เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 36 ความในใจขององค์หญิง

​“เทศกาลโคมไฟเริ่มขึ้นได้”

หลังสิ้นเสียงของไทเฮา ก็ได้มีเสียงจากเครื่องดนตรีดังขึ้นมาทันที มีโคมไฟจำนวนมากถูกจุดขึ้นมาในจุดที่จัดเตรียมเอาไว้  ทำให้พื้นที่บริเวณนี้เปลี่ยนเป็นสีขาวราวกับดอกไม้ที่เบ่งบาน

โคมดอกไม้ทั้งแปดได้ถูกเคลื่อนย้ายเข้ามาในงาน โดยมีนางกำนันทั้งแปดถือเอาไว้ และเมื่อได้ยกโคมดอกไม้ทั้งแปดขึ้นมารวมกัน  โคมดอกไม้ก็กลายเป็นดอกบัวขนาดใหญ่ 1 ดอก

ในวินาทีที่ดอกไม้ถูกวางลง ดอกไม้ก็ค่อยๆขยับเคลื่อนไหว ในเวลานั้นเองก็ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงเพราะภายในดอกไม้นั้นจริงๆเเล้วมีหญิงสาวอยู่ภายใน

เมื่อหญิงสาวผู้นั้นได้ปรากฎตัวออกมา ทั่วทั้งสนามก็ได้เกิดเสียงดังอย่างยินดีขึ้นมา คนผู้นั้นแท้จริงแล้วก็คือองค์หญิงใหญ่แห่งจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงนั่นเอง เมื่อหลงเฉินได้เห็นรูปโฉมของนาง นางมีหน้าตาที่ดูงดงามไม่ธรรมดา รูปโฉมโดนรวมถือว่าไม่เลว ซึ่งนับได้ว่าน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากที่องค์หญิงใหญ่ปรากฎตัวออกมาเเล้ว นางก็ได้ยื่นมือออกไปพร้อมกับร่ายเพลงกลอนขึ้น ท่วงทำนองของบทกลอนแรกได้กล่าวถึง:ผู้พิทักษ์สวรรค์เฟิงหมิง ตัวบทกลอนรองหมายถึง:ความเป็นอยู่ที่ร่มเย็นของประชาราช จนทำให้เกิดเสียงชื่นชมดังขึ้นมาจากตลอดทั่วทั้งสถานที่แห่งนี้

หลงเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย การเป็นองค์หญิงแห่งจักรวรรดินั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าเศร้ากว่าที่คนคิด พวกนางก็ไม่ต่างกับกลุ่มผีเสื้อที่มีชีวิตอยู่ภายในขวดแก้วขนาดเล็ก

มีแต่การแก่งแย่งชิงดีกันตลอดเวลา เมื่อลองคิดดูดีๆแล้ว หากว่าได้หลงเข้าไปยังวังวนนั้น ก็จะต้องกลายเป็นผู้แย่งชิงหรือไม่ก็กลายเป็นผู้ที่ถูกเหยียบจนจมดินเป็นแน่

ถ้าหากว่าแค่ถูกเหยียบย่ำก็แล้วไป แต่บางครั้งการเหยียบย่ำก็มักจะเอาให้ถึงตายกันเลยทีเดียว แม้ว่าจะไม่เคยมีความอาฆาตกันมาก่อนก็ตาม เพียงแค่คำว่าอำนาจก็ทำให้คนฆ่ากันได้แล้ว

ขณะที่หลงเฉินที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ องค์หญิงสองก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ถึงแม้ว่าหลงเฉินที่มีฝีมือประดุจเทพเทวะ แต่ก็ไม่ทันมองเห็นตอนองค์หญิง 2 ปรากฎตัว ช่างทำให้หลงเฉินรู้สึกเสียใจ

ลำดับต่อมาโคมดอกไม้ของฉู่เหยาก็มาถึง หลงเฉินก็ได้เบิกตาอันกลมโตขึ้นมา หากว่าคราวนี้พลาดอีกเขาคงจะต้องเสียใจไปตลอด

“ตูม”

ขณะเดียวกันก็มีควันพวยพุ่งขึ้นมา ควันเหล่านั้นลอยขึ้นไปตามแสงจันทร์ จนทำให้เหล่าหญิงสาวร้องออกมาด้วยอาการชื่นชอบ

เมื่อเสียงนั้นดังขึ้นมา วินาทีนั้นก็มีเงาขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นมาบนท้องฟ้า มันก็คือว่าวที่มีลักษณ์เหมือนกับมังกรตัวหนึ่งที่กำลังทะยานอยู่บนท้องฟ้า

ในเวลาเดียวกัน สิ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับมังกรขนาดใหญ่อยู่นั้น ก็คือหงส์สีรุ้งตัวหนึ่ง ปีกที่มีสีสันอันงดงามสยายอยู่ในอากาศ มันหมือนกับหงส์ที่กำลังจุติลงสู่โลก

“ว้าว ช่างสวยงามเสียจริง”

ระหว่างที่ทั่วทั้งผืนฟ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยควัน หนึ่งมังกรหนึ่งหงส์ก็ได้อยู่เคียงคู่กัน ประดุจดั่งหลุดออกมาจากเทพนิยายก็มิปาน จนทำให้ผู้คนทั้งหมดเหมือนได้หลงเข้าไปยังดินแดนประหลาดชนิดหนึ่ง

“ตูม”

มังกรและหงส์ที่กำลังเริงระบำค่อยๆร่อนลงสู่พื้น ประกายแสงสีขาวขนาดใหญ่ก็ได้ถูกพ่นออกมาจากปากของหงส์และมังกร เมื่อประกายแสงสีขาวปะทุออกมา แสงสีต่างๆก็ได้ปรากฎขึ้นตาม

เมื่อแสงสีค่อยๆเลือนลางไป ก็มีหญิงสาวที่สวมชุดโบราณอันงดงามค่อยๆปรากฏตัวออกมาท่ามกลางกลุ่มผู้คนมากมายที่อยู่ด้านหน้า มีขนคิ้วประดุจต้นหลิว แววตาดั่งหงส์ เคลื่อนไหวราวสายน้ำที่หลั่งไหลมาจากหมื่นศิลา ถือได้ว่าเป็นหญิงงามแห่งยุคคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

“แซ๊ด”

เมื่อองค์หญิงสามได้ปรากฏขึ้นมา ตลอดทั่วทั้งสนามก็ได้เกิดเสียงดังทันที มีบุตรขุนนางมากมาย ที่ได้ยินได้ฟังถึงความงดงามขององค์หญิงสามมาก่อนหน้านี้ ซึ่งเรียกได้ว่าล้มรัฐล้มจักรวรรดิได้เลยทีเดียว วันนี้ในที่สุดก็ได้ยลสิริโฉมขององค์หญิงสามแล้ว ในตอนนั้นทุกคนก็ได้ตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้น

หลงเฉินมองไปที่องค์หญิงด้วยอาการตกตะลึง นี่ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่หลงเฉินได้พบเห็นฉู่เหยาแต่งหน้าและเเต่งกายงดงามเช่นนี้

ดวงตาที่งดงามของฉู่เหยาสะกดกลุ่มผู้คนที่อยู่โดยรอบเอาไว้ วินาทีนั้นดวงตาคู่งามก็ได้เปล่งประกายขึ้นมา นางยื่นมือข้างหนึ่งออกไป มีลูกกลมคล้ายลูกหนังเล็กๆลูกหนึ่งค่อยๆลอยออกไปด้านหน้า มันลอยเข้าไปด้านหน้าของหลงเฉิน

ผัวะ!

หลงเฉินยื่นมือออกไปจับลูกหนังกลมๆลูกนั้น หลังจากลองจับดูจึงได้รู้ว่า  ลูกกลมๆนั้นมันมีหางน้อยๆโผล่ออกมา

ทั่วทั้งสนามต่างก็ตกอยู่ในสภาวะเงียบสงัด ผู้คนทั้งหมดต่างก็จ้องมองไปทางหลงเฉิน องค์ไท่เฮาเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าก็มิได้กล่าวอันใดออกมา

แต่หากกล่าวถึงผู้ที่ใบหน้าปั้นยากที่สุดก็คงจะต้องเป็นองค์ชายใหญ่แห่งจักรวรรดิเมืองต้าเซี่ยเซี่ยฉางเฟิง เหมือนกับว่าเขาคิดที่จะทำอะไรบางอย่างออกมา แต่เขาก็ไม่อาจจะกระทำได้ ตอนนี้ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าที่คล้ายๆออกมา

องค์ไท่เฮาได้ตัดสินใจที่จะให้ฉู่เหยาแต่งกับเซี่ยฉางเฟิงแล้ว แต่ว่าการแสดงออกมาของฉู่เหยาในวันนี้ เป็นเหมือนกับจงใจสื่อถึงความหมายมังกรหงส์ที่เคียงคู่กัน และทว่าลูกหนังในมือของนาง กลับส่งมอบไปให้แก่หลงเฉิน

เดิมทีลูกหนังลูกหนึ่งก็ไม่มีความหมายอันใด แต่ว่าเมื่อได้ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าโคมดอกไม้ มันกลับมีความหมายที่ต่างไปจากเดิม เหมือนกับเป็นการส่งมอบเครื่องรางที่เป็นคำเล่าขานในสมัยโบราณให้แก่สามีในอนาคตในงานวันเทศกาลก็มิปาน

เวลานี้เซี่ยฉางเฟิงก็ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะสงบสติอารมณ์เอาไว้ แต่ก็ยังคงไม่อาจที่จะหยุดอาการสั่นเทาของตนเองได้ จึงได้โบกพัดที่อยู่ในมือไปมา

“ฉางเฟิง อดทนไว้ก่อน” เว่ยชางมองไปทางเซี่ยฉางเฟิงแล้วกล่าว

“ท่านปรมาจารย์โปรดวางใจ แค่นี้ข้าทนได้” เซี่ยฉางเฟิงพยักหน้าพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

ในเวลานี้เซี่ยฉางเฟิงก็ได้เกิดความเกลียดชังต่อหลงเฉินจนแทบอยากกินเลือดกินเนื้อ หลงเฉินเองก็สัมผัสถึงแววดวงตาจากผู้คนทั้งหมดได้เป็นอย่างดี

ในบรรดาผู้คนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ มีเพียงแค่ปรมาจารย์หวินฉี ที่มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาอยู่บนใบหน้า และภายในแววตาของคนอื่นๆนั้นกลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง หรือจะกล่าวได้ว่าเกิดความอิจฉาก็คงจะมิผิด

เมื่อหลงเฉินมองไปยังฉู่เหยาที่อยู่กลางลานพิธี ก็ได้พบเห็นรอยยิ้มพร้อมด้วยดวงตาคู่งาม นางจ้องมองมาที่เขาด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง มือนางก็ได้ชี้ออกไปทางหลงเฉินที่กำลังถือลูกหนังกลมๆเอาไว้อยู่

ในเวลานั้นเองหลงเฉินก็ได้เข้าใจ  คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นเครื่องหอมชนิดหนึ่ง มือข้างหนึ่งก็ได้ยื่นเข้าไปจับที่หางของลูกหนังเล็กๆ จากนั้นก็ออกแรงดึงแค่เพียงเล็กน้อย

“ปึก”

มีตัวอักษรปรากฎขึ้นมากลางอากาศ

“มังกรเวียนอยู่สี่คาบสมุทรนับหมื่นลี้ หงส์นี้มุ่งออกจากแดนทั้งเก้า”

เพียงชั่วครู่ตัวอักษรทั้งสองแถวนั้นก็หายไป จากนั้นก็เสียงดังผัวะขึ้นมา ในที่สุดเซี่ยฉางเฟิงก็ควบคุมสติเอาไว้ไม่อยู่ ถึงขั้นบีบแก้วชาในมือของตนเองจนแตก

“หลงเฉิน หากข้าไม่สับเจ้าให้เป็นหมื่นชิ้น ข้าจะไม่ขอชื่อว่าเซี่ยฉางเฟิง แล้วก็ฉู่เหยาคนลวงโลกอย่างเจ้า ข้าจะให้เจ้าตายเสียยิ่งกว่าตาย”

เส้นโลหิตบนใบหน้าของเซี่ยฉางเฟิงก็ได้ปูดขึ้นมา เมื่อเห็นอากัปกิริยาของฉู่เหยามันหนักกว่าถูกตบเข้าไปที่ใบหน้า มันทำให้เขารู้สึกเสียหน้ามาก

องค์ไท่เฮาทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาอย่างถึงขีดสุด นางคิดไม่ถึงว่าฉู่เหยาจะมีความกล้าถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าคนที่เป็นถึงองค์หญิงจะกล้าเปิดเผยท่ามกลางสาธารณะเช่นนี้ นี่เหมือนกับการสารภาพรักต่อชายหนุ่ม

หลงเฉินเองก็ทึ่งเช่นกัน ฉู่เหยาที่ยืนอยู่กลางลานพิธีค่อยๆถอยห่างออกไป  ในเวลานี้ใบหน้าที่แดงก่ำของฉู่เหยาก็ได้ค่อยๆเลือนหายไป ทว่ากลับมีสีหน้าที่แน่วแน่ปรากฎขึ้นมาแทน

เมื่อได้เหม่อมองหลงเฉิน ดวงตาคู่งามก็ได้ค่อยๆหลั่งน้ำตาออกมา  จนทำให้จิตใจของหลงเฉินเกิดความเจ็บปวดขึ้น:นี่นางกำลังคาดหวังอันใดอยู่อย่างงั้นหรือ? นี่มันเหมือนกับคำสั่งเสียก่อนวายชีวี นางต้องการที่จะบอกสิ่งที่อยู่ในใจของตนเองออกมาอย่างงั้นหรือ?

เมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาบนใบหน้าของฉู่เหยา จิตใจของหลงเฉินก็กลายเป็นสภาพที่ขาวโพนขึ้นมาภายในพริบตา ทันใดนั้นอยู่ๆเขาก็หันกายและลุกขึ้นยืน ตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง“เป็นตายย่อมไม่อาจจะหลีกหนี  มังกรหงส์นี้  ย่อมอยู่กันจนแก่เฒ่า”

หลงเฉินเริ่มเกิดโทสะขึ้นมา เหมือนดั่งมีเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทงเข้าไปในจิตใจของคนคนหนึ่ง โทสะที่อยู่ภายในจิตใจของเขาก็ได้เผยออกมาอย่างอดไม่ได้

ร่างกายอันอ้อนแอ้นของฉู่เหยาก็ได้สั่นขึ้นมา มือของนางได้ปิดไปยังใบหน้า มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่งาม  เดิมทีนางได้แต่เพียงหวังว่าในท้ายที่สุดของช่วงชีวิต จะสามารถเปิดเผยสิ่งที่ตนเองต้องการออกมาได้   เป็นเพียงความคาดหวังว่าหลงเฉินจะสามารถที่จะเข้าใจถึงจิตใจของนาง

แต่เมื่อหลงเฉินได้ตอบกลับมาเช่นนี้ ย่อมแสดงว่าเขาเข้าใจนางดี  หากมิใช่เป็นเพราะว่าเขาได้เข้าสู่ขอบเขตนี้ ในเวลาเช่นนี้เขาคงจะไม่อาจรับรู้ความรู้สึกของฉู่เหยาได้ คงจะมีแต่ทำให้ฉู่เหยาเสียใจและผิดหวัง

“องค์หญิงสามเหนื่อยแล้ว ทหาร พาตัวนางลงไปเถอะ” องค์ไท่เฮาพยายามที่จะระงับโทสะที่อยู่ภายในจิตใจเอาไว้ นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ

ทหารทั้งหมดห้านายก็ได้ก้าวเข้ามา แต่ก่อนที่พวกเขาจะเชิญฉู่เหยาไป ปรมาจารย์หวินฉีก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา“องค์ไท่เฮา ท่านกระทำเช่นนี้เหมือนจะไม่ถูกนะ คนรุ่นเยาว์กระทำเรื่องราวเฉกเช่นการกล้ารักถึงเพียงนี้   ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม   ฉู่เหยา มา ถ้าหากไม่รังเกียจก็มานั่งอยู่ด้านข้างของผู้ชราผู้นี้ไปก็แล้วกัน”

องค์ไท่เฮาทอสีหน้าเปลี่ยนไป นางคิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์หวินฉีจะกระทำเรื่องราวเช่นนี้โดยที่ไม่ถามไถ่นางก่อน คิดไม่ถึงว่าจะถึงขั้นสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของจักรวรรดิ

เมื่อฉู่เหยาได้ยินปรมาจารย์หวินฉีเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้น ก็อดที่จะดีใจขึ้นมาไม่ได้ นางไม่ได้คิดที่จะให้ปรมาจารย์หวินฉีปกป้องนาง แต่ว่านางรู้สึกยินดีที่รู้ว่าปรมาจารย์หวินฉีสามารถให้ความคุ้มครองหลงเฉินได้

เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว  ฉู่เหยาก็ได้คุกเข่าลงอย่างช้าๆ ทว่ายังไม่ทันรอให้นางคุกเข่าลงกับพื้น ปรมาจารย์หวินฉีก็ได้ยื่นมือออกมา จากนั้นก็เหมือนมีพลังอันบางอย่างโอบอุ้ม จนทำให้นางถูกพยุงขึ้นมา

“เด็กเอ๋ย เราต่างก็เป็นคนกันเอง ใยต้องมาทำให้งานเทศกาลเสียอรรถรสด้วยเล่า” หวินฉีกล่าวจบ ก็ได้พาฉู่เหยามานั่งอยู่ด้านข้างของตนเอง

ทว่าที่ทำให้ผู้คนแปลกใจก็คือ เว่ยชางที่เดิมทีเป็นปรปักษ์ต่อหวินฉีมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะเพียงแต่มองดูอย่างเย็นชาเท่านั้น มิได้มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด

แม้ว่าภายในจิตใจขององค์ไท่เฮาจะมีโทสะอยู่ แต่ว่านางก็ไม่คิดที่จะจุดเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ให้ใหญ่โตขึ้นมา เพื่อทำเรื่องเสียมารยาทต่อหวินฉี หากไม่มีการสนับสนุนจากทางชุมนุมผู้หลอมโอสถ ต่อให้เป็นประเทศที่มีความเข็มแข็งมากกว่านี้อีก ก็คงจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆได้ภายในเวลาไม่นาน ดังนั้นนางจึงได้แต่เพียงอดกลั้นเอาไว้

ทว่านางมีฐานะเป็นถึงองค์ไท่เฮา นางยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ดำเนินงานเทศกาลต่อไปเถอะ”

หลังจากองค์ไท่เฮากล่าวออกมาเช่นนี้ ซือเฟิงที่อยู่ทางด้านข้างของหลงเฉินก็ได้ลุกขึ้นยืน “เหอะเหอะ ในที่สุดก็ถึงคราวที่ข้าจะได้ขึ้นสู่เวทีซักที”

ขั้นตอนในแต่ละปีของงานเทศกาล หลังจากที่องค์หญิงได้ปล่อยโคมไฟแล้ว ก็จะเป็นคราวที่เหล่าบุตรขุนนางน้อยใหญ่เข้าชิงชัยกัน เพื่อที่จะแย่งชิงสู่การเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งเฟิงหมิง

“องค์ไท่เฮาโปรดช้าก่อน ข้าผู้ชราได้รีบเร่งมาจากต้าเซี่ยอันไกลโพ้น เพื่อที่จะได้เข้าร่วมกับงานเทศกาลนี้ให้ทัน อีกทั้งยังตั้งใจมาเพื่อที่จะให้องค์ไท่เฮาได้ชมงานเทศกาลที่น่าชมยิ่งกว่านี้” ทันใดนั้นเว่ยชางก็ได้กล่าวออกมา

“อ๋อ? ปรมาจารย์ได้นำการแสดงมาด้วย คิดว่าย่อมต้องเป็นที่น่าดูน่าชมอย่างแน่นอน” องค์ไท่เฮาหลังจากที่ได้เกิดความงุนงง ก็ได้ยิ้มแล้วตอบกลับไป

“นี่เป็นศิษย์ไม่ประสีประสาของข้าเอง ปีนี้ก็อายุครบสิบเจ็ดปี อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นศิษย์หลอมโอสถอันดับหนึ่งในตอนนี้อย่างแท้จริงสมราคาคุยก็ว่าได้” เว่ยชางกำลังกล่าวอยู่ ภายในดวงตาก็ได้ปรากฏความชั่วร้ายขึ้นมา โดยเฉพาะ “แท้จริงสมราคาคุย” โดยที่เน้นคำทั้งสี่นี้อย่างหนักแน่นเป็นพิเศษ

ผู้คนทั้งหมดต่างก็มองไปที่หลงเฉินโดยที่ไม่กระพริบตา ขอเพียงมิใช่บุคคลที่โง่งม ก็พอที่จะทราบว่าเฒ่าเว่ยกำลังชี้หน้าด่าทออยู่ ความหมายแฝงนั้นก็คือหลงเฉินไม่ได้สมราคาคุยเท่าศิษย์ของตนนั้นเอง

หลงเฉินที่ได้อยู่ในฐานะของศิษย์หลอมโอสถได้ ผู้คนมากมายย่อมต้องเกิดความสงสัยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทุกครั้งที่หลงเฉินได้หลอมโอสถ ก็อยู่แค่ภายในสภาเท่านั้น บุคคลภายนอกย่อมไม่อาจที่จะทราบได้ ดังนั้นจึงทำให้มีผู้คนมากมายคิดว่าหลงเฉินใช้เส้นสายในการเข้าสู่สภาหลอมโอสถ หาใช่ได้ศึกษาและมีพรสวรรค์วิชาแท้จริงไม่

ที่สำคัญเขายังถูกกล่าวหาว่าเป็นขยะมายาวนาน และในระยะเวลาแค่นี้ถือว่าหลงเฉินพัฒนาขึ้นรวดเร็วจนเกินไป จึงมีผู้คนมากมายต่างก็เกิดความสงสัยว่าเบื้องหลังของหลงเฉินจะต้องมีมือข้างใหญ่คอยพยุงอยู่  อีกทั้งมือข้างนั้นมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเป็นปรมาจารย์หวินฉี

แต่ว่าต่อให้ปรมาจารย์หวินฉีวิเศษเพียงใด ก็ไม่อาจที่จะใช้เวลาสั้นๆเพียงแค่ภายในสองเดือน  ในการทำให้ขยะตนหนึ่ง  กลายเป็นศิษย์ผู้หลอมโอสถภายในพริบตาได้

เมื่อหลงเฉินได้ยินคำพูดของเว่ยชาง บนใบหน้าก็ได้ปรากฏอาการเย้ยหยันขึ้นมา:เรื่องสนุกจะมาแล้ว

หวินฉีก็มิได้กล่าวอันใดออกมา เพียงแต่ฟังเว่ยชางกล่าวต่อ“วันนี้ ข้าจะให้ศิษย์โปรดคนเล็ก หลอมโอสถให้แก่ทุกท่านได้เชยชมซักเตาก็แล้วกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยชาง ตลอดทั่วทั้งสถานที่แห่งนี้ก็ได้เกิดเสียงร้องสนับสนุนขึ้นมา การที่ผู้หลอมโอสถที่เป็นที่น่านับถือจะหลอมโอสถให้ดูนั้น ย่อมเป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ คนส่วนมากเพียงแค่ได้ยินเกี่ยวกับการหลอมโอสถมาก่อนเท่านั้น แต่ว่ายังไม่เคยเห็นการหลอมกับตาเลยสักครั้ง

“ปายฉือที่เป็นดั่งตัวแทนของชุมนุมผู้หลอมโอสถแห่งจักรวรรดิเมืองต้าเซี่ย ถือได้ว่าเป็นผู้หลอมโอสถรุ่นเยาว์อันดับหนึ่ง ไม่ทราบว่าทางเฟิงหมิงคิดจะเสนอตัวเพื่อที่จะแสดงฝีมือซักคนหรือไม่” เว่ยชางเมื่อได้กล่าววาจาจบ ก็ได้มองไปที่ปรมาจารย์หวินฉี

“นางเป็นศิษย์ของเจ้า แต่ว่าหลงเฉินยังมิได้เป็นศิษย์โดยตรงของข้า ดังนั้นความคิดที่อยู่ในใจของเจ้านั้น เห็นทีจะไม่สมหวัง” ปรมาจารย์หวินฉีก็ได้กล่าวออกมาอย่างเย็นชา

หลงเฉินเกิดความคิดขึ้นวูบหนึ่ง ที่แท้เหตุผลที่หวินฉีไม่ยอมรับตนเองเป็นลูกศิษย์ คงจะเป็นเพราะกลัวจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น?

“ก็แค่เล่นสนุกกันเท่านั้นเอง ทั้งหมดก็เพื่อความคึกครื้น อีกทั้งยังมิใช่การละเล่นที่เปล่าประโยชน์”

เว่ยชางกล่าวออกมา พร้อมกับหยิบขวดหยกขึ้นมา 1 ขวด  ภายในขวดนึกไม่ถึงว่าจะมีเพลิงไฟขนาดเท่าหนึ่งหัวแม่มือ ซึ่งกำลังสั่นไหวไปมาไม่หยุด

“นี่คือสัตว์เพลิงที่เป็นเสือดาวเพลิงกาฬระดับที่สอง ใครเป็นผู้ชนะ ข้าก็จะมอบมันให้แก่คนผู้นั้นก็แล้วกัน”

เซี่ยปายฉือมองไปที่สัตว์เพลิง ภายในดวงตาก็ได้เกิดความตื่นเต้นขึ้นมา นางคิดที่จะมีสัตว์เพลิงมานานแล้ว คิดไม่ถึงว่าในที่สุดเว่ยชางก็ยอมนำออกมา

เว่ยชางแกว่งสัตว์เพลิงในมือไปมา แล้วก็ได้วางเอาไว้อยู่บนแท่น จากนั้นก็หันไปทางหลงเฉินแล้วกล่าวเพื่อเป็นการกระตุ้น“เจ้าหนูเป็นอย่างไรบ้าง คิดอยากจะแสดงฝีมือขึ้นมาบ้างรึยัง?”

นี่ถือได้ว่าเป็นการชักชวนและยั่วยุอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนทั้งหมดที่ได้เห็นต่างก็ส่ายหน้าภายในใจ พฤติกรรมของเว่ยชางผู้นี้ ช่างเรียกได้ว่าไม่มีความเหมาะสมในฐานะปรมาจารย์เอาเสียเลย

ทว่าเรื่องแค่นี้หลงเฉินย่อมรู้ถึงความคิดของเว่ยชางอยู่แล้ว บนใบหน้าก็ได้ปรากฏอารมณ์เย้ยหยันขึ้นมา จากนั้นก็กล่าววาจาออกมาคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“ได้”

“พรวด”

เจ้าอ้วนและพวกแทบจะอดพ่นน้ำที่อยู่ภายในปากออกมามิได้: พี่หลงท่านกำลังคิดอันใดกัน?

ระหว่างที่ผู้คนทั้งหมดต่างก็ประหลาดใจกันอยู่  หลงเฉินก็ได้ก้าวขึ้นไปยังทางด้านบนของลานพิธี เข้าเผชิญหน้ากับเซี่ยปายฉือแล้วกล่าว

“อาจารย์ของเจ้ากล่าวเอาไว้ว่า ให้ข้าเล่นกับเจ้าเสียหน่อย เจ้าว่า จะเล่นกันอะไรดี?”

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset