เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 277 การประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่

“เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ! ”

เมื่อได้เห็นกระดาษที่หลงเฉินยื่นมาให้ ผู้อาวุโสซุนก็ได้ทอสีหน้าปั้นยาก พร้อมกับกล่าวขึ้นมาด้วยโทสะ “ภายในหมู่ตึกไม่ได้มีมากมายถึงเพียงนี้หรอก นี่เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าคิดที่จะรีดไถกัน วัตถุดิบมากมายถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปปล้นชิงเอาเลยเล่า ? ”

บนแผ่นกระดาษที่หลงเฉินยื่นให้แก่ผู้อาวุโสซุน ขีดเขียนเต็มไปด้วยตัวอักษรของรายชื่อวัตถุดิบหลายร้อยชนิดเอาไว้ อีกทั้งยังมีอยู่บางส่วนที่แม้แต่ผู้อาวุโสซุนเองก็ยังไม่เคยพบเคยเจอชื่อของมันมาก่อน

หากมีแค่เพียงวัตถุดิบเหล่านี้ก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจำนวนที่ถูกเขียนเอาไว้ด้านหลังกลับน่าตกใจจนเกินไป เพราะวัตถุดิบโดยส่วนมากต่างก็เน้นการใช้จำนวนแต้มมาคิดด้วยกันทั้งสิ้น

และที่สำคัญและน่าหวาดกลัวที่สุดคือหลงเฉินกลับใช้การนับเป็นชั่งมาคิด คือเพียงแค่ต้องการก็ต้องการมากถึงหนึ่งร้อยชั่งแล้ว ทั้งยังมีอยู่วัตถุดิบอยู่หลายร้อยชนิด รวมๆกันแล้วกลับมีถึงหลายหมื่นชั่งเลยทีเดียว ทั้งยังเป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง

“นี่เจ้ากล่าวเหลวไหลหรือไงกัน หากข้าสามารถแย่งชิงมาได้ ยังจำเป็นที่จะต้องมาเสาะหาตัวโง่งมเช่นเจ้าไปอีกทำไมกัน หยุดกล่าววาจาไร้สาระได้แล้ว จะทำหรือว่าไม่ทำ” หลงเฉินส่งเสียงขึ้นมาอย่างเย็นชาแล้วกล่าว

ในนี้ถือได้ว่ามีบางส่วนที่เป็นส่วนผสมของโอสถแปรแสง ทั้งยังมีอีกบางส่วนซึ่งถือเป็นวัตถุดิบที่หลงเฉินต้องการเอง และวัตถุดิบเหล่านั้นอีกกว่าร้อยชนิด มีไว้เพื่อหลอมยาโอสถโดยทั่วไป ต่างก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเตรียมเอาไว้

ในครั้งนี้หลงเฉินถือได้ว่าเหี้ยมโหดเป็นอย่างยิ่ง หากใช้ทุกอย่างอย่างละร้อยชั่ง ก็ไม่ต่างอะไรจากเจ้าต้องการชีวิตของข้าอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าจะสนองให้แก่เจ้าเอง

“ความจริงแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้มากมายอะไรขนาดนั้นหรอก ชนิดละร้อยชั่งเลยนะ เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นตลาดสดหรือไงกัน ? ” ผู้อาวุโสซุนกล่าวขึ้นมาด้วยโทสะ

“เจ้าจะสนใจไปทำไมกัน ? ต่อให้ข้าจะใช้วัตถุดิบเหล่านี้มาเผามาทำอาหาร ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องมายุ่ง เจ้าจะทำก็ทำ ไม่ทำก็ไม่ต้องทำ” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าวอย่างเย็นชา

“เจ้า…… ไม่ได้ นี่มากเกินไปแล้ว แต้มคุณประโยชน์ของข้าที่มี ไม่อาจซื้อของได้มากมายถึงเพียงนี้อยู่แล้ว เจ้าต้องการน้อยกว่านี้หน่อยเถอะ อย่างมากข้าก็แบกรับได้เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั่น” ผู้อาวุโสซุนส่ายหน้าแล้วกล่าว

หลงเฉินส่งเสียงขึ้นมาอย่างเย็นชา ไม่สนใจใยดีผู้อาวุโสซุนอีกต่อไป แล้วก็ได้มุ่งหน้าเดินออกไปทางด้านนอก

“เหว่ย เจ้าจะไปที่ใด ? ” ผู้อาวุโสซุนรีบกล่าวขึ้นมา

“ข้าจะไปหารือกับผู้อาวุโสถู่ฟางดูซักหน่อย ถ้าหากข้านำเอาวิชายุทธ์นี้ไปให้ เพื่ออุทิศให้แก่ทางหมู่ตึก ก็ไม่แน่อาจจะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของพวกนี้กลับมาก็ได้” หลงเฉินกล่าวแล้วก็ได้มุ่งหน้าก้าวเท้าออกไป

“เหว่ยเหว่ย รอก่อน พวกเรามาเจรจากันอีกครั้งเถอะ” ผู้อาวุโสซุนกล่าวขึ้นมาอย่างเร่งร้อน

“ไม่มีอันใดให้เจรจาแล้ว” หลงเฉินกล่าวตัดบทขึ้นมาในทันที

ผู้อาวุโสซุนกัดฟันขึ้นมาคราหนึ่ง “ได้ ข้ารับปากเจ้าแล้วก็ได้”

หลงเฉินจึงค่อยส่งเสียงอย่างเย็นชาขึ้นมา แล้วก็ได้โยนเพทายทมิฬในมือส่งให้แก่ผู้อาวุโสซุน ผู้อาวุโสซุนเมื่อได้ยื่นมือรับเข้ามา ก็อดไม่ได้ที่จะจิตใจพองโตขึ้นมา

“อย่าได้ฝันหวานไป วิชาทักษะส่วนนี้ข้าได้แบ่งเป็นส่วนบนส่วนล่างแล้ว นี่ยังเป็นเพียงแค่มัดจำเท่านั้น เพื่อที่จะให้เจ้าได้ศึกษาว่าเป็นจริงหรือปลอมเท่านั้น ในส่วนล่างนั้น ก็ไปรวบรวมสิ่งของมาให้ครบ แล้วข้าจะมามอบให้แก่ข้า

แน่นอนว่าเจ้าย่อมสามารถที่จะใช้ความฉลาดของสุภาพบุรุษจอมปลอมของเจ้า ไปลองทำการพิสูจน์วิชาทักษะส่วนล่างมา ทว่ายังคงขอใช้วาจาเช่นเดิม มิใช่ข้าดูถูกเจ้า เพียงแต่เป็นข้าดูถูกเจ้าจริงๆ”

หลงเฉินกล่าวจบหันกายจากไป ปล่อยให้ผู้อาวุโสซุนทอสีหน้าเต็มไปด้วยโทสะ ที่กำลังมองไปที่เพทายทมิฬในมืออย่างเดียวดาย

หลังจากที่เงาหลังของหลงเฉินได้เลือนหายไปจนสิ้น บนใบหน้าผู้อาวุโสซุนก็ได้คลายโทสะลง จนกลับกลายเป็นความปิติยินดีขึ้นมาจนสิ้น

“ให้ตายเถอะ หากทราบตั้งแต่แรกว่าง่ายดายถึงเพียงนี้ เหตุใดข้าจะต้องเสี่ยงไปต่อกรกับเขาด้วย ? ”

หากมองในมุมมองของผู้อาวุโสซุนก็ช่างไม่ต่างอะไรไปจากย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย* ถึงแม้สิ่งที่หลงเฉินต้องการนั้นจะมีมูลค่าที่มหาศาลเป็นอย่างยิ่ง ทว่าก็ยังถือได้ว่ายังอยู่ในขอบเขตที่ผู้อาวุโสซุนยังพอสามารถที่จะแบกรับได้

*หมายถึง พยายามหาแทบตายกลับไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น

เมื่อได้มองดูเพทายทมิฬในมืออย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง มันที่มีขนาดแทบจะไม่ต่างไปจากไข่ห่าน ด้านบนมีลวดลายสลักเอาไว้อยู่ด้วยชุดหนึ่ง ทว่าลวดลายนั้นกลับหาได้มีอยู่ครบถ้วนไม่ แต่กลับเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

ทว่าต่อให้มีเพียงแค่ส่วนหนึ่ง ก็ยังสามารถที่จะมองออกว่า นั่นเป็นภาพเส้นลมปราณส่วนหนึ่งภายในร่างกายของมนุษย์ ที่ด้านบนยังมีการระบุเส้นทางการไหลเวียนพลังเอาไว้อีกด้วย

ผู้อาวุโสซุนมองดูอยู่ครู่หนึ่ง บนใบหน้าก็ได้เผยออกมาด้วยอาการแตกตื่นและมีสีหน้าที่บ้าคลั่งที่ยิ่งมองก็ยิ่งเกิดความรู้สึกที่มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาได้พบว่า มีพลังกำลังไหลเวียนอยู่ภายในใจกลางแผนภาพนั้น ทั้งลี้ลับทั้งสลับซับซ้อน ถึงแม้ว่าจะมีเพียงแค่ส่วนเดียว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาตื่นเต้นขึ้นมาได้แล้ว

“ช่างเป็นวิชาทักษะที่แข็งแกร่งยิ่งนัก รอบนี้ข้าได้กำไรแล้ว” ผู้อาวุโสซุนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังกังวาน กล่าวพึมพำกับตนเองขึ้นมา

“วิชาทักษะที่มีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ กลับต้องตกไปอยู่ในมือของเจ้าหนูที่มีพลังเพียงแค่ขั้นก่อโลหิต ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้เสียหายต่อวัตถุแห่งฟ้ายิ่งนัก หากรอคอยจนข้าสามารถรวมวิชาทักษะมาได้จนหมด ย่อมต้องช่วยให้ข้าเข้าสู่ขอบเขตเชื่อมชีพจรได้อย่างแน่นอน

เหอะเหอะ เมื่อถึงเวลาก็ค่อยจัดการฝังเจ้าหลงเฉิน แล้วออกจากหมู่ตึกพลิกสวรรค์ ใต้หล้ากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ขอเพียงแค่ไม่ต้องพบเจอกับยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อฟ้าเข้า จะมีผู้ใดสามารถขวางข้าเอาไว้ได้อีก ? ”

ผู้อาวุโสซุนคล้ายกับมองเห็นช่วงเวลาที่ตนเองได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเชื่อมชีพจร ท่องไปทั่วทั้งใต้หล้า ใช้ท่าทางที่หยิ่งทรนงเย้ยยิ้มไปทั้งยุทธภพ

ผ่านไปอยู่นานจึงค่อยมีสติกลับคืนมาได้ เมื่อได้มองไปยังเพทายทมิฬชิ้นนั้นต่อ ที่ด้านบนหน้าของเพทายทมิฬก็เป็นลวดลายรูปหนึ่ง และที่ส่วนหลังยังได้มีการสลักอักษรโบราณเอาไว้

ผู้อาวุโสซุนมองดูอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็จดจำขึ้นมาได้ นี้ก็คือตัวอักษรคำว่า “เย้ย” ทว่าด้วยรูปร่างของตัวอักษรนั้น แม้ว่าจะเรียกได้ว่าเก่าแก่ แต่ก็หาได้อยู่ในสภาพโบราณตามปกติไม่

“ดูเหมือนว่าวิชาทักษะส่วนนี้ จะเก่าแก่ยิ่งนัก เด็กน้อยหลงเฉินนี้ก็ช่างมีโชควาสนาพลิกฟ้าเสียจริง” ผู้อาวุโสซุนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว

แล้วก็ได้ดูอยู่อีกสักพัก จนได้พบว่าที่ผิวด้านของลวดลาย กลับเร้นลับแปลกประหลาด เพียงแค่ลวดลายเพียงแค่ครึ่งส่วนนี้ ไม่ทำให้คาดเดาวิชาทักษะทั้งชุดขึ้นมาได้ เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นแล้วหลงเฉินเองก็คงจะไม่มอบเพทายทมิฬชิ้นนี้ให้แก่เขาอย่างง่ายดายแน่นอน

ทว่าการได้รับเพทายทมิฬเพียงครึ่งส่วนนี้ ได้ทำให้ผู้อาวุโสซุนวางใจลงได้เป็นอย่างมาก จนทำให้เขาทราบได้ว่า หลงเฉินมีความต้องการที่จะทำการแลกเปลี่ยนสิ่งของกับเขาอย่างแท้จริง

ส่วนเหตุใดถึงได้มาเสาะหาเขานั้น เขายังคงเกิดความสงสัยอยู่บ้าง ทว่าหลงเฉินกลับเสนอค่าตอบแทนที่สูงยิ่ง ทั้งยังต้องการวัตถุดิบที่มีค่ามากมายถึงเพียงนั้น จึงได้ทำให้เขาคลายความสงสัยลงไปได้เป็นอย่างมาก

เพราะวัตถุดิบเหล่านี้ อย่าว่าแต่เป็นหลงเฉิน ต่อให้เป็นผู้อาวุโสที่รับใช้หมู่ตึกมานานหลายสิบปี ก็ใช่ว่าจะสามารถที่จะหาซื้อมาได้

ยังดีที่ผู้อาวุโสซุนอาศัยอยู่ภายในหมู่ตึกมาเป็นระยะเวลาที่นานเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังได้คอยดูแลหอพลิกสวรรค์จนได้รับทรัพย์สมบัติมามากมายมาตลอดหลายสิบปี กระเป๋าเงินจึงพองโตเป็นอย่างมาก

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ดาบที่ลงมาของหลงเฉิน ก็ได้ทำให้ผู้อาวุโสซุนเกิดความเจ็บปวดลึกเข้าไปจนถึงกระดูก แต้มคุณประโยชน์ที่เก็บสะสมมานานหลายปี อย่างน้อยก็ต้องหายไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ในหมู่วัตถุดิบเหล่านี้ ภายในหมู่ตึกกลับหาได้มีไม่ จึงจำเป็นที่จะต้องไปทำการกวาดซื้อที่สาขาหลักเท่านั้น

ผู้อาวุโสซุนในวันนั้นเองก็ได้มุ่งหน้าไปที่สาขาหลักในทันที หยิบเอาแผ่นกระดาษของหลงเฉิน แล้วไปทำการกวาดซื้อครั้งใหญ่

ในการประนีประนอมของผู้อาวุโสซุน หลงเฉินกลับมิได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดได้อยู่ในการคาดเดาของเขาไว้อยู่แล้ว

ในเวลานี้ถึงแม้หลงเฉินจะไปหาเขา แต่ก็เห็นได้ชัดว่ากระทันหันจนเกินไป จนกลายเป็นการกระตุ้นความสงสัยของตาเฒ่าผู้นี้ขึ้น

ทว่าข้อเสนอที่หลงเฉินได้ยื่นสูงถึงเพียงนั้น ในเวลาเดียวกันก็ได้จ่ายค่ามัดจำมาแล้วถึงครึ่งหนึ่ง อีกทั้งค่ามัดจำเช่นนี้หลงเฉินเชื่อว่าสามารถที่จะเย้ายวนได้เป็นอย่างดี จนทำให้ตาแก่ผู้นี้ติดเบ็ดได้อย่างแน่นอน

หลังจากที่ได้กลับมาจากทางด้านของผู้อาวุโสซุน ก็ได้พบว่าลานกว้างที่ร่ำสุราไปเมื่อคืน ทุกคนก็สร่างกันจนหมดแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันกลับไปเก็บตัวเพื่อฝึกปรือ

การต่อสู้ครั้งใหญ่นี้ในมุมมองของพวกเขา ถือได้ว่าล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง หลงเฉินเมื่อได้กลับมาแล้ว จึงทำให้พวกเขาสบายใจกันขึ้นมา เริ่มต้นเก็บตัวฝึกปรือ เพื่อดูดซับสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่ได้มาจกาการต่อสู้ครั้งใหญ่นี่เอง

เมื่อกลับมาถึงห้อง ก็ได้พบเห็นถังหว่านเอ๋อกับชิงยวูต่างก็อยู่ในสภาพนั่งสมาธิกันอย่างสงบ จึงมิได้ไปรบกวนพวกนาง

เมื่อย้อนกลับมาเพื่อตามหาอาหมาน อาหมานเองก็ไม่อยู่ และไม่เพียงแต่อาหมาน แม้แต่เสี่ยวเสว่ยก็ยังหายไป จากการที่ได้ลองสอบถามอยู่ครู่หนึ่ง จึงทราบได้ว่า อาหมานกับเสี่ยวเสว่ยได้ติดตามชางหมิงไปล่าสัตว์กันแล้ว

หลงเฉินจึงนึกขึ้นมาได้ในทันที หลายวันมานี้อาหมานต้องทนต่อความหิวโหยมาตลอด สัตว์มายาปกติธรรมดา ก็แทบจะไม่อาจทำให้เขาอิ่มหนำได้เลย

เมื่อได้กลับมาถึงหมู่ตึกก็ย่อมต้องออกไปตามหาอาหารเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว เพื่อที่จะได้กินอิ่มจนหนำใจซักมื้อ และเสี่ยวเสว่ยเองก็เรียกได้ว่ากินเนื้อเพื่อใช้เป็นพลังงาน อาหมานย่อมต้องพาเสี่ยวเสว่ยไปด้วยอยู่แล้ว

ได้ ! เมื่อได้เห็นว่าทุกคนต่างก็เก็บตัวกัน หลงเฉินเองก็ไม่ทราบว่าจะทำอะไร จะมีก็แต่เพียงรอข่าวจากผู้อาวุโสซุนเท่านั้น

เขาเชื่อว่าผู้อาวุโสซุนย่อมต้องรีบร้อนเสียยิ่งกว่าเขา เพื่อที่จะช่วยเขารวบรวมวัตถุดิบได้โดยเร็วที่สุด

เมื่อได้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลงเฉินก็ได้มาถึงยังถ้ำของกัวหรานแล้ว ถ้ำของกัวหรานตั้งอยู่ภายในจุดที่เป็นมุมอับที่สุดของหมู่ถ้ำทั้งหมด เมื่อหลงเฉินเข้ามาใกล้ถ้ำ ก็ได้ยินเสียงดังติงติงตังตังขึ้น ซึ่งเป็นเสียงของการตีเหล็กหลอมอุปกรณ์นั้นเอง

หลงเฉินเข้ามาภายในถ้ำ ก็ได้พบว่าทั่วทั้งถ้ำแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากโรงเก็บขยะเลย มีแต่เศษเหล็กกองอยู่เต็มพื้น ทั้งยังมีอาวุธเหล็กที่ใช้การไม่ได้อีกบางส่วน

เมื่อหลงเฉินมาถึง กัวหรานยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่ที่แท่นหลอมสร้างขนาดใหญ่ ทั้งยังทำการตอกตีไปมาไม่หยุด

แท่นหลอมสร้างนั้นมีขนาดที่ใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังปกคลุมไปด้วยเครื่องมือต่างๆ อยู่เต็มไปหมด เมื่อมองดูจากที่ห่างไกล ก็คล้ายกับเป็นสัตว์ประหลาดเหล็กไหลตนหนึ่ง

ไม่แปลกใจเลยที่ได้ยินถังหว่านเอ๋อบ่นว่า ช่วงนี้กัวหรานใช้จ่ายมากขึ้นแล้ว ทั้งยังได้ยื่นขอเบิกแต้มคะแนนจากนางไม่หยุดไม่หย่อน

รู้สึกว่าเมื่อเด็กน้อยผู้นี้ได้เลือกเส้นทางสายหนึ่งแล้ว หลังจากนี้ยังคิดที่จะตระเตรียมเป็นช่างตีเหล็กอีกด้วย เมื่อได้มองดูกัวหรานที่กำลังทุ่มเทจิตใจตีแผ่นเหล็กอยู่ชิ้นหนึ่ง หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา เด็กน้อยนี้ยังมีเวลาที่จริงจังได้อีก

เมื่อได้เข้าไปใกล้มากขึ้น หลงเฉินก็ได้พบว่า ในมือกัวหรานได้มีคีบอยู่ตัวหนึ่ง กำลังหนีบไปที่ตะปูเหล็กที่มีความยาวกว่าเก้าเชียะตัวหนึ่ง

ตะปูเหล็กพึ่งจะถูกนำออกมาจากเตาเพลิงที่อยู่ทางด้านข้าง ระหว่างนั้นกัวหรานก็ได้ใช้ค้อนที่อยู่มือขวาเคาะลงไป จนมีประกายไฟกระจายไปรอบด้าน

ในระหว่างที่ได้ทำการเคาะลงไปไม่หยุด หัวตะปูเหล็กตัวนั้น ก็ได้ค่อยๆเย็นลงค่อยๆดำขึ้น หลงเฉินพบว่า ส่วนหัวของตะปูเหล็กนั้น ได้เกิดร่องรอยอักขระขึ้นมาจนถี่ยิบ

ถึงแม้หลงเฉินจะไม่มีความรู้ที่ถ่องแท้ต่อการหลอมสร้าง ทว่าเขาก็ทราบว่า เหล็กกล้าทุกชิ้นที่ได้หลอมขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็จะเพิ่มวิถีพลังจากต้นตระกูลขึ้นมาอีกหนึ่ง

อาวุธยุทโธปกรณ์ภายในจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงโดยส่วนมากแล้วต่างก็ถูกตีขึ้นมาเพียงแค่ครั้งเดียวแทบทั้งสิ้น เครื่องมือเหล็กกล้าของจักรวรรดิ ทว่ากลับเป็นเพียงเครื่องมือเหล็กกล้าธรรมดาสามัญ จนไม่อาจที่จะผ่านการสร้างในครั้งที่สองได้ เพราะยังมีความแข็งที่ไม่เพียงพอ ในช่วงการหลอมตีขึ้นครั้งที่สอง จะทำให้แหลกระเบิดขึ้นได้

ดังนั้นอาวุธยุทโธปกรณ์ตามปกติ จะถูกเรียกกันว่าเป็นหนึ่งเหล็กหลอม ในเวลาที่ตีขึ้นมาจะมีเพียงวิถีพลังจากต้นตระกูลเพียงหนึ่งสาย เมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไป รอยอักขระได้เลือนรางหายไป แต่ว่าหากเป็นผู้เชี่ยวชาญก็ย่อมพอที่จะมองออกว่าอาวุธยุทโธปกรณ์นั้นได้ผ่านการหลอมสร้างไปแล้วกี่ครั้ง

และหากกล่าวถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดี ต่างก็ย่อมต้องเคยผ่านการหลอมสร้างมากกว่าสิบครั้งขึ้นไป เรียกกันว่าสิบเหล็กหลอม การหลอมสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ยิ่งมีจำนวนครั้งที่มากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้มีสิ่งเจือปนอยู่ภายในน้อยลง ระดับของอาวุธยุทโธปกรณ์ก็จะยิ่งมีสูงมากขึ้น

กล่าวกันว่าระดับการตีเหล็กยิ่งสูง จะสามารถตีหลอมได้นับร้อย หรือก็คือร้อยหลอมเหล็กบริสุทธิ์ ถึงแม้เหล็กกล้าจะเป็นโลหะปกติธรรมดา แต่ว่าหลังจากที่ถูกหลอมอยู่หลายร้อยครั้ง ระดับความแข็งกลับเป็นที่น่าตกใจยิ่งนัก แม้ว่าจะเป็นเกล็ดของสัตว์มายาระดับสามก็ยังสามารถที่จะแทงทะลุไปได้อย่างง่ายดาย

และตะปูเหล็กในมือของกัวหรานถึงกับมีวิถีพลังจากต้นตระกูลอยู่หลายสิบสาย เช่นนี้ก็บอกได้แล้วว่า ตะปูเหล็กตัวนี้ ได้ถูกกัวหรานหลอมสร้างขึ้นมาหลายสิบครั้งแล้ว

“ชิ”

กัวหรานได้จ้องมองไปที่ตะปูเหล็กในมือ เมื่อสีของตะปูเหล็กได้เปลี่ยนไป ก็ได้นำตะปูเหล็กที่อยู่ในมือ ใส่ลงไปยังน้ำที่วางเอาไว้อยู่ทางด้านข้าง

น้ำภายในถังน้ำ ก็ได้พลิกกรอกไปมาไปในทันที หลังจากนั้น กัวหรานก็ได้ยกตะปูเหล็กในมือขึ้นมา แล้วก็ได้ทำการมองดูส่วนหัวของตะปูเหล็กอย่างละเอียดละออ

แต่ว่าเมื่อได้พบเห็นส่วนหัวของตะปูเหล็ก เขาก็ได้เห็นหลงเฉินที่อยู่ทางด้านหน้าของเขา กำลังหัวเราะคิกคักมองมาที่เขาอยู่

“พี่ใหญ่……โอ๊ย”

ทันทีที่กัวหรานได้พบหลงเฉิน เขาตกใจจนถึงกับต้องคลายมือลง ตะปูเหล็กชิ้นนั้นก็ได้หล่นลง กระแทกไปบนหลังเท้าของเขาอย่างแรง ทว่าที่โชคดีก็คือ ตะปูเหล็กกลับหล่นในลักษณะราบ ไม่เช่นนั้นหากถูกตะปูเหล็กแทงเข้า เท้าของเขาก็คงจะต้องเกิดเป็นรูโหว่ขึ้นมาแล้ว

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ตะปูเหล็กที่มีความหนาเท่านิ้วมือ กลับหนักอยู่หลายสิบชั่งได้ หากมิใช่เป็นเพราะมีการเตรียมการเอาไว้ก่อน กัวหรานก็คงจะต้องแยกเขี้ยวยิงฟันออกมาให้เห็นแล้ว

“เอาละ คราวหน้าหากจะออกไปจากหมู่ตึก เจ้าก็คงจะไม่ต้องหิวโหยอย่างแทบเป็นแทบตายแล้ว ตระเตรียมที่จะย้ายสายไปเป็นช่างตีเหล็กแล้วหรือไง” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าว

กัวหรานนวดไปที่น่องเท้า กล่าวขึ้นมาคล้ายกับอารมณ์เสียอยู่บ้าง “พี่ใหญ่ นี่ท่านกำลังดูแคลนข้าอยู่หรือไง นี่ท่านกำลังดูแคลนคนที่จะได้กลายเป็นเทพแห่งการหลอมแห่งยุคเชียวนะ ท่านจะต้องขอขมาต่อข้าด้วย”

หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะระรื่นขึ้นมา หัวเราะแล้วกล่าว “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เจ้าสามารถที่จะทำให้ข้าเห็นว่าเป็นเทพแห่งการหลอมได้ ข้าก็จะขอขมาเจ้าให้”

กัวหรานทอแววตาขึ้นมาเป็นประกาย “เหอะเหอะ พี่ใหญ่นี่เป็นท่านที่เอ่ยขึ้นมาเองนะ ข้าจะทำให้ท่านเห็นเองว่า สิ่งใดที่เรียกว่าเป็นการประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่”

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset