เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 44 ดิ้นรนจากความตาย

“หาที่ตาย”

หว่างซานที่ได้กลายร่างเป็นสัตว์ก็ยิ่งถูกยั่วยุได้ง่ายขึ้น ร่างกำยำนั้นจึงพุ่งเข้าไปหาหลงเฉินอย่างบ้าคลั่ง

ถึงแม้ว่าหลงเฉินไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเหล่าอมนุษย์สักเท่าใดนัก แต่ก็สัมผัสได้ว่าการหลอมรวมเข้ากับสัตว์มายาเฉกเช่นนั้นคงจะเพิ่มพูนพลังในการต่อสู้ขึ้นมาได้อีกไม่น้อย จนแม้แต่เขาเองยังต้องตื่นตระหนกจนไม่อาจระงับจิตใจให้สงบลงได้เลย

หลังจากที่ได้ระเบิดพลังอันมหาศาลขึ้นมาได้อย่างน่าหวาดกลัว แต่ความสามารถในการต่อสู้นั้นก็ถูกลดทอนลงไปด้วยเช่นเดียวกัน หลงเฉินยังคิดว่าหากเทียบวัวที่บ้าคลั่งตัวหนึ่งกับจิ้งจอกที่มีความสุขุมกว่าตัวหนึ่ง อย่างไรเสียก็ยังยากที่จะต่อกรด้วยได้

หลงเฉินทำการไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณในช่วงเวลาที่ร่างกายหว่างซานเพิ่งจะเริ่มขยับเขยื้อน ทันใดนั้นเขาก็ได้สะบัดเท้าข้างหนึ่งออกไปแล้วพุ่งเข้าสู้ท้องน้อยของหว่างซาน

“ปึก”

ในขณะที่หลังเท้าของหลงเฉินกำลังจะสัมผัสเข้าไปที่ท้องน้อยของหว่างซาน เขากลับถอยหนีออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่หว่างซานระเบิดพลังออกมาอย่างบ้าคลั่งของสัตว์ประหลาด ก็แทบจะไม่มีความเกรงกลัวต่อการโจมตีใดใดของหลงเฉินอีกเลย

หลงเฉินเองก็รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของขุมพลังแห่งความบ้าคลั่งของหว่างซานที่ได้ปะทุออกมาด้วยความเร็วที่มากขึ้นอย่างท่วมท้น หว่างซานที่กำลังถอยหนีไปก็ได้กางกรงเล็บตวัดไปที่ลำคอของหลงเฉินด้วยความเร็วที่เหนือกว่า

หากหลงเฉินไม่ได้เป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน รอคอยที่จะสวนกลับเพียงอย่างเดียวก็คงจะไม่ได้การณ์ อมนุษย์ผู้นี้เปี่ยมไปด้วยระดับพลัง ความเร็ว และการตอบสนองที่เหมือนกับเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้

“ฮูม”

หว่างซานถูกเพลงเท้าของหลงเฉินเข้ากดดันจนถอยหลังไป เขาคำรามออกมาอย่างโมโหร้าย พลังเสียงนั้นช่างหลอกหลอนเข้าไปในโสตประสาทของผู้คนทั้งหลายอย่างถึงที่สุด ดวงตาของหมาป่าที่แสนดุร้ายตัวนั้นได้กลายเป็นสีแดงชาดคล้ายโลหิตกำลังไหลอาบอยู่ภายใน ทันใดนั้นหว่างซานก็ได้แผ่กรงเล็บทั้งสิบกวาดเข้าไปหมายจะตะปบเข้าที่ร่างของหลงเฉินอย่างรวดเร็ว

“หมัดทลายวายุ”

หลงเฉินชิงตะโกนออกไปก่อนแล้วพุ่งหมัดข้างหนึ่งออกไป

“ตูม”

คมหมัดของหลงเฉินพุ่งเข้าปะทะกับกรงเล็บแหลมคมทั้งสิบจนเกิดแรงระเบิดดังกึงก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ร่างของชายหนุ่มทั้งสองลอยไถลไปกับพื้นไม้ที่แหลกลานไกลออกไปหลายคืบ

“เป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งนัก”

หลงเฉินสบถวาจาออกมาด้วยความเจ็บปวด คิดไม่ถึงว่าหว่างซานจะมีไพ่ตายที่มีอานุภาพแห่งการทำลายล้างอย่างมหาศาลถึงเพียงนี้ อีกทั้งเจ้าบัดซบผู้นี้ก็ช่างเก็บซ่อนความลึกล้ำของพลังเอาไว้มากจนเกินไปแล้ว

เดิมทีหลงเฉินได้ใช้หมัดทลายวายุซัดหว่างซานจนลอยกระเด็นไปก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่งจนร่างกายนั้นตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อยู่ไม่น้อยทีเดียว แต่ทว่าหลังจากที่หว่างซานได้กลายเป็นร่าง คมหมัดของกระบวนท่านี้กลับไม่อาจขีดข่วนร่างกายกำยำนั้นได้เลยแม้แต่ร่องรอยเดียว

หว่างซานในร่างสัตว์มายาเริ่มปะทุเพลิงโทสะขึ้นมากดดันบรรยากาศอีกครั้ง ทันใดนั้นเองร่างกำยำก็ได้พุ่งตัวออกไปพร้อมกับกวัดแกว่งกรงเล็บทั้งสิบแหวกผ่านกลุ่มสายลมแล้วมุ่งสู่เบื้องหน้าของหลงเฉิน

หลงเฉินกัดฟันกรอด พลันจุดดารากักวายุที่ใต้ฝ่าเท้าก็ได้ไหลเวียนพลังปราณทั้งเจ็ดสายทั้งหมดทั้งมวลไปยังจุดตันเถียนอย่างกระชั้นชิดประดุจมหาสมุทรล้นทะลักออกมาจากเขื่อนอย่างไรอย่างนั้น เขาล้วงสองคมหมัดขึ้นจากสีข้างร่ายรำขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อเข้าประชันกับกรงเล็บแหลมคมทั้งสิบที่กำลังจ่อเข้ามา

“ตูมตูมตูม”

เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วทั้งผืนฟ้าจนเกิดวายุหมุนวนเป็นเสียงหวีดกระจายไปทุกทิศ กระตุ้นโสตประสาทของผู้คนทั้งหลายให้แตกตื่นขึ้นมาคล้ายกับเสียงอสุรกายจากขุมนรก ความน่ากลัวเข้ากดดันบรรยากาศจนไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายที่สั่นไหวได้

“สวรรค์ นี่เป็นระดับการต่อสู้อะไรกัน”

“ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว”

หนุ่มสาวที่ยังไม่เคยพบเจอกับการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้มาก่อนได้แต่เกิดอาการตกใจจนใบหน้าขาวซีดไปตามกัน แม้แต่เหล่าผู้เฒ่าที่ผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชนยังไม่อาจหยุดยั้งหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ในอกได้เลย ไม่มีผู้ใดทราบมาก่อนว่าหว่างซานจะเป็นอมนุษย์ผู้หนึ่งที่มีพลังทำลายล้างจนน่าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้

ยิ่งไปกว่านั้นหลงเฉินที่เคยถูกขนานนามว่าเป็นผู้ไร้ประโยชน์อันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิจะมีพลังการต่อสู้ทัดเทียมกับปีศาจอย่างหว่างซานนี้ได้

ในขณะนี้เงาเล็บทั้งสิบได้กับหมัดทลายวายุเข้าประสานงานกันจนเกิดประกายแสงสีอ่อนไปทั่วทั้งผืนฟ้า แรงระเบิดอันรุนแรงที่พัดฝุ่นควันจนคละคลุ้งไปทั่วก็ไม่อาจกลบความหวาดหวั่นของเซี่ยฉางเฟิงและเว่ยชางในตอนนี้ได้เลย

พวกเขาไม่อาจจะเชื่อในสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้าได้แม้แต่น้อย หลงเฉินที่มีขอบเขตพลังอยู่เพียงขั้นก่อรวมกลับปะทุพลังต่อสู้ที่สูสีกับสัตว์ประหลาดอย่างหว่างซานได้ถึงเพียงนี้ช่างน่าหวาดหวั่นเสียจริง แท้ที่จริงแล้วเขานั้นเป็นผู้ใดกันแน่?

เซี่ยฉางเฟิงชุบเลี้ยงหว่างซานเอาไว้อย่างลับลับ เขาคัดเลือกผู้คนหนึ่งพันคนเข้าฝึกฝนอย่างหนักหน่วงและยากลำบากจนหลงเหลือไม่ถึงเพียงสิบคนเท่านั้นที่สามารถเอาชีวิตรอดมาได้

และหว่างซานก็เป็นหนึ่งในสิบคนนั้น ความแข็งแกร่งของเขานั้นมากที่สุดในหมู่คนทั้งสิบจึงถูกจักรวรรดิต้าเซี่ยให้ความสำคัญและเลี้ยงดูจนแกร่งกล้าขึ้นอย่างยิ่งยวด

หรือจะกล่าวได้ว่าหว่างซานนั้นเป็นเครื่องมือสังหารที่มีชีวิต หากไม่ใช่เพราะหลงเฉินทำให้เซี่ยฉางเฟิงและเว่ยชางมีโทสะขึ้นมามากมายอย่างนี้ พวกเขาก็คงไม่มีวันที่จะไม่เปิดเผยความลับของเครื่องมือชิ้นนี้ออกมาอย่างแน่นอน

ในขณะเดียวกันหลงเฉินที่มีพลังยุทธ์เพียงแค่ขั้นก่อรวมระดับที่เจ็ด อีกทั้งเก้าดารายังถูกเบิกขึ้นมาเพียงหนึ่งเท่านั้น หากจะเอ่ยถึงระดับของพลังปราณที่แท้จริงนั้นย่อมห่างไกลจากหว่างซานนับพันลี้

หากไม่ใช่เป็นเพราะกล้ามเนื้อของหลงเฉินนั้นก็มีความแข็งแกร่งเช่นเดียวกันกับหว่างซาน อาจถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นส่วนไปตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้

“ชิ”

แขนของหลงเฉินถูกกรงเล็บของหว่างซานเฉือนเข้ามาจนได้ ถึงแม้ว่าจะพยายามหลบเลี่ยงแล้วก็ตาม อาภรณ์ส่วนแขนขาดรุ่งริ่ง อีกทั้งยังมีสายโลหิตซาดกระเซ็นออกมาหลายสาย

ภาพความเจ็บปวดและสภาพที่สะบักสะบอมของหลงเฉินปรากฏอยู่ในดวงตาคู่งามของฉู่เหยา ความเป็นห่วงถาโถมเข้ามาในจิตใจจนแทบจะกรีดร้องออกมา หยดน้ำตาร่วงลงสู่ตักของนางขณะที่กำลังนั่งอยู่ไม่สุข

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะแย่แน่ หว่างซานนั้นเป็นเสมือนสัตว์มายาตัวหนึ่งไปแล้ว แม้จะอยู่ในรูปลักษณ์ของมนุษย์อยู่ แต่พลังนั้นช่างมหาศาล อีกทั้งยังมีกรงเล็บที่แหลมคมดั่งเหล็กกล้าอีกด้วย”

หลงเฉินบังเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมาภายในจิตใจอย่างบ้าคลั่ง หากว่าไม่มีจิตวิญญาณของจักรพรรดิโอสถที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์แห่งการต่อสู้มาสถิตอยู่กับเขา ก็คงจะไม่มีชีวิตเหลือรอดมาได้จนถึงบัดนี้

“ปรมาจารย์หวินฉี ได้โปรดไปช่วยหลงเฉินเถิด” ฉู่เหยาอ้อนวอนด้วยน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม

“รออีกเดี๋ยวเถิด” ปรมาจารย์หวินฉีจ้องเขม็งไปที่หลงเฉิน

แท้ที่จริงแล้วภายในจิตใจของปรมาจารย์หวินฉีกลับมีความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอย่างถึงที่สุด หลงเฉินประสบผลสำเร็จในวิชาโอสถขั้นสูงที่ล้ำลึกเป็นอย่างมาก อันเป็นสิ่งที่น่ายินดีที่สุดสำหรับเขา

เขาเคยชี้แนะหลงเฉินว่าให้เขามุ่งเน้นใช้ความพยายามทั้งหมดในชีวิตอยู่กับการเป็นผู้หลอมโอสถเพียงเท่านั้น เพราะด้วยคุณสมบัติเช่นเขาย่อมต้องเดินในหนทางแห่งผู้หลอมโอสถได้อีกยาวไกลอย่างแน่นอน

แต่มีช่วงที่ข่าวลือเรื่องพลังการต่อสู้อันโดเด่นของหลงเฉินได้แพร่สะพัดไปทั่ว ทำให้เขาไม่อาจยอมรับได้หากหลงเฉินจะใช้พลังสมาธิทั้งหมดทุ่มเทเพื่อการฝึกฝนวิทยายุทธ์จนอยู่เหนือกว่าสายวิถีหลอมโอสถ

ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ลงมือมาโดยตลอด เพื่อที่จะเห็นด้วยสายตาของเขาเองถึงขีดจำกัดของหลงเฉินว่าอยู่ที่ใดกันแน่ ให้หลงเฉินประสบกับความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแล้วตัดสินใจเลือกเส้นทางที่แน่วแน่ด้วยตนเอง

หากผ่านพ้นจากความเป็นตายเช่นนี้ไปได้ ไม่ว่าหลงเฉินจะเลือกวิถีโอสถหรือวิถีแห่งยุทธ์ต่างก็สามารถที่จะยืนอยู่จุดสูงสุดได้อย่างง่ายดาย

“ชิ”

สายโลหิตพุ่งกระฉูดออกมาจากหน้าอกของหลงเฉิน รอยข่วนจากกรงเล็บทั้งสิบประดับอยู่กลางอกที่ถูกชโลมด้วยสีแดงชาดของโลหิตที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุด

“หลงเฉิน ข้าไม่ให้เจ้าตายไปอย่างสงบเช่นนั้นหรอก ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าข้าจะค่อยๆ ฉีกเจ้าให้เป็นชิ้นๆ เอง”

หว่างซานผู้นี้ได้ผ่านประสบการณ์ต่อสู้มาอย่างโชกโชน นี่เพิ่งจะเป็นการเริ่มต้นของความบ้าคลั่งเท่านั้นแต่กลับถูกหลงเฉินกดดันอยู่ไม่น้อยจนอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมา

หลงเฉินไม่ได้กล่าววาจาอันใดตอบกลับไป เขาเองก็สังเกตเห็นว่าที่ร่างของหว่างซานในเวลานี้ก็ได้มีร่องรอยบาดเจ็บขึ้นมาเช่นกัน แต่ก็ยังสามารถแสดงพลังที่น่าหวาดกลัวออกมาได้อย่างต่อเนื่อง

การต่อสู้ครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือดและรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับจุดควันหอมขึ้นมา หลงเฉินค้นพบว่าสภาวะร่างกายของหว่างซานมีความทนทานจนเกินมาตรฐานของมนุษย์ธรรมดาสามัญไปหลายเท่าตัวแล้ว หากเขายังคงปล่อยให้การต่อสู้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงไม่อาจที่จะเอาชนะหว่างซานได้

หลงเฉินเหวี่ยงคมหมัดเข้าปะทะกับกรงเล็บของหว่างซานอีกครั้ง ตลอดทั่วทั้งร่างของเขาก็ได้ปะทุพลังทำลายล้างจนซัดหว่างซานให้กระเด็นถอยหลังออกไปไกลหลายคืบ

หว่างซานคุกเข่าที่พื้นอย่างแน่นิ่ง ไม่โต้กลับมาแต่อย่างใด เขาเพียงแต่จ้องมองมาที่หลงเฉินอย่างอาฆาตมาดร้ายเสมือนสิงโตต้องการจะตะครุบเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น

ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วทั้งเขตลานประลองมายาวนานจนเหล่าผู้คนทั้งหลายคล้ายกับลืมเลือนที่จะหายใจไปเสียแล้ว เมื่อนึกขึ้นได้จึงผ่อนลมหายใจออกมาในทันทีทันใด

การปะทะกันของทั้งสองฝ่ายเป็นดั่งคลื่นพายุคลั่งในค่ำคืนที่มีฝนกระหน่ำจนทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะละสายตาไปได้ เอาแต่จ้องมองการต่อสู้นั้นอย่างใจจดใจจ่อ เหล่าหญิงสาวต่างก็ได้ใช้ทั้งสองฝ่ามือเกาะกุมไปหน้าอกฝั่งซ้ายของตัวเองอย่างแน่นเมื่อเห็นร่างของหลงเฉินชุ่มไปด้วยสายโลหิต

“คิดที่จะดิ้นรนจากความตายต่อไปอีกอย่างนั้นหรือ?” หว่างซานตวัดมือไปมาจนโลหิตของหลงเฉินที่ห่อหุ้มอยู่บนเล็บยาวสามคืบนั้นสาดกระเซ็นไปกลางอากาศ

อาภรณ์บนร่างของหลงเฉินหลุดลุ่ยจนไม่มีชิ้นดี เผยให้เห็นผิวหนังที่มีรอยแผลบาดลึกอยู่หลายสิบขีด สายโลหิตไหลซึมออกมาอย่างช้าๆ

“ดิ้นรนจากความตายอย่างนั้นหรือ? ดูเหมือนว่าจะยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอกนะ” หลงเฉินส่ายหน้าไปมาแม้ว่าทั่วทั้งร่างจะมีบาดแผลแต่เป็นเพียงการถลอกของผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น ทั้งที่ดูแล้วจะดูแสนสาหัสแต่กลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขามากมายเท่าใด

การต่อสู้ในวันนี้ช่างยากลำบากอย่างถึงที่สุด หลงเฉินยกให้ศึกนี้เป็นความลำเค็ญที่สุดตั้งแต่กำเนิดเกิดมา แต่ย่อมไม่ใช่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเขาอย่างแน่นอน

ขอเพียงเขาสามารถช่วงชิงโชคชะตาแห่งชีวิตกลับมาได้ หากต้องเผชิญการต่อสู้ที่คงจะดุเดือด อย่างซึ่งหน้ากันหลังจากนี้ เขาจำเป็นที่จะต้องถูกกดดันให้อยู่ในสภาวะที่เกือบจะตาย จึงจะสามารถกระตุ้นบางอย่างที่เขาต้องการขึ้นมาได้

การคิดที่จะสำเร็จในเชิงยุทธ์อย่างแท้จริงได้ จำเป็นจะต้องข้ามขีดจำกัดของความเป็นความตายไปให้ได้ก่อน มีเพียงแค่ความหวาดกลัวที่มีต่อความตายเท่านั้นที่จะสามารถทำให้คนผู้หนึ่งก้าวเดินในเส้นทางที่ยาวไกลมากขึ้น นี่เป็นชะตากรรมของยอดฝีมือที่จะเดินต่อในเส้นทางแห่งวิทยายุทธ์

การต่อสู้ในรอบเมื่อครู่ทำให้หลงเฉินเริ่มเข้าใกล้สภาวะแห่งความเป็นความตายแล้ว อีกทั้งยังได้ผนึกรวมกับจิตวิญญาณแห่งจักรพรรดิโอสถที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์การต่อสู้อีกส่วนหนึ่งด้วย

ศึกครั้งนี้จะประมาทไม่ได้อีกต่อไป หากเป็นเช่นนั้นอาจจะต้องกลายเป็นซากศพได้ในทันที มีแต่สภาวะจิตใจที่สูงส่งเช่นหลงเฉินเท่านั้นที่จะหาญกล้าพอที่จะกระทำเช่นนี้ได้

เขาเองเกิดความลำบากใจขึ้นมาไม่น้อยเช่นกัน เพียงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาเท่านี้ยังไม่อาจที่จะทานรับได้ แล้วจะเผชิญหน้ากับศัตรูที่ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อนได้อย่างไรกัน? เช่นนั้นจะจัดการกับสิ่งที่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? แล้วจะชำระความแค้นจากการถูกช่วงชิงทุกสิ่งไปจนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นก่อนหน้านี้ได้อย่างไรกัน?

เมื่อครู่ที่หลงเฉินได้ผ่านพ้นความเป็นความตายไปหลายครั้ง ประสาทสัมผัสของเขาก็เฉียบคมมากยิ่งขึ้น สภาวะจิตใจในตอนนี้เงียบสงบกว่าที่ผ่านมา สิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้คงจะเป็นช่วงเวลาแห่งการต่อสู้กับความเป็นตายที่แท้จริงแล้ว

“เจ้านั้นเอาแต่พูดถึงการดิ้นรนจากความตาย แต่ก็ช่างเถิด ต่อไปข้าผู้นี้จะทำให้เจ้าได้เห็นว่าอะไรคือ ‘การดิ้นรนจากความตาย’ ของข้า”

“ซูม”

ทันใดนั้นเองหลงเฉินได้ไขว้มือทั้งสองข้างเข้าหากัน เปลวเพลิงสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาแล้วหมุนวนอย่างรุนแรงแผ่ความร้อนระอุกระจายออกไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน ตลอดทั้งร่างของเขาก็ได้ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีเหลืองทองทอเป็นประกายเจิดจ้าเอาไว้

“อะไรกัน?”

เว่ยชางถึงกับดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ บนใบหน้าทอสีหน้าที่ว่ามีความคิดบางอย่างแต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็คิดไม่ออก พลันมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นแล้วชี้ไปที่หลงเฉินด้วยอาการสั่นเทา “เพลิงปราณคุ้มกาย? เป็นไปได้อย่างไรกัน? ”

นอกจากเว่ยชางที่เกิดอาการแตกตื่นขึ้นมาแล้ว ยังมีปรมาจารย์หวินฉีที่มีอาการไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย หลงเฉินสามารถใช้เพลิงปราณปกคลุมทั่วทั้งร่างกายได้?

เพลิงปราณคุ้มกายนั้นมีเพียงระดับเดียวกันกับปรมาจารย์หวินฉีและเว่ยชางเท่านั้นที่จะสามารถใช้ขึ้นมาได้ กระบวนท่านี้เป็นที่ทราบกันดีตามปกติแล้วว่าจะต้องเป็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตปรมาจารย์โอสถเท่านั้นที่จะมีพลังเพียงพอที่จะใช้ออกมาได้

ประกายแสงของเพลิงปราณนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้พลังที่ทรงอานุภาพ อีกทั้งยังต้องควบคุมพลังปราณโดยให้พลังแห่งจิตวิญญาณช่วยหนุนนำจึงจะสามารถทำได้

หากนับตามลำดับขั้นของหลงเฉินที่ยังอยู่ในระดับของผู้หลอมโอสถ และมีพลังของการฝึกยุทธ์แค่ขั้นก่อรวมระดับที่เจ็ดเท่านั้น แต่กลับใช้กระบวนท่าเช่นนี้ออกมาได้

โดยส่วนมากแล้วการเป็นศิษย์หลอมโอสถผู้หนึ่งก็จะต้องมีระดับพลังที่สูงกว่าขอบเขตขั้นก่อรวมถึงจะเป็นได้ หากระดับต่ำกว่านั้นจะไม่สามารถรวมพลังเพลิงปราณขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

แต่ว่าพลังขั้นก่อรวมจนสร้างเพลิงปราณขึ้นมาได้นี้ย่อมไม่ใช่ระดับของศิษย์หลอมโอสถเป็นแน่แท้ มีแต่เพียงต้องหลอมโอสถที่อยู่ในระดับที่ต้องการได้จึงจะสามารถเลื่อนขั้นจนกลายเป็นผู้หลอมโอสถ

และผู้คนจำนวนมากที่เป็นผู้หลอมโอสถต่างก็อยู่ในระดับขั้นก่อโลหิตขึ้นไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีพลังปราณเพียงพอที่จะหลอมโอสถขึ้นมาได้

มีเพียงคุณสมบัติที่สูงส่งยิ่งกว่าวิถีโอสถเท่านั้นที่จะสามารถรวมรวมพลังสู่ขอบเขตของผู้หลอมโอสถได้เหมือนกับหลงเฉินและเซี่ยปายฉือที่รวมพลังปราณเพื่อใช้หลอมโอสถในระดับที่สองจนกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่เรียกว่าผู้หลอมโอสถ

หรือต่อให้มีพรสวรรค์ที่มากกว่านี้ที่อยู่ในขอบเขตขั้นก่อรวมและมีสภาวะพลังมากพอจะสร้างเพลิงปราณคุ้มกายขึ้นมาได้ก็คงจะมีเพียงสองปรมาจารย์ที่ทราบกันดีอยู่แล้ว

หลงเฉินยืนแน่นิ่งอยู่บนสนาม ทั่วทั้งร่างกายถูกเปลวเพลิงสีเหลืองเข้มห่อหุ้มเอาไว้ เส้นผมพลิ้วไหวไปมาตามสายลม ดวงตาสะท้อนดวงดาราออกมา หลงเฉินในตอนนี้คล้ายกับถูกเทพเจ้าองค์หนึ่งสวมทับร่างอยู่อย่างไรอย่างนั้น ความล้ำลึกเช่นนี้ยากที่จะพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้

“ข้ามาแล้ว” . . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset