เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 29 ความตื่นตระหนก

ท่ามกลางประชาชนบนท้องถนนมากหน้าหลายตา หลงเฉินเพียงกวาดสายตามองไปแวบหนึ่งก็จดจำได้ทันทีว่าชายผู้ลึกลับนั้นก็คือองค์ชายเซี่ยฉางเฟิงแห่งจักรวรรดิต้าเซี่ย แต่ทว่าที่ทำให้หลงเฉินตกใจเสียยิ่งกว่าคือการปรากฏใบหน้าที่แสนจะคุ้นเคยของบุคคลที่ยืนอยู่ข้างๆ ของเซี่ยฉางเฟิง

หญิงสาวผู้นั้นมีรูปร่างสูงบาง ผิวพรรณขาวผ่อง บนใบหน้าบึงตึงคล้ายกับโกรธเคืองบางอย่างอยู่ หลงเฉินเคยพบนางมาก่อนครั้นอยู่ที่ชุมนุมผู้หลอมโอสถ หญิงบ้าคลั่งผู้นั้นเอง

นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน? อีกทั้งท่าทีที่สนิทสนมกับองค์ชายแห่งจักรวรรดิต้าเซี่ยเป็นอย่างมาก หลงเฉินตกอยู่ภวังค์แห่งความคิดอันว้าวุ่นอีกครั้งหนึ่งแล้ว

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนอยู่เจ็ดแปดคนที่ติดตามมาด้วยอยู่ด้านหลังของพวกเขาทั้งสอง พวกเขาเหล่านั้นกำลังมุ่งหน้าไปทางเหลาน้ำชาแห่งหนึ่ง

“ในกลุ่มนั้นมีองค์ชายสี่อยู่ด้วยสินะ”

ฉู่เหยากล่าวขึ้นมาขณะที่นางยืนอยู่ข้างกายของหลงเฉินและได้มองไปที่คนกลุ่มนั้นเช่นกัน

“องค์ชายสี่?” หลงเฉินฉงนสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าองค์ชายสี่นั้นเป็นพวกที่ชอบเก็บตัวอย่างนั้นหรอกหรือ อีกทั้งยังไม่แก่งแย่งชิงดีกับเหล่าองค์ชายคนอื่น แล้วจะมาอยู่กับองค์ชายต้าเซี่ยได้อย่างอย่างไรกัน?

“เขาได้ทำการเปลี่ยนแปลงหน้าตาเหมือนกับพวกเราเช่นกัน แต่ที่นิ้วมือของเขานั้นยังคงสวมแหวนวงหนึ่งเอาไว้ เขาคงจะลืมถอดมันออกก่อนเสียกระมัง แหวนวงนั้นเป็นแหวนหยกสลักลายมังกรที่เขาได้สวมเอาไว้อยู่เป็นประจำ ภายในนั้นมีการแกะสักลายดอกไม้ที่พิเศษเฉพาะอยู่ด้วย ข้าจึงจดจำได้แม่นยำ” ฉู่เหยากล่าวต่อ

ฉู่เหยามีฐานะเป็นถึงองค์หญิง ที่ตามปกติแล้วควรจะเสแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใด แต่ว่าเรื่องที่เกี่ยวกับพระราชวังและองค์ชายแต่ละคนกลับได้ทำการจดจำเอาไว้เป็นอย่างดี เพียงกวาดตามองเพียงครั้งเดียวก็บอกได้ว่าเป็นองค์ชายสี่

องค์ชายสี่ถึงกับต้องแปลงกายด้วยอย่างนั้นหรือ? หลงเฉินรู้สึกประหม่าขึ้นมา เขามองซ้ายขาวเพื่อหาวิธีหลบเลี่ยงเข้าไปด้านในเหลาสุรานั้น อยากจะรู้เสียเหลือเกินว่าพวกเขานั้นมีเรื่องอะไรกัน

ที่หน้าประตูถูกคุ้มกันด้วยองครักษ์ของจักรวรรดิต้าเซี่ยอยู่หลายสิบคน หลงเฉินได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความหมดหวัง คงจะยากเกินไปที่จะลักลอบเข้าไปในยามกลางวันเช่นนี้ คงจะทำได้แค่ปล่อยผ่านความอยากรู้นี้ให้สายลมพัดผ่านไปเสียแล้ว

“ฉู่เหยา ข้าต้องกลับไปเตรียมการเพื่อปลดผนึกจุดตันเถียนของเจ้าก่อน” หลงเฉินกล่าว

ดวงตาคู่งามของฉู่เหยาก็ได้ทอประกายแห่งความเสียดายขึ้นมา แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าไปมาอย่างว่าง่าย

หลังจากที่ทั้งสองได้แยกจากกัน หลงเฉินก็ได้กลับมายังจวนแต่ทันทีที่เพิ่งจะเข้ามาถึงประตูใหญ่ก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความดีอกดีใจดังขึ้นมา

“พี่หลง”

จะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากมนุษย์ที่สูงใหญ่กว่าคนธรรมดาอย่างอาหมาน เขากำลังมองมาที่หลงเฉินอย่างดีใจจนถึงที่สุด

หลงเฉินเองก็รู้สึกยินดีไม่น้อยที่อาหมานมีสีหน้าที่ดีขึ้นมากแล้ว ที่ยินดีเสียยิ่งกว่านั้นก็คือรูปร่างของอาหมานที่ไม่ใช่สภาพผอมเหลือแต่กระดูกเหมือนเช่นเคยแล้ว

ตอนนี้ร่างกายของเขาเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ใหญ่และรวมกันเป็นก้อนๆ อีกทั้งผิวพรรณก็พบเห็นการไหลเวียนของโลหิตได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

“ฮาฮา อาหมาน หลายวันมานี้กินอิ่มทุกวันเลยสินะ” หลงเฉินตบเข้าไปที่หัวไหล่ของอาหมานอย่างเอ็นดู

“พี่หลง ทุกวันนี้ข้ากินอิ่มหนำเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายของข้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง รู้สึกได้ว่าแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมอีก ข้าอยากจะติดตามไปพร้อมกับพี่หลง เพื่อคุ้มครองพี่หลง” อาหมานตบไปที่หน้าอกของตัวเองดังปัง บ่งบอกถึงความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม

หลงเฉินยิ้มร่าพร้อมกับพยักหน้าไปมา จากนั้นเขาก็พาอาหมานเข้าไปในห้องของเขา แล้วก็ได้ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเข้าตรวจสอบไปยังภายในร่างกายของอาหมาน

“อะไรกัน?”

ถ้าไม่ได้ตรวจสอบดูก็คงจะไม่ได้เห็นอะไรที่น่าตกใจถึงเพียงนี้ เลี้ยงดูมาอย่างเนิ่นนานถึงเพียงนี้ กินวัวกว่าสิบตัวในทุกวัน แต่เนื้อเยื่อของอาหมานกลับถูกกระตุ้นให้มีชีวิตขึ้นมายังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนเสียด้วยซ้ำ

จากนั้นก็ได้ตรวจสอบไปที่เส้นลมปราณและจุดตันเถียนที่มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย ความตกใจเกิดขึ้นอีกระลอก เมื่อพบว่าภายในจุดตันเถียนของอาหมานมีพลังลมปราณที่กำลังไหลเวียนไปมาอยู่

“อาหมาน เจ้าฝึกยุทธ์ได้แล้วอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินเอ่ยถามออกมา

“พี่หลง อะไรคือการฝึกยุทธ์หรือ?” อาหมานจ้องมองด้วยแววตาที่โง่งม

“ไม่มีอะไรหรอก”

หลงเฉินคร้านที่จะอธิบายออกไป เมื่อตรวจสอบซ้ำอีกครั้งก็พบว่าที่จุดตันเถียนของอาหมานนั้นไม่ได้เกิดความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ทว่ากลับมีพลังลมปราณแห่งฟ้าดินบรรจุไว้อยู่อย่างหนาแน่น

“เป็นร่างวิญญาณที่สุดยอดเกินไปแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องฝึกฝนก็สามารถที่จะดูดซับพลังได้ด้วยตัวเอง”

หลงเฉินถอนหายใจออกมาอย่างอดเสียดายไม่ได้ เขาไม่เคยมีสภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อนเลย แม้ว่าภายในจุดตันเถียนของเขานั้นจะกักเก็บพลังลมปราณเอาไว้อย่างมหาศาลก็ตาม จึงบ่งบอกได้อีกความนัยหนึ่งว่าหลังจากนี้ร่างกายของอาหมานจะต้องแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างมหาศาล อีกทั้งยังสามารถที่จะดูดพลังลมปราณแห่งฟ้าดินมาใช้ได้เองอีกด้วย

หากยอดฝีมือคนอื่นทราบเรื่องนี้ขึ้นมา คงจะต้องเกิดโทสะจนแทบจะคลั่งตายขึ้นมาอย่างแน่นอน หรืออาจกล่าวได้ว่าหลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นยามกินหรือยามหลับใหลของอาหมานก็คงจะเกิดการฝึกยุทธ์ได้อย่างไม่มีหยุดเลยทีเดียว

“อาหมาน ข้าจะสอนวิชายุทธ์อย่างง่ายๆ ส่วนหนึ่งให้แก่เจ้า สอนให้เจ้าใช้พลังออกมาจากจุดตันเถียน”

ด้วยความพิเศษในจุดตันเถียนของอาหมานทำให้หลงเฉินยังไม่ตัดสินใจที่จะสอนทักษะยุทธ์ให้แก่เขาในตอนนั้นก็เพราะว่าเส้นลมปราณของอาหมานนั้นมีเพียงสี่สาย แทบจะไม่สามารถที่จะควบคุมพลังยุทธ์ได้

ดังนั้นหลงเฉินจึงเริ่มสอนเขาถึงวิธีการไหลเวียนลมปราณเพื่อเข้าสู่เนื้อเยื่อที่แขนขาเท่านั้น เพื่อที่จะปะทุพลังอันมหาศาลเพิ่มมากขึ้น

แต่ที่หลงเฉินยังหนักใจอยู่นั้นก็คือสติปัญญาของอาหมาน แม้ว่าจะเป็นการควบคุมจุดตันเถียนที่ง่ายดายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก แต่กลับต้องใช้เวลาทั้งสิ้นสามชั่วยามในการสอน หลงเฉินเริ่มที่จะมีควันออกหูออกมาอยู่หลายครั้ง อาหมานก็ยังคงทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่เช่นเดิม

หลงเฉินเกิดโทสะขึ้นมาอย่างไม่อาจทนไหวอีกต่อไป แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ไร้ซึ้งความสุขของอาหมาน จึงได้กดความรู้สึกนั้นเอาไว้ไม่ระบายออกมา

“เอาเถิด หากสอนเช่นนี้ต่อไป หากรอจนเจ้าเรียนรู้ได้ ข้าคงจะเหนื่อยตายไปเสียก่อน” หลงเฉินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทอสีหน้าท้อแท้อย่างสิ้นหวัง

“พี่หลง ข้าขอโทษที่โง่เกินไป ชั่วชีวิตนี้ข้าคงจะศึกษาไม่ได้อีกแล้ว” อาหมานกล่าวโทษตัวเองออกมา

อาหมานนั้นช่างโง่เขลายิ่งนัก แม้แต่การไหลเวียนพลังลมปราณเข้าสู่จุดตันเถียนก็ยังทำไม่ได้ เขาไม่อาจค้นเจอจุดตันเถียนของตัวเองได้หรืออย่างไรกัน

เมื่อได้มองเห็นใบหน้าที่ผิดหวังในตัวเองของอาหมาน ก็ทำให้หลงเฉินเกิดความไม่สบายใจขึ้นมาเช่นกัน ร่างกายของอาหมานนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าจะเรียกว่ามนุษย์ หากมีพลังปราณคอยหนุนนำและเสริมพลัง อาจจะปะทุออกมาอย่างมากมายมหาศาลจนน่าหวาดกลัวเป็นแน่

ไม่เพียงแต่อาหมานเท่านั้น ขนาดหลงเฉินเองที่เก่งกาจและเชี่ยวชาญทางด้านนี้เป็นอย่างมากยังต้องพบเจอกับอุปสรรคนานาประการ เห็นกันอยู่ว่ามีภูเขาทองคำตั้งอยู่ตรงหน้า แต่กลับมีชีวิตอย่างยากลำบากมาโดยตลอด

ใช่แล้ว

ทันใดนั้นเองหลงเฉินก็เกิดประกายวับในแววตาขึ้นมา เขาใช้มือหนึ่งทาบเข้าไปที่หน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจของอาหมาน “ข้าจะช่วยเจ้าในการระบุตำแหน่งของจุดตันเถียนเอง”

การไหลเวียนของพลังแห่งจิตวิญญาณก็เริ่มไหลเข้าไปยังจุดตันเถียนของอาหมาน เป็นเพราะความเชื่อมั่นของอาหมานที่มีต่อหลงเฉินจึงทำให้เขาคลายความกังวลใจไปได้ทั้งหมด หลงเฉินนั้นสามารถที่จะส่งผ่านพลังเข้าไปได้อย่างง่ายดาย รอคอยจนเมื่อพลังแห่งจิตวิญญาณได้เข้าไปภายในจุดตันเถียนของอาหมาน

แต่อีกหนึ่งอุปสรรคในตอนนี้ก็คืออาหมานไม่ทราบว่าสมควรจะยับยั้งการไหลเวียนพลังให้เหมาะสมอย่างไร แต่ทว่าอย่างน้อยก็สามารถค้นหาตำแหน่งของจุดตันเถียนของตัวเองได้แล้ว

“ครั้งนี้ก็หาจุดตันเถียนเจอแล้ว ต่อไปก็มาเข้าสู่สำนึกของจุดตันเถียนกัน”

“อะไรคือสำนึกของจุดตันเถียน?”

“นั้นก็คือการใช้ความคิดของเจ้าในการไหลเวียนจุดตันเถียนของเจ้าเอง”

“อันใดคือการใช้ความคิดกัน?”

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง คำถามทั้งสองของอาหมานนั้นช่างทำให้หลงเฉินแทบจะลมจับแล้วล้มตึงไปในทันที แต่ก็ยังคงอดกลั้นเอาไว้แล้วกล่าวออกมาว่า “นำพาสภาวะแห่งความคิดทั้งหมดสู่การจดจ่อไปรวมกันอยู่ที่จุดตันเถียน”

“ออ แล้วหลังจากนั้น?”

“ลองทำให้มันหมุนไปมาดู”

“ให้หมุนตามเข็ม? หรือว่าหมุนทวนเข็ม?”

“……”

หลงเฉินแทบจะกล่าวอันใดไม่ออก “จะหมุนไปทางใดก็ได้ ขอเพียงแค่ทำให้มันหมุนก็พอแล้ว”

เมื่อหาตำแหน่งของจุดตันเถียนพบแล้ว แต่อาหมานก็ยังคงไม่อาจจะหมุนเวียนจุดตันเถียนได้อยากใจนึกคิดคล้ายกับว่ามันไม่ใช่ของเขาอย่างไรอย่างนั้น มันหยุดนิ่งไร้ซึ่งการขยับเขยื้อน

“ไม่ไหว เจ้ายังมีความจดจ่อไม่มากพอ หลับตาของเจ้าลงเสีย แล้วลองใหม่อีกครั้ง”

หลงเฉินกล่าวออกมาเมื่อไม่อาจที่จะทนดูต่อไปได้อีก หลังจากนั้นไม่นานนักจุดตันเถียนของอาหมาน ก็เริ่มเกิดการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ถึงไม่อาจจะเรียกว่าการควบคุมจุดตันเถียน แต่ก็ยังดีที่หาพบด้วยตัวเองจนได้ อาหมานตั้งใจควบคุมเส้นทางการไหลเวียนที่จุดตันเถียนจนสำเร็จ ทำให้หลงเฉินผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก

“ดี ลองอีกครั้ง ข้าจะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณช่วยดึงสภาวะของลมปราณที่จุดตันเถียน เจ้าต้องจดจำถึงเส้นทางเหล่านั้นเอาไว้ให้ดี”

เมื่อกล่าวจบแล้วหลงเฉินก็เริ่มหมุนเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณของเขา จุดตันเถียนของอาหมานได้รับการชักนำจากพลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉินจนเกิดพลังปะทุขึ้นมาขุมหนึ่ง

เดิมทีจุดตันเถียนของอาหมานนั้นเป็นดั่งสายธารที่แน่นิ่ง แต่เพียงพริบตาเดียวก็ได้กลายเป็นคลื่นมหาสมุทรที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง

“อาหมาน เจ้าควบคุมจุดตันเถียนได้แล้ว?” หลงเฉินเกิดความยินดียิ่งนัก

“ไม่ใช่ ข้าเองก็ยังไม่ทราบว่าเกิดอันใดขึ้นเหมือนกัน?” ลมปราณภายในร่างของอาหมานเกิดการปะทุขึ้นมาด้วยพลังอันมหาศาลจนทำให้เขาตกใจจนแน่นิ่งไปเลย

“ไม่ต้องกลัว เพียงแค่จดจำเส้นทางการไหลเวียนนี้เอาไว้ก็เพียงพอแล้ว”

หลงเฉินเหนื่อยล้าเต็มทีจนคร้านที่จะอธิบายรายละเอียดของแต่ละจุด อย่างไรเสียอาหมานก็คงไม่อาจจดจำได้อยู่ดี คงทำได้เพียงให้เขาใช้ความรู้สึกในการจดจำ

พลังแห่งจิตวิญญาณได้ชักนำจุดตันเถียนของอาหมานจนไหลเวียนพลังเข้าไปยังมือและไหล่ได้ ในการคาดการณ์ของหลงเฉินคิดเอาไว้ว่าคงจะสามารถเดินได้เพียงทีละน้อย เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนเริ่มเคยชินและชัดเจนขึ้นไปอย่างช้าๆ

แต่ก็ไม่ทรบว่าด้วยเหตุใดพลังจากจุดตันเถียนของอาหมานจึงได้เข้าไปสถิตอยู่ที่มือและไหล่ของอาหมานประดุจมีฝูงม้าหลุดจากคอกอย่างไรอย่างนั้น หลงเฉินเองก็ไม่อาจที่จะควบคุมขุมพลังที่ทะลักออกมาอย่างมหาศาลนี้เอาไว้ได้

อาหมานเองก็สัมผัสได้ถึงขุมพลังอันหนาแน่นบริเวณฝ่ามือและหัวไหล่ของเขา จึงลองฟาดฝ่ามือออกไปยังทิศทางหนึ่ง

“ตูม”

คลื่นพลังหมัดอันทรงอานุภาพได้เหวี่ยงรอบบรรยากาศจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่วทั้งสี่ทิศ รอบห้องเกิดรอยแตกร้าวเป็นระแหงเผยให้เห็นแสงแห่งจันทราสาดความเจิดจ้าเข้ามาที่เพดานด้านบน

“ช่างเป็นการปะทุที่รุนแรงเสียจริง”

หลงเฉินไม่คาดคิดว่าพลังจะมหาศาลถึงเพียงนี้มาก่อน แค่แรงลมจากคมหมัดก็สามารถทำให้เกิดความน่าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ หากว่าต้องหมัดเข้าไปอย่างเต็มแรง ไม่อยากจะคิดเลยว่าร่างเนื้อจะตกอยู่ในสภาพเช่นไรกัน?

ใบหน้าของอาหมานในตอนนี้กลับตกตะตึงเสียยิ่งกว่า เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะมีพลัง และยังสามารถใช้ออกมาได้อย่างมหาศาลถึงเพียงนี้

หลงเฉินทำการตรวจสอบจุดตันเถียนของอาหมานอีกครั้งก็พบว่าลมปราณภายในจุดตันเถียนนั้นยังมีการไหลเวียนอยู่เล็กน้อย

“อาหมาน เจ้ากลับไปพักก่อนเถิด และจงจดจำสิ่งที่ข้าได้สอนเจ้าไปให้ดี ไม่ว่าจะเหนื่อยยากเพียงใดก็จงตั้งใจฝึกฝน อย่าได้แอบเกียจคร้านเชียวล่ะ” หลงเฉินกำชับด้วยน้ำเสียงจริงจัง

อาหมานนั้นทั้งโง่เขลาและไร้ซึ่งปัญญาที่จะเข้าใจสิ่งใดโดยง่าย หากยังเกียจคร้านอยู่อีก ต่อให้เทพบนสรวงสวรรค์ลงมาสอนเองก็คงไม่ช่วยอันใด

“พี่หลงวางใจได้เลย ข้าจะตั้งใจฝึกยุทธ์อย่างไม่คิดชีวิตเลย” อาหมานกล่าวออกมา ขณะที่ลุกขึ้นยืนกระโดดไปมาอย่างลิงโลดพลางพยักหน้าไปมาอย่างไม่คิดชีวิต

หลังจากอาหมานได้เดินจากไปแล้ว หลงเฉินก็ได้แต่มองไปรอบห้องด้วยอาการตกตะลึงพลันก็เกิดภวังค์แห่งความคิดอันว้าวุ่นว่าแท้จริงแล้วภายในร่างของอาหมานนั้นมีความลับอันใดซ่อนอยู่กันแน่?

หมัดที่เหวี่ยงออกไปช่างมีพลังทำลายล้างสูงยิ่งนัก หากยอดฝีมือขอบเขตพลังก่อโลหิตอย่างชายหนุ่มคิ้วเลขแปดนั้นได้ต้องหมัดของอาหมานเข้าไป ร่างกายคงจะต้องแหลกสลายเป็นผุยผงอย่างไม่ต้องสงสัย

ในตอนนี้ร่างกายของอาหมานเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อขนาดใหญ่โตในทุกส่วน เนื้อเยื่อมากกว่าเก้าส่วนก็ยังคงอยู่ในสภาวะหลับใหล ถ้าถูกกระตุ้นขึ้นมาได้ทั้งหมดอาจจะก่อเกิดพลังอันน่าสะพรึงกลัวจนไม่อยากจะคาดคิดเอาไว้เลย

เมื่อหวนนึกถึงใบหน้าที่แสนโง่งมของอาหมานแล้วหลงเฉินก็อดส่ายหัวไปมาไม่ได้ แต่เมื่อคิดกลับกันหากพลังของอาหมานนั้นแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น อาจจะทำให้เขาหายห่วงไปได้ส่วนหนึ่ง

หลงเฉินชักกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา ภายในนั้นมีร่องรอยการจดบันทึกรายชื่อของสมุนไพรเอาไว้กว่าหลายสิบชนิด หากมองเข้าอย่างละเอียดจะพบว่าทีอยู่ทั้งหมดถึงสี่สิบแปดชนิดด้วยกัน

“โอสถสลายดาราถือเป็นโอสถระดับที่สอง ข้าในตอนนี้ยังไม่อาจหลอมโอสถระดับที่สองซึ่งต้องใช้วัตถุระดับสูงได้ เรื่องนี้จึงอาจจะสามารถไปขอความช่วยเหลือจากปรมาจารย์หวินฉีได้ แต่ทว่าที่ยากกว่านั้นก็คือข้ายังต้องเก็บเกี่ยวสมุนไพรทั้งหมดนี้ให้ครบเสียก่อน”

ภาพจำในห้วงความคิดของหลงเฉินมีเพียงโอสถสลายดารานี้เท่านั้นที่จะช่วยปลดผนึกของลมปราณประหลาดที่อยู่ภายในร่างกายของฉู่เหยาได้ แต่ว่าก่อนที่จะไปถึงวิธีการหลอมโอสถนั้น เขาจำเป็นที่จะต้องค้นหาสมุนไพรระดับสูงที่ถูกจดบันทึกเอาไว้ให้ครบเสียก่อน

ขณะนี้เพลิงปราณของหลงเฉินนั้นอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่จนเกินไป อีกทั้งยังไม่อาจที่จะคงสภาวะของร่างกายเอาไว้ได้

ในตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น หลงเฉินก็ได้ออกจากจวน มุ่งหน้าไปยังห้องเก็บสมุนไพรของชุมนุมผู้หลอมโอสถ เขายื่นใบสั่งสมุนไพรให้แก่เด็กจัดโอสถ

จากที่หลงเฉินได้คาดการณ์ไว้เกี่ยวกับสมุนไพรนั้นไม่มีผิดพลาดเลย เขาได้รับมาจนเกือบจะครบทั้งหมด ขาดก็เพียงแต่หญ้าสลายดาราซึ่งเป็นสมุนไพรตัวหลักเท่านั้น

หญ้าสลายดาราเป็นสมุนไพรที่มีความลี้ลับชนิดหนึ่ง หากได้ยากตามท้องตลาดทั่วไป ความพิเศษของมันคือเป็นวัตถุดิบหลักในการหลอมโอสถระดับสองอยู่หลายตัว อีกทั้งโดยส่วนมากแล้วโอสถระดับสองต่างก็ยากที่จะพบได้ทั่วไป หญ้าสลายดารานี้จึงสำคัญเป็นอย่างมาก

หลงเฉินพยักหน้าไปมาพลางครุ่นคิดว่าขาดไปเพียงแค่อย่างเดียวก็ถือว่าเข้าใกล้ความสำเร็จมากแล้ว หลังจากที่ทำการตรวจสอบสมุนไพรทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็หันหลังกลับไปที่ประตูทางเข้า

ขณะที่เขากำลังเดินออกจากชุมนุมผู้หลอมโอสถ ทันใดนั้นก็ได้พบกับเงาร่างของคนผู้หนึ่ง พลันมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ขึ้นมา  . . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset