เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 38 พ่ายแพ้แล้วหรือ?

“ครืน”

มือของเซี่ยปายฉือกระตุกขึ้นครั้งหนึ่ง เพลิงผลาญลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรง ผลก่อโลหิตเม็ดนั้นไม่อาจทนรับเปลวเพลิงที่มากขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนั้นได้จึงกลายเป็นสีแดงเข้มอยู่ในเตาหลอม

ผู้คนที่กำลังอยู่ในความเงียบสงบก็ค่อยๆ หันกลับไปมองที่หลงเฉินเป็นสายตาเดียว

“หลงเฉิน”

ทันใดนั้นก็มีเสียงเล็กแหลมจนบาดแก้วหูเสียงหนึ่งดังขึ้น กรีดร้องราวกับภูตผีปีศาจหมายจะเอาชีวิตอยู่อย่างไรอย่างนั้น

เสียงนั้นดังมาจากเซี่ยปายฉืออย่างไม่ต้องสงสัยบัดนี้บนใบหน้าที่งดงามของนางนั้นดูบึ้งตึงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แววตาอาฆาตมาดร้ายกำลังจ้องเขม็งไปที่หลงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย

เมื่อครู่นี้นางกำลังเข้าสู่ขั้นตอนของการหลอมผลก่อโลหิตจนจะกลายเป็นเม็ดอยู่แล้ว การควบคุมปราณเพลิงกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับการหลอมโอสถให้สำเร็จ

แต่กลับต้องมาสะดุ้งตัวโยนจนการควบคุมเพลิงของนางนั้นผิดเพี้ยนไปชั่วครู่พอรู้สึกตัวได้ก็ปรับให้อุณหภูมิเหมาะสม…เกือบจะไม่ทันเสียแล้วผลก่อโลหิตนี้ถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่งสำหรับการหลอมโอสถก่อโลหิตขึ้นมาและด้วยอายุกว่าสามร้อยปีที่จะต้องมาสูญเปล่าไปเช่นนี้แค่คิดก็ทำให้เซี่ยปายฉือนั้นแทบโมโหจนบ้าคลั่ง

“แค่กแค่กต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่ทำให้เจ้าต้องตกใจข้ามักจะเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาในช่วงที่กำลังจะหลอมโอสถ ที่ทำเสียงดังออกไปนั้นเพียงต้องการที่จะบอกต่อเจ้าว่าข้านั้นพร้อมที่จะหลอมโอสถแล้วต้องขออภัยด้วยจริงๆ เชียว” หลงเฉินขอโทษขอโพยออกมายกใหญ่

นี่มันจงใจอย่างเห็นได้ชัดเจนเลย เป็นการกลั่นแกล้งให้เสียสมาธิ ต่อให้เป็นคนตาบอดก็ยังสัมผัสได้ถึงเจตนาแอบแฝงนั้นได้ ดวงตาคู่งามของเซี่ยปายฉือหรี่ลงด้วยความเจ็บใจ

แต่ว่าก็ไม่อาจที่จะทำอันใดกับหลงเฉินได้ในตอนนี้ อีกทั้งการประลองนี้ก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อันใดที่ห้ามส่งเสียงดังออกมาครั้งนี้ถือว่าเซี่ยปายฉือนั้นพลาดท่าให้หลงเฉินเสียเอง

“มีสมาธิหน่อย”

เว่ยชางส่งเสียงขึ้นมาเพื่อเรียกสติของเซี่ยปายฉือ จากนั้นระดับเพลิงของนางก็เริ่มนิ่งสงบลง หากสงบสติอารมณ์ไม่ได้ก็จะทำให้สูญเสียสภาวะการควบคุมเพลิงได้อย่างง่ายดาย

“ข้าเริ่มมีสมาธิแล้วไม่จำเป็นจะต้องเป็นห่วงข้าหรอก” หลงเฉินกล่าวตอบกลับไปอย่างหน้าตาเฉย

“คุณหนูไป่จื่อ(โง่เขลา) เจ้าต้องการจะหลอมโอสถต่อหรือไม่ข้าจะเก็บอาการ ระมัดระวังซุ่มเสียงให้เบาลง เจ้าว่าดีหรือไม่?”

เซี่ยปายฉือเมินเฉยต่อคำพูดของหลงเฉินนางเปิดแหวนมิติแล้วดึงผ้าออกมาสองผืนยัดเข้าไปที่รูหูทั้งสองข้างจนแน่นเช่นนี้ก็คงจะไม่ได้ยินสิ่งใดแล้ว

เมื่อหลงเฉินเห็นเช่นนั้นก็ไม่กล่าวอันใดออกมาอีก พลันก็เห็นเซี่ยปายฉือกำลังนำผลก่อโลหิตออกมาทำให้เขารู้สึกหวั่นใจขึ้นมาครู่หนึ่ง

การเคลื่อนไหวของเซี่ยปายฉือดึงดูดสายตาของผู้คนรอบเขตการประลอง ใจจดจ่ออยู่ที่มือเล็กทั้งสองข้างนั้นว่าจะเกิดผลลัพธ์ออกมาเช่นไร

“ซูม”

หลงเฉินหันไปที่แท่นหลอมของตนแล้วยื่นฝ่ามือออกไปปรากฏประกายเพลิงสีเหลืองลุกโชนขึ้นมา ความรุนแรงของมันทำให้เว่ยชางจ้องตาค้างจนไม่อาจกระพริบตาได้แม้แต่เสี้ยวเดียว ระดับเปลวเพลิงของหลงเฉินนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเซี่ยปายฉือมากเท่าใดนัก

ใบหน้าของปรมาจารย์หวินฉีเองก็เกิดอาการตื่นตกใจขึ้นมาไม่น้อยเพลิงปราณของหลงเฉินนั้นแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนที่เจอกันอย่างมากมายหลายเท่าตัวนัก

“ฮาฮาข้าบอกพวกเจ้าแล้ว พี่หลงย่อมไม่มีปัญหาอันใดอย่างแน่นอน พวกเจ้าดูเพลิงที่กำลังปะทุอยู่บนฝ่ามือของเขาสิ” เจ้าอ้วนกล่าวออกด้วยความดีอกดีใจอย่างถึงที่สุด

นี่เป็นครั้งแรกที่ซือเฟิงและพวกพ้องได้เห็นหลงเฉินรวบรวมเพลิงปราณขึ้นมาความประหลาดใจบังเกิดขึ้นในก้นบึ้งของหัวใจอยู่ไม่น้อยเลยนี่จึงพิสูจน์ได้ว่าหลงเฉินนั้นเป็นศิษย์ผู้หลอมโอสถผู้หนึ่งแล้วจริงๆ

แม้ว่าปราณเพลิงของหลงเฉินจะทำให้ผู้คนตกตะลึงในพลังอันแรงกล้า และทำให้พวกเขาคลายข้อสงสัยที่ว่าเขาเป็นศิษย์ผู้หลอมโอสถอย่างแท้จริงแล้วแต่เมื่อได้เห็นการควบคุมเพลิงของหลงเฉินในขณะนี้แล้วกลับวิตกกังวลกันขึ้นมายกใหญ่

ระยะเวลาเพียงแค่สองเดือนจะทำให้ผู้ไร้ประโยชน์กลายเป็นศิษย์ผู้หลอมโอสถได้เลยอย่างนั้นหรือ? ผู้คนมากมายอดไม่ได้ที่จะทอประกายแววตาอันเจิดจ้าไปยังปรมาจารย์หวินฉีที่กำลังนั่งอยู่ในปะรำพิธีอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส

ปรมาจารย์หวินฉีได้แต่ฝืนยิ้มออกไป มีแต่เพียงเขาเท่านั้นที่ทราบความเป็นจริงว่าทักษะการหลอมโอสถของหลงเฉินนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนว่าหลงเฉินผู้นี้จะต้องเก็บซ่อนความลับบางอย่างไว้อีกมากมายทีเดียว

ฉู่เหยาทอดสายตาที่ห่วงใยไปยังหลงเฉินที่กำลังรวบรวมปราณเพลิงอย่างจดจ่อหลังจากที่หลงเฉินชักนำเพลิงจนสงบนิ่งแล้วก็เริ่มให้ความร้อนแก่เตาหลอม ท่วงท่าของเขานั้นช่างสง่างามและคล่องแคล่ว อีกทั้งสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงจังตั้งใจ จนทำให้ฉู่เหยาคลายความกังวลลงไปอย่างมาก

หลงเฉินที่เหลือบไปเห็นเซี่ยปายฉือกำลังเริ่มจัดการให้ผลก่อโลหิตนั้นสงบลงในใจก็คิดที่จะ “ทักทาย” นางขึ้นมาอีกครั้งแต่ทว่าเมื่อลองไตร่ตรองโอกาสที่จะสำเร็จนั้นกลับมีไม่มากอีกทั้งอาจจะถูกผู้คนดูแคลนเอาได้จึงได้ปล่อยเซี่ยปายฉือไป แล้วเริ่มการหลอมผลก่อโลหิตของเขาเอง

ผลก่อโลหิตที่อยู่ในมือของหลงเฉินมีขนาดเท่าลูกหลงเหยียน (ผลไม้ตามังกร龙眼) แต่ผลก่อโลหิตที่มีอายุสามร้อยปีของเซี่ยปายฉือนั้นขนาดเท่ากับกำปั้นเรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างไรอย่างนั้น

นอกเสียจากขนาดที่ต่างกันอย่างมากแล้ว ความอุดมสมบูรณ์ภายในนั้นกลับยิ่งต่างกันมากกว่าหลายเท่า ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจกล่าวว่าหลงเฉินนั้นเสียเปรียบแค่ขั้นหนึ่ง แต่ควรกล่าวว่านี่เป็นการประลองที่ไม่ยุติธรรมอย่างที่สุดเลยก็ว่าได้

ในขณะนี้หลงเฉินทำได้เพียงแค่พยุงสภาวะพลังทั้งหมดของผลก่อโลหิตเอาไว้เพื่อเป็นการเพิ่มระดับของโอสถแค่เพียงเริ่มต้นก็ต้องเสียเปรียบไปถึงเพียงนี้แล้วจึงมีแต่ต้องพึ่งวิธีการหลอมในขั้นตอนอื่นเพื่อเป็นการทดแทน

“ซูม”

ทันใดนั้นก็เองก็เกิดการปะทุขึ้นของปราณเพลิงเข้าปกคลุมอยู่รอบเตาหลอม ความลุกโชนของเพลิงนั้นรุนแรงจนน่าหวาดกลัวจนทำให้ผู้คนด้านล่างเวทีรู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มแผ่ออกมาเป็นสาย

“เป็นพลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง”

แม้แต่เว่ยชางยังต้องหันใบหน้ามองไปยังความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นขณะนี้หลงเฉินกำลังชักนำพลังแห่งจิตวิญญาณออกมาใช้เป็นเสมือนเชื้อเพลิงเสริมพลังให้กับปราณเพลิง อีกทั้งยังแบ่งพลังแห่งแห่งจิตวิญญาณออกไปอีกส่วนหนึ่งเพื่อทำการคุ้มครองความบริสุทธิ์ของผลก่อโลหิตไม่ให้รั่วไหลออกมา การหลอมโอสถด้วยวิธีการเช่นนี้ถือเป็นการกระทำที่บ้าบิ่นจนเกินไปแล้ว

แต่เว่ยชางที่ได้เห็นวิธีการอันบ้าดีเดือดเช่นนั้นก็อดที่จะแสยะยิ้มที่มุมปากออกมาไม่ได้ ถึงแม้พลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉินนั้นจะแข็งแกร่งมาก แต่ทว่าผลก่อโลหิตที่มีอายุเพียงห้าสิบปีจะเทียบกับผลก่อโลหิตที่มีอายุกว่าสามร้อยปีได้อย่างนั้นหรือ?

การใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเผาผลาญอย่างรุนแรงไปในช่วงแรกเพื่อหลอมให้กลายเป็นโอสถก็พอจะทำได้อยู่ แต่หากไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณหลงเหลือที่จะผนึกโอสถในช่วงท้ายก็มีแต่จะพบกับหนทางสู่ความล้มเหลวที่รออยู่ในสายตาของเว่ยชางนั้นมองว่าการกระทำของหลงเฉินรั้นแต่จะเป็นการปิดประตูชัยของตนเองลงก็เท่านั้น

ผู้คนโดยรอบเขตลานประลองต่างก็นิ่งเฉยกับการใช้พลังแห่งจิตวิญญาณอันสิ้นเปลืองของหลงเฉินมีเพียงปรมาจารย์หวินฉีผู้เดียวเท่านั้นมีใบหน้าตื่นตะลึงกับพลังฝีมือของหลงเฉิน เพราะทราบดีอยู่แล้วว่าการหลอมโอสถด้วยกลวิธีที่บ้าบิ่นเช่นนี้คงจะมีเพียงแค่หลงเฉินเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทำได้

“ฮูว”

หลงเฉินไหลเวียนพลังภายในเตาหลอมจากนั้นก็ได้นำเอาผงสีแดงออกมาจากเตา สังเกตว่าผงสีแดงนั้นยังไม่ได้เป็นสีแดงที่สดมากกระนั้นก็ยังถือว่าระดับเพลิงของเขานั้นไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดกับการหลอมมากมายนักจึงทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาไม่น้อย

สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นสิ่งเจือปนเพียงเล็กน้อยหากจะใช้ปราณเพลิงของเขาจัดการให้หมดไปคงจะเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนเพราะมีพลังและวัตถุที่ถูกจำกัดระดับเอาไว้อยู่

หลงเฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่เซี่ยปายฉือพบว่าใบหูของนางยังคงอัดแน่นไปด้วยผืนผ้าสองผืนจนเรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ยินสิ่งใดภายนอกอีกแล้ว ที่แท่นหลอมโอสถของนางปรากฏผลลัพธ์ของผงสีแดงวางไว้ที่มุมหนึ่ง

นั่นคือเศษผงโอสถจากผลก่อโลหิตหลงเฉินเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าผลก่อโลหิตอายุสามร้อยปีนั้นให้เศษผงที่มีความสดใหม่กว่าผลก่อโลหิตหลงเฉินมากมายนัก อีกทั้งยังมีสิ่งเจือปนอยู่น้อยมากจนแทบมองไม่เห็นเลยก็ว่าได้

หลงเฉินขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างกลัดกลุ้ม เริ่มเกิดความรู้สึกรันทดต่อชะตาชีวิตของตัวเองขึ้นมา ทั้งที่มีวิชาการหลอมโอสถที่สูงส่งแต่กลับไม่อาจที่จะนำออกมาใช้ได้ เพราะเกรงว่าหากถูกเฒ่าตัณหากลับผู้นั้นดูออกถึงความมีเลศนัยก็คงจะต้องถูกจัดการอย่างแน่นอน

เอาแบบเยื้องย่างไปทีละก้าวก็แล้วกันหากว่าท้ายที่สุดแล้วไม่ไหวจริงๆค่อยใช้ออกมาก็ยังทัน ในเมื่ออย่างไรเสียก็ไม่คิดว่าจะพ่ายแพ้อยู่แล้ว

หลังจากที่หลงเฉินได้หลอมสมุนไพรไปหลายชิ้นจนกลายเป็นเศษผงก็พบว่าเวลาได้ผ่านพ้นไปแล้วกว่าครึ่งชั่วยามเขาหันไปมองที่เซี่ยปายฉืออีกครั้งทางนั้นกำลังปิดฝาเตาลงเพื่อเข้าสู่การหลอมขั้นตอนต่อไป

หลังจากที่ฝาเตาถูกปิดผนึก ผู้หลอมจะต้องทำให้อุณหภูมิของเตานั้นคงที่ อันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากที่สุดเพราะต้องคอยควบคุมระดับเพลิงให้แน่นิ่งอย่างมาก หากผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อยอาจเกิดความล้มเหลวอย่างไม่น่าให้อภัยได้ทีเดียว

“หลงเฉินใกล้จะได้เวลาแล้วข้าคงจะต้องให้เจ้าช่วยทำความสะอาดนิ้วเท้าของข้าเสียแล้วล่ะ” เซี่ยปายฉือเอาผ้าที่อุดรูหูออกแล้วหันมายิ้มกว้างให้กับหลงเฉิน

ขณะนี้เซี่ยปายฉือได้ปิดฝาเตาลงไปแล้วจากนั้นก็เริ่มไหลเวียนปราณเพลิงเขาควบคุมโดยรอบของเตาหลอม เพื่อที่จะทำการแก้แค้นเรื่องก่อนหน้านี้จึงได้เริ่มที่จะทำให้หลงเฉินต้องแบ่งสมาธิขึ้น

“ขอร้องให้เจ้าช่วยหุบปากไปก่อนเถิด ลมปากที่เจ้าคายออกมานั้นช่างทำให้เสียบรรยากาศอย่างยิ่ง” หลงเฉินกล่าวออกด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“เจ้า……”

เซี่ยปายฉือปะทุโทสะขึ้นมา เปลวเพลิงในมือสั่นไหวไปมาเล็กน้อยจนนางตกใจและไม่กล้าที่จะกล่าววาจาอันใดออกมาอีกนางใช้ผ้าอุดไปที่รูหูอีกครั้งเพื่อตัดความรำคาญต่อหลงเฉิน

เซี่ยปายฉือคิดว่าต่อให้มีนางอยู่หมื่นคนก็คงไม่อาจตีฝีปากกับหลงเฉินได้จึงหันไปรวบรวมสมาธิทั้งหมดในการควบคุมระดับเพลิง จดจ่อไปที่โอสถภายในเตาหลอม เพียงแค่รอคอยให้หลงเฉินพ่ายแพ้จนอับอายขายขี้หน้าก็เพียงพอแล้ว

ที่แท่นหลอมของหลงเฉินก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวเช่นกัน เขาปิดฝาเตาลงแล้วใชปราณเพลิงออกมาควบคุมสภาวะของโอสถเช่นเดียวกัน

“กึง”

เพียงครู่เดียวที่เตาหลอมโอสถของเซี่ยปายฉือก็ได้เกิดการสั่นไหวขึ้นเสียงเงียบสงัดเมื่อก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นความแตกตื่นของผู้คนที่กำลังรับชมอยู่เบื้องล่างของเวที

แม้ว่าผู้คนโดยส่วนใหญ่จะไม่เคยพบเห็นการหลอมโอสถมาก่อน แต่ว่าก็พอจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้างว่าหากเตาหลอมจะเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าโอสถได้ถูกหลอมจนสำเร็จแล้ว

ขณะนี้เตาหลอมโอสถของเซี่ยปายฉือยังคงเกิดความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เสียงดังแผ่ไปรอบทิศอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เซี่ยปายฉือตกใจเล็กน้อย นางใช้มือทั้งสองข้างวางไปที่ด้านบนของเตาหลอมโอสถ แล้วไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณเข้าไป

“ตูม”

หลังจากเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ เตาหลอมโอสถเบื้องหน้าของนางก็ได้เงียบสงบลง เซี่ยปายฉือไม่อาจที่จะควบคุมหัวใจอันเต้นระรัวอย่างรุนแรงของตัวเองเอาไว้ได้อีกต่อไป

จากประสบการณ์ในการหลอมโอสถที่ผ่านมาอย่างโชกโชนของเซี่ยปายฉือนั้นถือได้ว่าประสบผลสำเร็จกว่าเก้าส่วนเลยทีเดียว ทำให้ตอนนี้นางมีความรู้สึกคล้ายกับว่าได้กุมชัยชนะได้แล้ว

มือเรียวยาวกุมเข้าไปที่ฝาเตาหลอมแล้วยกเปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ ไอควันจากเตาคละคลุ้งขึ้นมาสัมผัสกับใบหน้าที่กำลังยิ้มกว้างอยู่ กลิ่นหอมหวนรัญจวนใจถูกโชยพัดไปตามสายลมในอากาศ เพียงพริบตาเดียวก็ได้กระจายความหอมออกไปทั่วทั้งลานกว้างแห่งนั้น

“เป็นกลิ่นหอมที่เข้มข้นอย่างยิ่ง”

น้ำเสียงของชางเว่ยเต็มเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ ใบหน้าแห้งเ**่ยวนั้นยิ้มเยาะขึ้นมาอย่างร้ายกาจ เพียงได้ดอมดมกลิ่นอันหอมกรุ่นที่กระจายออกมาก็ทำให้ทราบได้ทันทีว่าเซี่ยปายฉือหลอมโอสถได้สำเร็จแล้ว

“ฮาฮาฮาฮา……”

เซี่ยปายฉือล้วงมือเข้าไปหยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมา บนใบหน้าไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นจนแทบจะบ้าคลั่งได้อีกต่อไป รอยยิ้มกว้างฉีกออกจนแทบจะถึงรูหู ความรู้สึกมากมายได้พรั่งพรูออกมาจนบังเกิดเป็นเสียงหัวเราะอันชั่วร้ายดังสนั่นกึกก้องไปทั่ว

“ผู้ใดยัดรองเท้าเข้าไปยังลำคอของเจ้ากัน?” หลงเฉินชายตามองไปยังเซี่ยปายฉือเพื่อเน้นย้ำคำถามของเขา

แม้เซี่ยปายฉือจะสัมผัสได้ว่าวาจาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยันแต่นางก็ไม่เก็บมาใส่ใจ เพียงแค่จ้องกลับไปยังหลงเฉินแล้วกล่าวว่า “เจ้าหนู ข้ายังรอที่จะให้เจ้ามาทำความสะอาดนิ้วเท้าของข้าอยู่นะ ฮาฮา……”

หลงเฉินเอาแต่ส่ายหน้าไปมาช้าและไม่เอ่ยถ้อยคำใดออกมาอีก แต่ทว่าในใจกลับหวาดหวั่นขึ้นมา หญิงบ้าผู้นี้ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน นึกไม่ถึงว่าจะสามารถหลอมโอสถก่อโลหิตระดับกลางได้ ไม่แปลกใจเลยที่นางจะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

หลงเฉินเพ่งมองไปยังเม็ดโอสถที่อยู่ในมือของเซี่ยปายฉือ ในแววตาของเขาสะท้อนภาพพื้นผิวของโอสถเม็ดนั้น ทั้งเข้มข้นและมีร่องรอยแห่งโอสถปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน

ด้วยพลังฝีมือระดับเซี่ยปายฉือที่หลอมโอสถระดับกลางนี้ขึ้นมา ย่อมส่งผลลัพธ์ที่สูงมากขึ้นไปด้วย อย่างน้อยก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าหนึ่งในร้อยอย่างแน่นอน

หรือว่าสวรรค์จะช่วยเหลือตัวโง่งมกัน? หลงเฉินสบถขึ้นมาในใจ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ไม่ได้แล้ว จะต้องคิดหาวิธีเสียแล้ว

“เคล้ง”

เตาหลอมโอสถของหลงเฉินก็เกิดเสียงดังขึ้นมาเช่นกัน อีกทั้งยังดังขึ้นมาในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างถึงที่สุดด้วย

“ไม่ถูกต้อง ต้องรีบลงมือแล้ว”

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง เขาใช้มือข้างหนึ่งกุมไปที่ฝาของเตาหลอมทำให้เตาถูกแง้มออกเล็กน้อย ปฏิกิริยาแปลกประหลาดเช่นนั้นทำให้ผู้คนโดยรอบปากอ้าตาค้างขึ้นมาพร้อมกัน

“อะไรกัน?”

ปรมาจารย์หวินฉีลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ในเวลานี้ที่สำคัญที่สุดเช่นนี้ ห้ามเปิดฝาเตาขึ้นมาโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะทำให้ฤทธิ์โอสถนั้นเสื่อมสภาพลงได้

แม้แต่เว่ยชางเองก็ยังต้องเบิกตากว้างกับการกระทำของหลงเฉินที่ไม่ได้อยู่ในหลักเกณฑ์ของการหลอมโอสถตามปกติเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว แต่ทว่าใบหน้าของหลงเฉินกลับดูเคร่งขรึมขึ้นมาราวกับว่ายังไม่แพ้อย่างไรอย่างนั้น

ในช่วงเวลาที่หลงเฉินได้แง้มฝาเตาออก พลังแห่งจิตวิญญาณของเขาก็ถูกไหลเวียนออกมาอย่างมหาศาลเข้าปิดผนึกสภาวะของโอสถที่อยู่ภายในเตาหลอม

“ตูมตูมตูม”

เตาหลอมโอสถเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง บนใบหน้าของหลงเฉินมีเหงื่อไหลซึมออกมาอย่างเห็นได้ชัด โอสถภายในเตาหลอมส่งเสียงดังราวกับมีวัวกระทิงที่บ้าคลั่งตัวหนึ่งวิ่งกระแทกอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง

หลงเฉินเค้นพลังแห่งจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างออกมาปิดผนึกเตาหลอมอย่างเอาเป็นเอาตาย จนร่างของเขานั้นสั่นเทิ้มไปทั้งหมดเพราะสูญเสียพลังไปอย่างมหาศาล

แย่แล้ว พลังแห่งจิตวิญญาณใกล้จะหมดลงแล้ว

หลงเฉินเริ่มรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมากะทันหัน จากนั้นก็คำรามออกมาเสียงดังสนั่นจนพลังแห่งจิตวิญญาณเกิดพุ่งพล่านขึ้นมาอย่างดุเดือดอีกครั้ง

“ตูม”

เตาหลอมโอสถเกิดเสียงระเบิดขึ้นกลางแท่นหลอม ความรุนแรงนั้นได้สั่นสะเทือนไปทั้งเวที หลงเฉินพยายามกดฝาเตาที่ครอบอยู่ราวกับว่าต่อให้ตายก็จะไม่ปล่อยมือเด็ดขาด

ผ่านไปแค่อึดใจเดียวเตาหลอมโอสถก็สงบเงียบลงเหมือนกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น หลงเฉินผ่อน

ลมหายใจออกมาอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเหนื่อยล้า อาภรณ์ยาวนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ซึมไหลออกมา

มือใหญ่ข้างหนึ่งค่อยๆ เปิดฝาเตาขึ้นอย่างช้าๆ กลิ่นหอมหวนของโอสถกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมาเตะจมูกของเขา สายตาคู่คมจ้องมองผ่านไอควันไปยังโอสถเม็ดหนึ่งที่กำลังกลิ้งเกลือกอภายในเตา พลันสีหน้าของเขาก็ได้แปรเปลี่ยนไปทันที  . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset