เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 35 หมอกควันที่เริ่มหนาตัว

“ไทเฮาเสด็จแล้ว”

เสียงป่าวประกาศลากยาวเสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะที่รถลากลายหงส์มีการปรากฏตัวของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง นางก้าวลงจากรถลากด้วยท่าทีที่สง่างาม ตามติดมาด้วยหญิงสาวผู้เลอโฉมอีกแปดนางกำลังประคองอาภรณ์ที่หรูหราอย่างระมัดระวังเพื่อลงจากรถลากเช่นเดียวกัน

เมื่อหญิงวัยกลางคนผู้นั้นเดินลงมาจากบนรถลาก ฉลองพระบาทสัมผัสกับพรมที่ปูเป็นเส้นทางเดิน เหล่าชายหญิงทั่วทั้งเขตการประลองต่างก็คุกเข่าลงพร้อมกับกล่าวคำสรรเสริญกึกก้องราวกับกำลังขับขานบทเพลงหนึ่งออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ถวายบังคมไทเฮา”

หากไม่รวมหลงเฉินที่ไม่ได้คุกเข่าลงคำนับ ตามกฎเกณฑ์ของจักรวรรดิเฟิงหมิงแล้วก็จะมีเพียงเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่มีขอบเขตพลังขั้นก่อโลหิตขึ้นไปแล้วเท่านั้นที่ไม่จำเป็นจะต้องคุกเข่าลงเมื่อพบกับเหล่าองค์ชายและองค์หญิง

แต่หากพบไทเฮาจะต้องคุกเข่าลงเพื่อถวายความเคารพ ไม่ว่าจะมีระดับยุทธ์ที่สูงส่งมากเพียงใดก็ตาม ขอเพียงยังเป็นประชาชนของจักรวรรดิก็จะต้องกระทำด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

หลงเฉินมีสถานะเป็นผู้หลอมโอสถสามารถคำนับหรือไม่ก็ได้ แน่นอนว่าเขาเลือกที่จะไม่ทำ ผู้คนที่อยู่รายล้อมต่างโค้งคำนับลงกับพื้น มีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่ จึงเป็นจุดสังเกตที่เห็นได้ชัดเจนอย่างที่สุด

“ไม่ต้องมากพิธีไป” ไทเฮาผู้นั้นกวาดสายตามองไปโดยรอบเพียงครั้งเดียว ใบหน้าของนางไม่แสดงอารมณ์ใดใดขณะที่ยกมือขึ้นมาโบกไปมา

เหล่าผู้คนที่โค้งคำนับอยู่ต่างก็ผุดตัวลุกขึ้นมา หลงเฉินมองไปยังหญิงวัยกลางคนผู้ที่กุมอำนาจของจักรวรรดิทั้งหมดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

ใบหน้าของนางผู้นั้นราวกับมีอายุเพียงสามสิบเจ็ดสามสิบแปดปี แต่ทว่าความเป็นจริงนั้นนางมีพระชนมายุถึงห้าสิบพรรษาแล้ว ถึงแม้นางจะไม่ใช่มารดาบังเกิดเกล้าขององค์จักรพรรดิคนปัจจุบัน แต่ก็ยังถือว่าเป็นมารดาของเหล่าองค์ชาย

โดยปกติแล้วมารดาขององค์ชายจะใช้นามเรียกแทนว่าองค์ราชินี (ฮวงโฮว皇后) แต่ว่าองค์จักรพรรดิได้เก็บตัวเงียบอยู่นานหลายปี นานจนเหล่าองค์ชายเริ่มเข้าสู่วัยที่เหมาะสม

การยืดเยื้อเรื่องราวให้เป็นเช่นนั้นต่อไปย่อมไม่อาจแก้ไขปัญหาได้ จึงมีการประชุมครั้งใหญ่ของพระราชวังหลวงและได้รับคำตัดสินร่วมกันว่าในปีหน้าจะให้หนึ่งในเหล่าองค์ชายขึ้นครองราชย์ ด้วยเหตุนี้องค์ราชินีจึงได้ถูกเรียกว่าไทเฮาเพื่อลดทอนความรู้สึกแปลกประหลาดของชั้นวรรณะ

ไทเฮารับสั่งให้ผู้คนที่เข้ารวมเทศกาลโคมไฟอยู่ในท่าทางที่สบาย จากนั้นนางก็ค่อยๆ นั่งลงไปยังเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ในปะรำพิธี

หลังจากนั้นองค์ชายทั้งเจ็ดก็เริ่มทยอยกันออกมาด้วยเช่นกัน พวกเขาจัดแบ่งที่นั่งที่อยู่ด้านข้างของไทเฮา นี่เป็นครั้งแรกที่หลงเฉินเห็นองค์ชายทั้งเจ็ดอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

หลงเฉินกวาดสายตามองไปยังใบหน้าของเหล่าองค์ชายที่กำลังนั่งประจำเก้าอี้แต่ละตัวแล้ว ไม่มีใบหน้าใดคุ้นเคยนอกจากองค์ชายเจ็ด ชายหนุ่มผู้นั้นมีท่าทีสงบเสงี่ยมขึ้นมากกว่าที่เคยเห็นในช่วงก่อน แต่ทว่าสายตาคู่นั้นกลับกำลังวอกแวกและสับสนวุ่นวายอยู่ไม่น้อยเลย

หลงเฉินกวาดสายตาอีกครั้งเพื่อหาชายหนุ่มที่ต้องการจะพบเจอ——องค์ชายสี่ เขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็ทราบได้ว่าชายหนุ่มคนใดคือองค์ชายสี่ บนใบหน้านั้นปกคลุมไปด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น ให้ความรู้สึกที่เป็นมิตรอย่างยิ่ง

การปรากฏตัวของเหล่าองค์ชายเป็นที่สะดุดตาของหญิงสาวภายในงานอยู่ไม่น้อย แววตาเหล่านั้นของพวกหล่อนได้ทอประกายเจิดจ้าเมื่อเห็นความหล่อเหลาและความองอาจของเหล่าองค์ชาย คล้ายกับถูกสะกดเอาไว้

ส่วนองค์ชายคนอื่นๆ นั้นกลับทำให้หลงเฉินเอาแต่ส่ายหน้าไปมา แม้รูปร่างจะสง่างามและองอาจเพียงใด แต่ภายในดวงตากลับแฝงเอาไว้ด้วยความขลาดเขลาอยู่อย่างเต็มเปี่ยม สามารถมองออกได้อย่างชัดเจน เหล่าองค์ชายที่เหลือนั้นไร้ซึ่งความน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

จู่จู่ก็เกิดภวังค์แห่งความคิดเกี่ยวกับวาจาของฉู่เหยาเมื่อนานมาแล้ว ท่ามกลางเหล่าองค์ชายนี้จะมีผู้ใดบ้างที่ไม่ได้สวมหน้ากากใส่กัน หรือพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ก็ปิดบังใบหน้าที่แท้จริงด้วยหน้ากากจอมปลอมด้วยกันเสียทั้งหมด แล้วหน้ากากเหล่านั้นสวมเอาไว้กี่ชั้นกันแน่?

พลันมุมปากของหลงเฉินก็ได้ปรากฏรอยยิ้มที่แสนจะเย้ยหยันขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นภายในพระราชวังหลวงไม่ได้น่าพิสมัยอย่างที่ผู้อื่นคิดเห็นกัน มีเพียงแต่การแก่งแย่งชิงดียิ่งกว่าศึกที่เกิดขึ้นที่แม่น้ำเจียงฮู (ในเรื่องสามก๊ก) ชีวิตในวังหลวงนั้นช่างน่าเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าถูกประกายดาบกระบี่กรีดแทงเข้ามา

การสังหารผู้คนโดยไม่ให้เห็นโลหิต การละเล่นเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ เหอะ หลงเฉินพ่นลมออกมาจากจมูกอย่างเหลือทน หรือที่ไม่ยอมเพิ่มระดับพลังยุทธ์ของตัวเองกันนั้นก็เพราะมีเหตุและผลในการชิงอำนาจอยู่

“ปรมาจารย์หวินฉีมาถึงแล้ว”

ปรมาจารย์หวินฉีที่ดูชราภาพกว่าครั้งก่อนที่พบเจอกันกลับปรากฏตัวอยู่บนแท่นพิธี ทั้งหลงเฉินและผู้คนทั่วทั้งเขตการประลองต่างก็ตื่นตกใจในการปรากฏของเขาในครั้งนี้

นับตั้งแต่ที่เทศกาลโคมไฟเฟิงหมิงถูกจัดขึ้นมานานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ปรมาจารย์หวินฉีปรากฏตัวขึ้นที่สถานที่แห่งนี้ จึงไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนส่วนใหญ่จะส่งเสียงฮือฮากันอย่างวุ่นวาย

เมื่อปรมาจารย์หวินฉีขึ้นไปถึงปะรำพิธี ไทเฮาก็รีบให้ผู้รับใช้ตระเตรียมที่นั่งในระดับเดียวกับนางให้แก่ปรมาจารย์หวินฉี อีกทั้งยังกล่าววาจาออกมาด้วยท่าทางที่นอบน้อม

“น้อมพบท่านปรมาจารย์”

“ไทเฮาให้เกียรติผู้ชราอย่างข้ามากเกินไปแล้ว” ปรมาจารย์หวินฉีโน้มตัวลงเล็กน้อยแล้วตอบกลับไป

หลังจากที่ไทเฮาและปรมาจารย์หวินฉีกล่าวทักทายกันเรียบร้อยแล้วต่างก็ย่อตัวลงนั่งที่เก้าอี้ในปะรำพิธี ปรมาจารย์หวินฉีได้นั่งในตำแหน่งที่เฉียงไปด้านข้างของไทเฮา แต่ว่าเก้าอี้ของเขานั้นกลับอยู่สูงกว่าขั้นหนึ่ง บ่งบอกได้ถึงสถานะของปรมาจารย์หวินฉีที่สูงส่งกว่าไทเฮา

ปรมาจารย์หวินฉีกวาดสายตามองไปทั้งกลุ่มผู้คนที่เข้าร่วมเทศกาล ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ประสานเข้ากับสายตาของหลงเฉินที่นั่งหลบอยู่ที่หัวมุมหนึ่งของเขตการประลองพอดี เขาพยักหน้าให้หลงเฉินเล็กน้อย

การปรากฏตัวของปรมาจารย์หวินฉีกลายเป็นที่ดึงดูดสายตาทุกคู่อย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อผู้คนได้มองตามสายตาที่ปรมาจารย์มองไป แล้วพบว่ากำลังจ้องมองเงาร่างของหลงเฉินอยู่นั้นก็ยิ่งทำให้เกิดความประหลาดใจขึ้นมาอย่างมากทีเดียว

“ดูเหมือนว่าคำเล่าลือคงจะเป็นจริงเสียแล้ว หลงเฉินได้รับสายตาที่เอ็นดูจากปรมาจารย์หวินฉี เขาคงจะเป็นศิษย์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

ผู้คนมากมายต่างก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนหน้านี้หลงเฉินนั้นเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ผู้หนึ่งเท่านั้น แต่บัดนี้กลับได้รับการยอมรับจากปรมาจารย์หวินฉี และได้เป็นถึงลูกศิษย์ในความดูแลของเขา

เมื่อหลงเฉินพบว่าปรมาจารย์หวินฉีสอดส่องสายตาและพยักหน้าให้กับเขา หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะร่ำร้องอยู่ในใจว่าให้ตายเถิด เหตุใดทุกคนต่างก็มองมาที่เขาเป็นสายตาเดียวอย่างนั้นด้วย

เขาไม่ต้องการที่จะตกเป็นเป้าสายตาของผู้ใดเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าตนนั้นจะถูกยกย่องให้เป็นชายหนุ่มฝีปากกล้าและหน้าทน แต่ก็ต้องช่างมันเถิด จะแสดงท่าทีที่ดีกว่านี้ก็คงจะไม่ทันเสียแล้ว

เมื่อไม่อาจจะทำเช่นใดได้ หลงเฉินก็ได้แต่เพียงโค้งคำนับลงอย่างนอบน้อมตอบกลับไป ไทเฮาที่นั่งอยู่ทางด้านข้างก็อดส่งยิ้มมาทางปรมาจารย์หวินฉีไม่ได้ “ดูเหมือนว่าความอัดอั้นในหลายปีมานี้ของท่านกำลังถูกปลดปล่อยออกมาในที่สุด นี่คงไม่ได้คิดจะถ่ายทอดจนหมดสิ้นทุกอย่างเสียกระมัง?”

ซุ่มเสียงที่ไทเฮาได้กล่าวออกมานั้นทำให้ผู้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเงียบเสียงลงทันที สถานะของปรมาจารย์หวินฉีนั้นถือได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิ การที่เขารับลูกศิษย์คนแรกและคนเดียวในชีวิตนั้นย่อมเป็นเรื่องที่น่าประหลาดอย่างถึงที่สุด

“เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นคนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ข้าเองก็หวังเอาไว้ว่าเขาจะมาเป็นศิษย์ของข้าเช่นเดียวกัน” ปรมาจารย์หวินฉีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย

วาจาที่เอ่ยออกมาอย่างซื่อตรงของเขาทำให้ผู้คนที่ได้ยินต่างเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมา ทุกคนต่างทราบกันเป็นอย่างดีว่าปรมาจารย์หวินฉีนั้นอยู่ในสถานะที่สูงส่งมากกว่าผู้ใด แต่เขากลับยกยอหลงเฉินถึงเพียงนี้ จึงเป็นเรื่องที่ยากจะพบได้บ่อยนัก

เสียงเซ็งแซ่จากกลุ่มผู้คนเริ่มกึกก้องไปทั่วบริเวณ พวกเขาต่างคิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์หวินฉีจะให้ความสำคัญกับหลงเฉินถึงเพียงนี้ แท้จริงแล้วหลงเฉินผู้นั้นควรค่าแก่การให้ความสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ภวังค์แห่งความคิดอันว้าวุ่นและสับสนต่างก็บังเกิดขึ้นในโสตประสาทของผู้คนมากมายอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้

“ข้าคาดเดาว่าหลงเฉินจะต้องกลายเป็นผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ในการหลอมโอสถในภายภาคหน้าเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจต้องสายตาอันแหลมคมของท่านปรมาจารย์ได้ หากเป็นเพียงศิษย์หลอมโอสถธรรมดาคงจะยากยิ่งที่จะได้รับวาจาชมเชยเช่นนี้จากท่าน” องค์ชายสี่กล่าวขึ้นอย่างชื่นชม

ปรมาจารย์หวินฉีหันไปมองที่องค์ชายสี่แล้วยิ้มตอบ “พรสวรรค์ในการหลอมโอสถนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มผู้นั้นดึงดูดสายตาของข้าเอาไว้ก็คือจิตใจอันแน่วแน่และสภาวะของผู้นำ องค์ชายสี่เองก็มีส่วนนี้อยู่แล้วย่อมต้องเข้าใจดีว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนนับถือ”

องค์ชายสี่ฉีกยิ้มกว้างออกมา “ท่านปรมาจารย์ชมเชยข้าเกินไปแล้ว”

เมื่อการสนทนาจบลง องค์ชายสี่ก็ไม่ได้กล่าววาจาอันใดขึ้นมาอีก หลงเฉินที่กำลังจ้องมองอยู่นั้นก็ได้สัมผัสถึงความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่ปรากฏบนใบหน้าขององค์ชายสี่ ความรู้สึกที่ต่างไปจากความอบอุ่นที่มีอยู่ก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง

“หรือว่าปรมาจารย์หวินฉีจะกล่าววาจาจี้ใจดำขึ้นมา?” หลงเฉินใคร่รู้ขึ้นมาในทันที

“บัดนี้ ปรมาจารย์เว่ยชาง องค์ชายฉางเฟิง และองค์หญิงปายฉือ เสด็จมาถึงแล้ว”

เมื่อสิ้นเสียงลากยาวเสียงหนึ่งก็ได้ปรากฏร่างเงาของเซี่ยฉางเฟิงและเซี่ยปายฉือขึ้น พวกเขากำลังเดินตามหลังชายหนุ่มร่างผอมผู้หนึ่งที่มีอายุราวสี่สิบกว่าปีที่สวมชุดคลุมหนังแกะภูเขาตัวยาวอันเป็นอาภรณ์ประจำของผู้หลอมโอสถ

ที่ตำแหน่งของอกเสื้อข้างหนึ่งมีการสลักรูปเตาโอสถที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน บนเตาโอสถนั้นมีลวดลายขีดข่วนของเส้นสามสาย อันเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าชายผู้นั้นเป็นผู้หลอมโอสถที่อยู่ในขั้นปรมาจารย์ผู้หนึ่งเช่นเดียวกัน

หลงเฉินเองก็มีชุดคลุมยาวเช่นนี้เหมือนกัน แต่ทว่าเส้นใยที่ใช้ถักทอขึ้นมานั้นดูด้อยราคากว่ามาก และบนเตาโอสถของเขานั้นมีลวดลายขีดข่วนของเส้นเพียงสายเดียวเท่านั้น

หนึ่งสายนั้นหมายถึงศิษย์หลอมโอสถ สองสายนั้นหมายถึงผู้หลอมโอสถ ส่วนสามสายนั้นหมายถึงขั้นอาจารย์ของผู้หลอมโอสถ หลงเฉินเอาแต่อ้าปากตาค้างกับการปรากฏกายของชายผู้นั้น แท้จริงแล้วเขาเป็นผู้ใดกันแน่? เหตุใดจึงมาปรากฏตัวในที่แห่งนี้ได้?

“หวินฉี ไม่พบกันนานหลายปีทีเดียว เจ้าดูแก่ตัวลงไปเยอะเลยนะ” เว่ยชางชายตามองไปที่หวินฉี แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

การทักทายกันของทั้งสองปรมาจารย์แห่งชุมนุมผู้หลอมโอสถทำให้ทั่วทั้งเขตลานประลองเงียบสงัดลงดั่งสุสานยามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้น ปรมาจารย์หวินฉีถือเป็นบุคคลที่ได้รับการเคารพยกย่องอย่างสูงสุดในจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิง ไม่เคยมีผู้ใดหาญกล้าที่จะกล่าววาจาอย่างไร้มารยาทกับเขาเช่นนั้นมาก่อน

“เว่ยชาง เจ้าไม่ได้อยู่ที่จักรวรรดิต้าเซี่ยอย่างสุขสบายอย่างนั้นหรือ คิดที่จะกลับคืนสู่มาตุภูมิแห่งนี้เพื่อเสาะหาหนทางในการตายตาหลับหรืออย่างไรกัน?” ปรมาจารย์หวินฉีกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดียวกัน

“ต่อให้กลับมาตายที่มาตุภูมิ ยังไม่อาจจะสู้กับผู้ที่ภรรยาตายไปได้หรอก หลายปีที่ผ่านไปกลับมีภรรยาอีกมากมายกายกอง มีชีวิตอยู่อย่างสุขี”

เว่ยชางหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจในวาจาที่แอบแฝงไปด้วยคมนัยมากมาย ข้างกายของเขานั้นมีเซี่ยปายฉือกำลังยืนพยุงที่แขนข้างหนึ่งของเขาเอาไว้อยู่ แนบชิดจนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการถูกเนื้อต้องตัวกัน

สีหน้าของหลงเฉินทอประกายความไม่สบอารมณ์ออกมาอย่างมหาศาล วันนี้อาภรณ์ที่เซี่ยปายฉือสวมใส่อยู่นั้นช่างคล้ายกับอาภรณ์ของหญิงสาวในภาพวาดที่ปรมาจารย์หวินฉีเคยให้เขาดูเมื่อก่อนหน้านี้

เพียงหลงเฉินได้เห็นการปรากฏตัวของชายร่างผอมที่สวมอาภรณ์ยาวนั้นก็สัมผัสได้ทันทีว่าเขานั้นมีความไม่ลงรอยกันกับปรมาจารย์หวินฉีถึงแปดเก้าส่วนเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของภรรยาของปรมาจารย์หวินฉีอย่างแน่นอน

วันนี้ชายผู้นั้นได้มุ่งเป้าไปที่ปรมาจารย์หวินฉีโดยเฉพาะโดยใช้เซี่ยปายฉือเป็นตัวกระตุ้น หลงเฉินที่เข้าใจได้ถึงตอนนี้ก็เริ่มปะทุเพลิงพิโรธขึ้นมาในใจอย่างไม่อาจทราบสาเหตุได้

ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะติดตามปรมาจารย์หวินฉีมาได้ไม่นาน แต่ก็พอจะมองออกว่าขณะนี้ปรมาจารย์หวินฉีกำลังเก็บอาการให้นิ่งสงบเอาไว้ ให้ยังคงสถานะของบุคคลที่น่านับถือของผู้คนทั้งหลาย หลังจากที่ถูกเล่นด้วยวาจาอันหยาบคายเช่นนั้นเขาก็ได้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอีกเช่นเคย

“ก็แค่เฒ่าชราที่ไร้เรี่ยวแรง ร่างกายเหมือนขาดสารอาหารเสียจนไม่เห็นกล้ามเนื้อ ในสมองของเจ้าคงจะคิดถึงแต่เรื่องต่ำทรามเช่นนั้นตลอดเลยสินะ หากตายไปก็คงจะตายคาเรือนร่างของหญิงสาวอย่างนั้นกระมัง”

ความเงียบสงัดที่ราวกับอยู่ในสุสานป่าช้าได้ทำให้เสียงของหลงเฉินยิ่งกึกก้องไปทั่วทั้งเขตลานประลอง ผู้คนมากมายต่างมีสีหน้าแตกตื่นแล้วหันไปมองทางต้นเสียงนั้นเป็นสายตาเดียวกัน

“บังอาจนักนะเจ้าสามัญชน กล้าดีอย่างไรมาเสียมารยาทต่อปรมาจารย์” เซี่ยปายฉือจ้องมองไปที่หลงเฉินด้วยแววตาเสมือนมีเพลิงแค้นปะทุขึ้นมา

“สนใจด้วยอย่างนั้นหรือ ต่อให้เจ้าเอาหน้าอกมาทับถมข้าจนขาดใจตาย ข้าก็ไม่สนใจหรอก ใยจะต้องกลัวการเสียมารยาทกับเฒ่าตัณหากลับผู้นี้ด้วย?” หลงเฉินตอบกลับไปอย่างไม่แยแส

เมื่อผู้คนภายในงานได้ยินหลงเฉินกล่าววาจาประดุจกำลังชี้แนะอยู่นั้น สายตาทั้งหมดก็ได้หันกลับไปมองที่เซี่ยปายฉือ แล้วก็มองต่ำลงมายังหน้าอกใหญ่ที่กำลังดันมือข้างหนึ่งของเว่ยชางอยู่ จนพวกเขาบังเกิดความเข้าใจถึงความนัยนั้นอย่างกระจ่างแจ้ง

เซี่ยปายฉือรีบปล่อยแขนแขนจากเว่ยชาง  แล้วจ้องเขม็งไปที่หลงเฉินด้วยความอาฆาตพลางก็ยกนิ้วขึ้นมาชี้ตรงออกไป ตัวสั่นเทานั้นไม่อาจเอ่ยวาจาอันใดออกมาได้

“บุตรขุนนางของจักรวรรดิเฟิงหมิงนั้นไม่ได้รับการอบรบสั่งสอนหรืออย่างไรกัน?” เว่ยชางมองมาที่หลงเฉินอย่างดูแคลน

น้ำเสียงของไทเฮาเอ่ยขึ้นอย่างมีโทสะ แต่กลับถูกปรมาจารย์หวินฉีตัดบทด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หลงเฉินผู้นั้นเป็นศิษย์ของชุมนุมผู้หลอมโอสถ”

“เจ้าได้ยินแล้วหรือไม่ เฒ่าตัณหากลับ ข้าเป็นคนของทางสภา เจ้าจะมีปัญหาอันใดอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินกล่าวออกไปอย่างเย็นชา

“บังอาจกล่าววาจาเช่นนั้นกับปรมาจารย์เว่ยชางที่เป็นผู้หลอมโอสถอันสูงส่งของจักรวรรดิต้าเซี่ยได้อย่างไรกัน” เซี่ยปายฉือระเบิดโทสะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“เดิมทีแล้วไม่ใช่คนของจักรวรรดิของเจ้าไม่ใช่หรือ แม้จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงของข้าจะเป็นดินแดนอันยิ่งใหญ่ แต่คงไม่อาจทนเลี้ยงดูเฒ่าตัณหากลับเช่นนี้ได้หรอก” หลงเฉินพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

คำพูดเช่นนั้นของหลงเฉินต่างก็ทำให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกกระอักอระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก อยากจะหัวเราะก็ต้องพยายามอดกลั้นเอาไว้ ผู้ใดที่ฉลาดหน่อยก็ก้มหน้าลงปิดปากอย่างเงียบๆ

บางกลุ่มแสดงปฏิกิริยาออกมาอย่างยั้งไว้ไม่ทัน เสียง “ครืน” ดังขึ้นมาจนต้องรีบยกมือขึ้นป้องไปที่ปากเอาไว้ คงจะดีเสียกว่าการหัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย

แต่เมื่อมองไปโดยรอบแล้ว ที่ดูจะอึดอัดใจกลับไม่ใช่เพียงผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง แต่เป็นเหล่าองค์ชายที่อยู่ในปะรำพิธีที่ต้องคอยข่มกลั้นอารมณ์ขบขันเอาไว้ ไม่สามารถที่จะระบายออกไปได้อย่างเปิดเผย ทำได้แค่เพียงปั้นสีหน้าให้ราบเรียบเท่านั้น

“แค่กแค่ก วันนี้เป็นวันเทศกาลอันเป็นมงคล ปรมาจารย์เว่ยชางรีบนั่งลงเสียเถิด อีกครู่เดียวก็จะเป็นการเปิดการแสดงแล้ว”

ไทเฮาเองก็ลำบากใจอยู่ไม่น้อย เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นถึงปรมาจารย์ผู้มากความสามารถ นางจึงทำได้แต่เพียงอ้างว่างานจะเริ่มขึ้นแล้ว

“เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงจะต้องรบกวนแล้ว”

เว่ยชางเอ่ยออกมาด้วยวาจาที่แสนจะเกรงใจออกมา เขาหันไปมองที่หวินฉีอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสะบัดหน้าหันกลับพลางก็เดินไปยังเก้าอี้ที่ถูกเตรียมไว้เพื่อเขา เมื่อบั้นท้ายของชายร่างผอมนั้นสัมผัสกับเก้าอี้ ลมหายใจเฮือกหนึ่งก็ถูกสูดเข้าไปพร้อมกับสายตาที่กำลังจ้องมองมาที่หลงเฉินที่ยืนอยู่กลางสนาม

เมื่อสายตาของทั้งคู่ประสานกันเหมือนกับกำลังกดดันให้อีกฝ่ายลงจากหลังม้าอย่างไรอย่างนั้น? หลงเฉินจึงยื่นกำปั้นข้างหนึ่งขึ้นมากระเด้งนิ้วกลางตั้งขึ้นสูงตระหง่าน

การกระทำเช่นนั้นของหลงเฉินอยู่ในสายตาของผู้คนทั่วทั้งเขตลานประลอง ความตื่นตกใจแผ่ซ่านไปทั่วอย่างไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้อยู่แล้ว

ทันใดนั้นสีหน้าของเว่ยชางก็บังเกิดความอาฆาตแค้นขึ้นจนกลายเป็นสีเขียวคล้ำ ดวงตาคู่นั้นสาดรังสีสังหารออกมาอย่างมหาศาล เมื่อไทเฮาเห็นเช่นนั้นจึงรีบขัดขึ้นมาอย่างรีบร้อน

“ข้าขอเปิดเทศกาลโคมไฟเฟิงหมิง ณ บัดนี้”

หลังจากสิ้นเสียงของไทเฮาก็มีเสียงจากเครื่องดนตรีบรรเลงขึ้นมาอย่างไพเราะ บริเวณโดยรอบลานกว้างเริ่มปรากฏแสงสว่างจากโคมไฟขึ้น แสงสว่างนั้นทอประกายเจิดจ้าขึ้นอย่างสวยงาม

ทันใดเดียวกันนั้นเองก็มีโคมดอกไม้ขนาดใหญ่ลอยออกมาเป็นสายบริเวณด้านบนของเวทีประลอง . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset