เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 41 ความเกรี้ยวกราดของหลงเฉิน

“หลงเฉิน”

“หลงเฉิน”

“หลงเฉิน”

เสียงกู่ร้องดังกึกก้องไปทั่วทุกสารทิศประดุจสายน้ำที่เชี่ยวกราดไหลซัดตามแนวชายฝั่ง สายตาทุกคู่จ้องมาที่หลงเฉินอย่างมีความหวัง

หลงเฉินมองไปที่หว่างซานแล้วก็ได้มองไปที่เซี่ยฉางเฟิงที่อยู่ไกลออกไปสลับกกันไปมา มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นว่าเป็นฝีมือของผู้ใด?

ในขณะที่หลงเฉินกำลังยื่นมือข้างหนึ่งออกไป เสียงของผู้คนทั้งหมดก็ได้หยุดลงพร้อมกัน หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยประโยคทิ่มแทงใจว่า “ข้าไม่สนใจจะลดตัวลงไปเล่นศึกหมาจับแมวกับเจ้าหรอก”

ในเวลานี้ตลอดทั่วทั้งสนามก็ได้อยู่ในความตกตะลึง หลงเฉินถึงกับปฏิเสธออกไปแล้ว

“นี่คือชายผู้เป็นสุดยอดรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงอย่างนั้นหรือ? ขี้ขลาดถึงเพียงนี้ ช่างน่าผิดหวังเสียจริง” หว่างซานส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าว

หลงเฉินแสยะยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ข้าได้ติดกับไปแล้วครั้งหนึ่ง ยังคิดจะให้ติดกับเป็นครั้งที่สองอีกอย่างนั้นหรือ คิดว่าข้านั้นโง่งมขนาดนั้นเชียว?

“ไปเถิด อย่าไปใส่ใจกับเจ้าสุนัขนั่นเลย”

หลงเฉินผลักไสพวกพ้องด้วยมือใหญ่สองข้างแล้วเดินตรงไปยังทางออก ในโสตประสาทของเขาในตอนนี้คิดเพียงแต่ไปฝึกฝนสัตว์เพลิงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่อยากเสียเวลาอันมีค่าไปกับพวกคนเช่นนั้นแม้แต่เสี้ยวเดียว

“การกระทำอันน่าเอือมระอาของเจ้าที่คิดจะครองครอบองค์หญิงสามไว้นั้น ช่างไม่ต่างจากคางคกหมายจะกินเนื้อห่านฟ้าหรอก แม้แต่เป็นเศษขยะก็ยังไม่คู่ควร” หว่างซานกล่าวไล่ตามเงาหลังของหลงเฉินไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

ทันใดนั้นหลงเฉินก็หยุดนิ่ง ร่างกายของเขาสั่นไหวด้วยโทสะที่พุ่งพล่าน ฉู่เหยาได้กลายเป็นหญิงสาวที่อยู่ในใจของเขาแล้ว นางมีความหมายมากมายกับเขา แน่นอนว่าย่อมไม่อาจยินยอมให้ผู้ใดมาเอ่ยนามของนางขึ้นมาอย่างล่วงเกินได้

แต่ทว่าเขาก็พยายามข่มเพลิงโทสะเอาไว้แล้วเดินหน้าต่อไปทางประตูใหญ่ ด้วยเหตุที่ว่าตอนนี้พลังของเขานั้นยังมีไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับหว่างซาน

“ข้าจะไปสั่งสอนเขาให้เอง” ซือเฟิงแผ่รังสีสังหารออกมาแล้วออกเดินไปที่เวทีในทันที

หลงเฉินตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่พลางหันตัวกลับมาเพื่อคว้าแขนของซือเฟิงเอาไว้ แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ด้วยความว่องไวของซือเฟิงที่พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว บัดนี้เขาก็ได้ทะยานขึ้นไปสู่เวทีประลองนั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“หว่างซาน เจ้าอยากปากแตกหรืออย่างไรกัน หลงเฉินไม่ใช่ผู้ที่คู่ควรให้เจ้ามาดูแคลนได้เช่นนี้” ซือเฟิงชี้นิ้วไปทางหว่างซานแล้วด่าออกมาอย่างเหลืออด

เมื่อหว่างซานเห็นซือเฟิงมายืนอยู่เบื้องหน้าของเขาที่กลางเวที ดวงตาคู่นั้นก็ได้ทอเป็นประกายความชั่วร้ายขึ้นมา ที่มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มเหยียดขึ้น “ถึงแม้เจ้าจะได้เป็นนักสู้อันดับหนึ่งของจักรวรรดิเมื่อครู่นี้ แต่ว่าเจ้าคงไม่อาจทนรับสิบกระบวนท่าของข้าได้หรอก ลงไปเสียเถิด อย่าให้เป็นที่ขายหน้าเลย”

“บังอาจเกินไปแล้ว”

“น่ารังเกียจนัก”

“ซือเฟิง จัดการเขาให้หมอบไปเลย”

ซือเฟิงที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่งนักสู้อันดับหนึ่งก็ยังเกิดความห้าวหาญอยู่จนถึงตอนนี้ ผู้คนมากมายต่างก็ยอมรับในความแข็งแกร่งของเขา แต่จักรวรรดิต้าเซี่ยกลับดูแคลนเขาถึงเพียงนี้ก็เหมือนกับกำลังดูแคลนผู้คนในจักรวรรดิเฟิงหมิงด้วยเช่นกัน

“ซือเฟิง ลงมาได้แล้ว” หลงเฉินตะโกนเรียกเขาจากขอบเวที

“เห็นหรือยัง เขาเรียกเจ้าให้ลงไปแล้ว เกรงว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ ยังไม่รีบไสหัวไปอีกหรือ” หว่างซานกล่าววาจาแดกดันออกมา ทว่าคำพูดเช่นนั้นกลับยิ่งยั่วยุโทสะของซือเฟิงให้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่านัก

“หลงเฉิน ข้าต้องการที่จะประลองกับเขา” ซือเฟิงกล่าว

“นี่เป็นกับดัก หากเจ้าคิดจะประลองกับเขา ก็อย่าได้มานับถือกันอีกเลย” หลงเฉินโกรธจัดจนใบหน้ามีสีแดงคล้ำ

“เขาพูดจาดูแคลนข้านั้นย่อมได้ แต่ว่ากล่าวดูแคลนเจ้านั้น ข้ายอมไม่ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องสู้กับเขา วันนี้ข้าจะไม่ขอฟังคำของเจ้า”

ซือเฟิงจ้องเขม็งไปที่หว่างซานอย่างไม่ละสายตา “ออกกระบวนท่ามาเถิด”

หว่างซานปรายสายตามองไปที่ซือเฟิงครั้งหนึ่ง แล้วก็พยักหน้าตอบ “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีความกล้ามากกว่าเขาอยู่มากทีเดียว ข้าจะตกลงเพื่อเห็นแก่ความห้าวหาญของเจ้าก็แล้วกัน แต่ว่าเจ้าจะทนรับมือกับสิบกระบวนท่าของข้าได้หรือ”

“สามหาว!”

ซือเฟิงปะทุเพลิงโทสะออกมาอย่างบ้าคลั่ง คล้ายกับมีเส้นโลหิตปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง เขาหันหน้าไปประจันกับหว่างซาน จากนั้นก็พุ่งหมัดออกไปอย่างรวดเร็ว

หมัดข้างนั้นถูกรวมเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาลที่เขามีอยู่ทั้งหมด คมหมัดนั้นหอบเอาสายลมทั่วทั้งบรรยากาศทะลวงออกไปยังชายผู้ที่กำลังยิ้มอย่างเย้ยหยันอยู่เบื้องหน้า

“เยี่ยม”

แววตาของชายผู้นั้นสะท้อนให้เห็นคมหมัดอันเปี่ยมไปด้วยอานุภาพทำลายล้างของซือเฟิง เหล่าผู้คนที่อยู่รอบเวทีต่างก็ส่งเสียงชื่นชมออกมาเป็นสาย มีเพียงหลงเฉินเท่านั้นที่มองดูการเคลื่อนไหวนั้นอย่างกระวนกระวาย

“ปึก”

คมหมัดที่ต่างก็คิดว่ายากจะทานรับเอาไว้ได้กลับหยุดลงไปอย่างว่าง่าเพียงแค่หว่างซานใช้มือข้างหนึ่งประกบเข้ากับหมัดของซือเฟิง ไขว้มืออีกข้างหนึ่งไปทางด้านหลัง ร่างกายของเขาอยู่นิ่งกับที่ ไม่ได้เคลื่อนไหวออกจากที่เดิมเลยแม้แต่น้อย

“อะไรกัน?”

เหล่าผู้คนต่างก็ปากอ้าตาค้างกันไปถ้วนหน้า หมัดของซือเฟิงนั้นมีพลังทำลายอันมหาศาลสถิตอยู่ที่ปลายหมัด เหตุใดหว่างซานยังคงนิ่งเฉยอยู่ได้ แม้แต่ขนกายก็ยังไม่เกิดการพลิ้วไหว

“มีพลังเพียงแค่นี้เองหรือ?” หว่างซานแสยะยิ้มขึ้นที่มุมปาก

หมัดที่ซือเฟิงปล่อยออกไปทำให้เขาเองก็ตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย แต่พริบตาเดียวที่ได้ยินคำพูดนั้นกลับปะทุเพลิงโทสะขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่รั้งสภาวะของหมัดกลับคืนมา แต่ใช้เท้าข้างหนึ่งเตะเข้าไปที่เอวของหว่างซานอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็ใช้มือขวาคล้องเข้าไปที่คอของหว่างซาน

หนึ่งกระบวนท่าสามารถจู่โจมออกมาได้ถึงสองครั้ง การออกเท้าอย่างเดียวอาจทำให้หว่างซานหลบออกไปได้ จึงใช้แขนอีกข้างโอบไปที่คอของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้หลบหนี กระบวนท่าเช่นนี้เป็นการผสมผสานได้อย่างลงตัวเป็นอย่างยิ่ง

แต่หว่างซานกลับไม่ได้หันหลบไปทางใดเลยแม้แต่น้อย เขาออกเพลงเท้าเช่นเดียวกับซือเฟิงแต่รวดเร็วกว่าหลายเท่าเข้าปะทะไปที่ร่างของซือเฟิงก่อนที่เท้าข้างนั้นจะเข้ามาถึงตัวเขาเสียอีก

“ปึก”

ระหว่างที่เท้าของหว่างซานเตะไปที่ท้องของซือเฟิงก็บังเกิดเสียงปะทะดังสนั่น ซือเฟิงกุมมือไว้ที่ท้อง เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดขึ้นมาเป็นสาย วินาทีนั้นก็ถูกฝ่ามือหนึ่งฟาดเข้าไปที่ทรวงอกจนร่างลอยถอยหลังไปสามก้าว ซือเฟิงพบว่าขาของเขานั้นไม่ยอมทำตามสั่ง หว่างซานเองก็กำลังเดินใกล้เข้ามาแล้ว

“ไม่เลว หากไม่อาจหยุดยั้งกระบวนท่าไว้ได้ เจ้าสามารถยอมแพ้ได้ทุกเวลาเลยนะ”

ระหว่างที่ปากกำลังขยับอยู่กลับไม่ได้ทำให้การเคลื่อนไหวของหว่างซานช้าลงแม้แต่น้อย เขายื่นมือข้างหนึ่งหมายจะออกไปคว้าที่คอของซือเฟิง

ซือเฟิงเบิกตากว้างขึ้น พลันก็รีบพุ่งหมัดออกไปเพื่อหยุดยั้งกรงเล็บนั้นไว้

“ปึก”

หมัดที่ซือเฟิงเพิ่งพุ่งออกมาไปก็ถูกมือข้างใหญ่ของหว่างซานคว้าเอาไว้ได้อีกครั้ง เขาไหลเวียนพลังอันมหาศาลผ่านเข้ามาเป็นสาย

“กร๊อบ”

มือข้างนั้นของซือเฟิงถูกขยี้จนกระดูกแตกเส้นเอ็นฉีก

“ไอหยา ต้องขออภัยด้วย ดูเหมือนว่าข้าจะบีบแรงไปหน่อย”

หว่างซานขอโทษขอโพยอยู่ครู่หนึ่ง แต่ทว่าใบหน้านั้นกลับเต็มไปด้วยความสะใจ มือข้างนั้นก็ได้หยุดเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังออกแรงฟาดออกไปอีกหนึ่งฝ่ามือ

ซือเฟิงได้ไหลเวียนพลังไปที่เท้าเพื่อจะสลัดหลุดออกมาจากที่ตรงนี้ แต่กลับไม่อาจดึงมือออกจากหว่างซานได้ จึงถูกฟาดเข้าไปที่หัวไหล่

พลังมหาศาลอีกสายหนึ่งก็ได้ถูกไหลเวียนเข้ามา ซือเฟิงรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งร่างราวกับถูกก้อนศิลาขนาดใหญ่นับพันชั่งกดทับอยู่อย่างไรอย่างนั้น หนักหนาเสียจนแทบจะหายใจไม่ออก

ในที่สุดเขาก็ทราบดีแล้วว่าพลังฝีมือของเขากับหว่างซานนั้นห่างชั้นกันมากเกินไปราวฟ้ากับเหว คิดที่จะเอ่ยปากยอมแพ้แต่ก็ช่างไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน

“ซือเฟิง ถ้าหากเจ้าทนไม่ไหวก็ยอมแพ้ได้ทุกเมื่อนะ”

หว่างซานแสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา ดวงตาแผ่รังสีสังหารไปทั่ว แล้วฟาดฝ่ามือไปยังหน้าอกของซือเฟิงเป็นครั้งที่สอง

“ปึก”

ซือเฟิงลอยกระเด็นออกไปไกลลิบ เขากระอักโลหิตออกมาอย่างมากมาย ผู้คนมากมายต่างก็ป้องมือไปที่ปาก เสียงร่ำร้องด้วยความตกใจเล็ดลอดออกมาอย่างแผ่วเบา

ร่างที่กำลังจะลอยลงสู่พื้นก็ได้ถูกเงาร่างหนึ่งกระโดเข้ารับไว้กลางอากาศ หลงเฉินกวาดสายตามองไปยังร่างที่ไร้เรี่ยวแรงนั้น กระดูกของเขาแตกละเอียด เส้นเอ็นมือฉีกขาด ฝ่ามือสุดท้ายที่ฟาดมาถึงกับทำลายจุดชิงหม่ายของเขาจนเกือบจะพิการ

บัดนี้ทั่วทั้งลานประลองเงียบสงัดประดุจป่าช้าอีกครั้ง ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าผู้กล้าอันดับหนึ่งจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้อย่างซือเฟิงจะพ่ายแพ้ได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ

“ซือเฟิง เขาแข็งแกร่งเกินไป ถึงกับรับฝ่ามือนี้ของข้าได้ ช่างเป็นที่น่า……เสียใจอย่างยิ่ง” หว่างซานกล่าวออกมาขณะที่ยืนอยู่บนเวทีแล้วปรายหางตามองมาที่หลงเฉินและพวกพ้องพร้อมกับสะบัดมือไปมา

หลงเฉินมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของหว่างซาน ภายในนั้นมีแต่ความเย้ยหยันและไม่แยแส แท้ที่จริงแล้วไม่มีเงาของพวกเขาอยู่ในสายตาคู่นั้นเสียด้วยซ้ำไป

“มือเท้านั้นไร้ซึ่งดวงตา จะโทษก็คงต้องโทษว่าตัวเองนั้นไร้ความสามารถเสียเถิด ไม่ตายก็ถือว่าไม่เลวแล้ว” เว่ยชางส่ายหน้าไปมา

“เฒ่าตัณหากลับบัดซบ เจ้าหุบปากไปซะ”

หลงเฉินตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดถึงที่สุด เสียงนั้นดังกึกก้องจนสั่นไหวบริเวณโดยรอบ รังสีสังหารอันแข็งแกร่งพุ่งพล่านออกมาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ ความน่าหวาดกลัวปกคลุมไปรอบลานประลอง

แม้แต่ขุนนางฝ่ายต่อสู้คนอื่นที่ออกศึกอยู่เป็นประจำยังรู้สึกหวาดหวั่นในใจ ในปะรำพิธีต่างแตกตื่นกันไปทั้งหมดทั้งสิ้น

หลงเฉินพอกโอสถรักษาให้กับซือเฟิงอ จากนั้นก็ก้าวย่างขึ้นไปบนเวทีประลอง แววตาดุดันของเขาจ้องมองไปที่หว่างซานอย่างหมายจะเอาชีวิต

“เจ้าจะกดดันให้ข้าเข้าประลองใช่หรือไม่ ตอนนี้ก็คงจะสมความปรารถนาของเจ้าแล้ว”

หลงเฉินยังคงแผ่จิตสังหารอันมหาศาลออกมาอย่างต่อเนื่อง พลังหายในร่างปะทุขึ้นมาอย่างเดือดพล่าน ในช่วงเวลาที่เขามีโทสะอย่างรุนแรงเช่นนี้ก็ได้ทำให้จุดดารากักวายุที่ใต้ฝ่าเท้าของเขาเกิดการไหลเวียนไปมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน

เดิมทีจุดนั้นมีขนาดเท่าลูกหนังลูกหนึ่ง แต่บัดนี้กลับยิ่งใหญ่กว่านั้นหลายสิบเท่า พลังที่ไม่เพียงพอเมื่อก่อนหน้าก็กลับมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อาจสัมผัสถึงจุดสิ้นสุดได้

หลงเฉินเบือนหน้าไปที่เซี่ยฉางเฟิง แล้วชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มผู้นั้นอย่างอาฆาต “เซี่ยฉางเฟิง ลูกกรอกของเจ้าเฒ่าบัดซบ เจ้าอย่าได้คิดหนีไปไหนเชียวนะ รอข้าอยู่ตรงนั้น”

“ไทเฮา ข้าต้องการประลองเป็นตายกับหว่างซาน ขอไทเฮาโปรดให้การสนับสนุน”

คำพูดประโยคนี้ของหลงเฉินที่กล่าวต่อไทเฮาทำให้ผู้คนทั่วทั้งลานประลองยิ่งตื่นตระหนกเสียยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะฉู่เหยาที่บัดนี้มีน้ำตาคลอออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้

“หลงเฉิน”

ฉู่เหยามองไปที่ใบหน้าสีแดงคล้ำของหลงเฉิน ความห่วงใยบังเกิดขึ้นมาจนอัดแน่นไปเต็มหัวใจ นางยังไม่เคยเห็นหลงเฉินโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้มาก่อน รู้สึกเจ็บปวดใจแทนหลงเฉินขึ้นมาอย่างมากมาย

“ไทเฮา การประลองเป็นตายเป็นเหมือนบททดสอบจากสรวงสวรรค์ถึงความเป็นชายชาติทหาร ข้ารู้สึกว่าความต้องการเช่นนั้นย่อมควรค่าแก่การสนับสนุนจึงจะถูกต้อง”

ยิ่งเห็นว่าหลงเฉินนั้นมีโทสะจนคิดจะประลองเป็นตายกับหว่างซาน ยิ่งทำให้เว่ยชางอดบังเกิดความปิติยินดีขึ้นมาไม่ได้ เมื่อมีการประลองตัดสินเช่นนี้ก็จะทำให้เขาสามารถนำสัตว์เพลิงกลับคืนมา เพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นใจไป ทุกสิ่งจะตกเป็นของฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ

ไทเฮาลำบากใจอยู่ไม่น้อย นางมองไปที่ปรมาจารย์หวินฉีคล้ายกับขอความเห็น ปรมาจารย์หวินฉีทอแววตาเป็นกังวลไปที่หลงเฉิน

“ขอท่านปรมาจารย์โปรดให้การสนับสนุนด้วย” หลงเฉินพยักหน้าด้วยความมั่นใจ

ปรมาจารย์หวินฉีถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง “เรื่องนี้มีไทเฮาเป็นสักขีพยาน นี่เป็นศึกที่หลงเฉินเริ่มขึ้นเอง ทางสภาจะไม่สอดมือเข้ายุ่งอย่างเด็ดขาด”

“เช่นนั้นก็อนุญาต”

เมื่อสิ้นเสียงรับสั่งของไทเฮา กลับไม่มีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจออกมาแม้แต่สักลมหายใจเดียว นี่ไม่ใช่การประลองยุทธ์ แต่เป็นการประลองที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง

เซี่ยฉางเฟิงนั้นไม่ได้แยแสกับคำท้าทายของหลงเฉินเลย ไม่มีแม้แต่ความโกรธแค้น เขาจะไปถือสากับคนที่กำลังจะตายอยู่แล้วทำไมกัน

อีกทั้งแผนการในครั้งนี้ยังเป็นไปอย่างราบรื่น จากที่คิดจะให้หว่างซานลอบสังหารหลงเฉินให้ตาย แต่กลับได้ต่อสู้อย่างซึ่งหน้าเช่นนี้ก็ย่อมดีกว่าอย่างยิ่ง กำจัดเสี้ยนหนามที่อาจจะเข้ามายุ่งยากกับแผนการในภายภาคหน้าไปเสียตอนนี้ย่อมดีที่สุด

เหล่าผู้คนที่อยู่เบื้องล่างของเวทีรู้สึกสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดที่เห็นหลงเฉินปฏิเสธที่จะเผชิญกับศึกนี้เมื่อก่อนหน้า แต่ว่าขณะนี้หลงเฉินกลับประกาศท้าประลองเป็นตายขึ้นด้วยตัวเองจึงทำให้ผู้คนเหล่านั้นเกิดอาการขนลุกขนพองขึ้นมาเสียอย่างนั้น

เหล่าหญิงสาวร้องโอดครวญออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน สายตาทุกคู่ทอประกายเจิดจ้าไปที่หลงเฉิน ความนับถือในการตัดสินของหลงเฉินนั้นกลายเป็นแรงกระตุ้นหัวใจของพวกนางให้เต้นระรัวอย่างรุนแรงอีกครั้ง

หว่างซานแสยะยิ้มขณะที่มองไปทางหลงเฉิน “เจ้าขึ้นมาเสียตั้งแต่แรก สหายของเจ้าก็คงไม่ต้องกระอักโลหิตแล้ว เจ้านี่ช่างทำเสียเรื่องเสียจริง”

หลงเฉินมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่เอ่ยวาจาใดออกมาสักคำ เขาเอาแต่ยืนนิ่งแล้วแผ่รังสีสังหารอันมหาศาลออกมาอย่างต่อเนื่อง

“สายตาของเจ้าช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะควักลูกตาคู่นั้นออกมาซะ!”

หว่างซานขยับเท้าข้างหนึ่งอย่างรวดเร็วแล้วพุ่งตัวไปยังที่ที่หลงเฉินยืนอยู่ ความว่องไวนั้นคล้ายกับภูตผีที่หายตัวได้อย่างไรอย่างนั้น เร็วกว่าครั้งที่ต่อสู้กับซือเฟิงเสียด้วยซ้ำ

“ไสหัวไป”

เสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้นประดุจสายฟ้าฟาดลงมาในฤดูร้อน สยบความเคลื่อนไหวไปทั่วจตุรทิศ เสียงดังนั้นยังคงกึกก้องท่ามกลางบรรยากาศ ทันใดนั้นก็ได้มีเงาร่างหนึ่งทะยานออกมาจากอีกฟากของเวที

สายตาทุกคู่จากเบื้องล่างเวทีกำลังจ้างมองการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นบนเวที หลงเฉินรวบรวมพลังแห่งสภาวะของหมัดออกไป หว่างซานที่ยืนห่างออกไปห้าคืบกำลังมีใบหน้าเหยเกแล้วมองมาที่หลงเฉินอย่างตื่นตกใจ

“เป็นไปได้อย่างไร?”

“ข้าก็มองไม่ออกเหมือนกัน”

“ดูเหมือนจะเป็นหมัดของหลงเฉินซัดจนหว่างซานนั้นกระเด็นออกไป”

รอบลานประลองมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เจ้าอ้วนและพวกพ้องต่างก็ถือโอกาสเช่นนี้ส่งเสียงโห่ร้องออกไปด้วยความยินดีเป็นครั้งที่สอง จนทำให้คนอื่นตะโกนร้องขึ้นมาตามหลัง

หลงเฉินมองไปหว่างซานด้วยสายตาที่เย็นชา “วันนี้ถ้าหากปล่อยให้เจ้ามีชีวิตกลับไป อย่าเรียกข้าว่าหลงเฉิน”

“ตูม”

ทันใดนั้นเองบนร่างของหลงเฉินก็ได้ปะทุพลังขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง จนทำให้อากาศเบื้องบนเกิดความแปรปรวนไปทั้งหมด พลังอันน่าหวาดกลัวนี้แผ่ซ่านความเย็นยะเยือกไปทั่วทุกขุมจนทำให้ผู้คนทั้งหมดรู้สึกจมดิ่งไปในหุบเหวอันมืดมิด . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset