกเขาให้กลายเป็นเนื้อบด บุก!”

ศิษย์ฝ่ายธรรมะต่างก็เหนื่อยล้าจากการต่อสู้อันยาวนานจนแทบจะล้มลงไปกองกับพื้นได้ทุกเมื่อ อีกทั้งตามร่างกายของพวกเขาก็มีบาดแผลมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าคำพูดของหลงเฉินนั้นคล้ายกับโอสถกระตุ้นชั้นดีที่พอได้ฟังแล้วกลับทำให้โสตประสาทของพวกเขาตื่นตัวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง

ใบหน้าที่ดุร้ายผนวกกับแววตาที่ทอประกายรังสีสังหารออกมาไม่หยุดของศิษย์ฝ่ายธรรมะได้ทำให้ศิษย์ฝ่ายอธรรมทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง จิตใจเกิดอาการแตกตื่นจนแทบจะสลบลงไปในทันที

เดิมทีผู้คนมากมายต่างก็คิดเหมือนกันว่าศิษย์ฝ่ายอธรรมจะต้องโหดร้ายและน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับความตายก็ยังไม่หวั่นไหว ทว่าในขณะนี้กลับมองเห็นสัตว์ร้ายในร่างของศิษย์ฝ่ายธรรมะ มีหรือที่พวกเขาจะต้านทานภัยคุกคามเช่นนี้ได้จึงกลายเป็นฝ่ายหนีหัวซุกหัวซุนอย่างรวดเร็ว

ส่วนศิษย์สายตรงของฝ่ายธรรมะนับสิบคนก็ได้พุ่งทะยานออกไปยังเบื้องหน้าจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าบนหว่างคิ้วของพวกเขามีประกายแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นมา อีกทั้งยังปะทุพลังอันมหาศาลไปทั่วทั้งร่างกายของตัวเองไม่หยุด

เหล่าผู้อาวุโสจากสำนักอื่นๆ ที่มองดูจากบริเวณที่ห่างไกลออกไปต่างก็ทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน บางส่วนก็ถึงกับหลั่งน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มออกมาไม่หยุด เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาได้เห็นว่าศิษย์สายตรงของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ได้กระตุ้นสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้แล้ว ซึ่งต่างจากศิษย์สายตรงของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง

ทว่าในขณะนี้เมื่อเห็นศิษย์ของตัวเองสามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้แล้ว ความอิจฉาริษยาที่บังเกิดขึ้นมาก็ได้สลายหายไปอย่างรวดเร็ว ภายในจิตใจกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความปิติยินดีขึ้นมาอย่างไม่เสี่ยมคลาย

สนามรบที่อยู่เบื้องหน้าสายตาของผู้คนทั้งหมดเกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ศิษย์ทั้งสองฝ่ายแยกยย้ายกันออกอาวุธกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เหล่ายอดฝีมือของฝ่ายอธรรมต่างก็คิดที่จะสอดมือเข้าไปช่วยเหลือศิษย์ของพวกเขาอยู่หลายครั้ง ทว่าแน่นอนว่าทางฝ่ายธรรมะเองก็คงจะไม่อยู่เฉย มีหรือที่จะปล่อยให้พวกเขาลงมือได้อย่างง่ายดาย

“หลงเฉิน ที่เจ้ายังไม่หยุดลงมือนั้นเป็นเพราะเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?” เฒ่าประหลาดเนตรมารทอสีหน้าหวาดหวั่นขึ้นมาเป็นครั้งแรก พลันก็ขยับฝีปากกล่าววาจาด้วยความอับจนปัญญา

หากปล่อยให้สถานการณ์ในสนามรบดำเนินไปเช่นนี้ ศิษย์ฝ่ายอธรรมทั้งหมดคงจะต้องถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นด้วยเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามเป็นแน่ และต่อให้เป็นผู้อาวุโสลงมือเองก็คงจะไม่อาจฝ่าการป้องกันของฝ่ายธรรมะไปได้อย่างแน่นอน

“ให้ศิษย์ของเจ้าถอดแหวนมิติออกแล้วนำศีรษะของพี่น้องของข้าคืนมา!” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง

“ผายลมเจ้าสิ ภายในแหวนมิติเหล่านั้นล้วนแต่มีสมบัติที่ศิษย์เหล่านั้นหามาด้วยตัวเองอย่างยากลำบาก แล้วพวกเขาจะมอบให้พวกเจ้าได้อย่างไรกัน? ข้าจะให้ศิษย์ของข้าคืนศีรษะทั้งหมดให้พวกเจ้าแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”

เฒ่าประหลาดเนตรมารด่าทอขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราดอย่างถึงที่สุด ทว่าในตอนท้ายยังคงยอมประนีประนอมต่อหลงเฉินด้วยการตบปากรับคำที่จะคืนศีรษะของศิษย์ฝ่ายธรรมะกลับคืนไป

“ผายลมที่ว่านั่นต้องเป็นจุดแข็งของพวกเจ้าอยู่แล้ว อย่าได้คิดว่าข้าจะเป็นเช่นเดียวกับพวกเจ้าสิ หากไม่ถอดแหวนมิติออกมาแล้วจะทราบได้อย่างไรว่าพวกเจ้าเอาศีรษะออกมาแล้วทั้งหมด? เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อวาจาหลอกเด็กของเจ้าอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เจ้ากำลังบีบคั้นข้าเกินไปแล้วนะ นี่เจ้าคิดจะฝ่าฝืนข้อตกลงให้จงได้เลยใช่หรือไม่!” เฒ่าประหลาดเนตรมารตะโกนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งจนเนื้อตัวสั่นเทาอย่างรุนแรง

หลงเฉินจึงกล่าวอย่างไม่แยแสอีกว่า “หากข้าต้องการจะบีบคั้นเจ้าจริง แล้วเจ้าจะทำอะไรกับข้า? จะวิ่งเข้ามากัดข้าหรืออย่างไรกัน? ข้อตกลงเหล่านั้นมีไว้เพื่อคุ้มครองผู้ที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น ฉะนั้นจงอย่าได้อ้างถึงคำนี้ต่อหน้าข้าอีก เพราะยิ่งเจ้าพูดออกมาก็ยิ่งทำให้โทสะของข้ารุนแรงขึ้น

หากเจ้าจะกล่าวถึงข้อตกลงอย่างแท้จริง จงบอกข้ามาว่าผู้ใดเป็นคนกำหนดเวลาและสถานที่ของศึกในครั้งนี้กัน? หากมีข้อตกลงอยู่จริงก็ไม่สมควรที่พวกเราจะต้องเป็นฝ่ายถูกจู่โจม อีกทั้งยังลงมือต่อประชาชนที่ไร้ทางสู้อีก มารดาเจ้าเถิด อธิบายให้ข้าฟังสิ!”

หลังจากที่ด่าทอออกมาจนใบหน้าแดงก่ำ และเมื่อกล่าวมาจนถึงเหตุการณ์ที่ประชาชนมากมายต้องตายไปอย่างน่าอเนจอนาถ ดวงตาของหลงเฉินก็มีสีแดงก่ำขึ้นมาจึงด่าทออกไปอีกระลอกว่า

“นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเจ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าผู้คนเหล่านั้นไม่ใช่หรือ พวกเจ้าจึงตั้งตัวเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้ แล้วในตอนนี้จะมากล่าวอ้างถึงข้อตกลงอันใดกับข้ากัน? กลับไปกินหญ้าเสียเถิด เฒ่าผีปีศาจ!”

เหล่าผู้อาวุโสฝ่ายธรรมะต่างก็มองไปที่หลงเฉินด้วยความแปลกประหลาดใจ ในที่สุดความอัดอั้นที่อยู่ภายในจิตใจของพวกเขามานานแสนนานก็ถูกเด็กน้อยผู้นี้กล่าวออกมาได้อย่างหมดจด ช่างเป็นการด่าทอที่น่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

ทว่าเฒ่าประหลาดเนตรมารที่ได้ยินได้ฟังกลับโกรธเกรี้ยวจนมีลมออกจากทวารทั้งเจ็ด เขากัดฟันกรอดพร้อมกับกำมือแน่นหมายที่จะเข้าไปขย้ำหลงเฉินให้ตายไปเสียตอนนี้เลย ทว่าทางฝ่ายนั้นมีถู่ฟางคอยจับตาดูอยู่จนเขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะยินยอมให้พวกเจ้าทำการตรวจสอบแหวนมิติ ฝ่ายของเราจะไม่เก็บซ่อนศีรษะของศิษย์ฝ่ายธรรมะเอาไว้แม้แต่ลูกเดียว”

ในที่สุดเฒ่าประหลาดเนตรมารก็ได้กล้ำกลืนฝืนเก็บความรู้สึกโกรธแค้นลงไป ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เก่งกาจพอที่จะมองดูศิษย์ของตัวเองตายตกไปจนหมดได้

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset