เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 47 หลอมรวมสัตว์เพลิง

หลงเฉินพลิกขวดหยกที่อยู่ในมือไปมา ภายในนั้นมีกลุ่มเปลวเพลิงเคลื่อนไหวอยู่กลุ่มหนึ่ง อีกทั้งยังแผ่ไอร้อนออกมารอบขวดจนเกิดความอบอุ่นอยู่บนฝ่ามือของเขา

สัตว์เพลิงได้ถูกยกย่องว่าสิ่งที่ล้ำค่ามาก สัตว์เพลิงหนึ่งขวดเป็นดั่งชีวิตของสัตว์มายาตัวหนึ่งที่มีระดับสองขึ้นไปเท่านั้น ผู้ที่ได้ครอบครองจำเป็นที่จะต้องเตรียมการบำรุงพลังสำหรับสัตว์เพลิงเอาไว้อีกด้วย

หลงเฉินได้ใช้สำนึกแห่งพลังเข้าตรวจสอบสัตว์เพลิงตัวนี้ ภายในขวดหยกอัดแน่นไปด้วยความพลังเพลิงดั่งเดิมเอาไว้ หากเป็นไปตามความทรงจำของหลงเฉินแล้วคงจะเป็นสัตว์เพลิงที่มาจากสัตว์มายาระดับสองขั้นสูงสุดตัวหนึ่งก็ว่าได้ ไม่แปลกใจเลยว่าเว่ยชางในตอนนั้นถึงมีท่าทีลังเลใจและทอสีหน้าปั้นยากประดุจได้สูญเสียภรรยาสุดที่รักไปอย่างไรอย่างนั้น

“ซูม”

หลงเฉินทำการไหลเวียนพลังเพลิงปราณขึ้นมาห่อหุ้มทั่วทั้งร่างกายเอาไว้ จากนั้นเขาก็เปิดขวดหยกออกอย่างช้าๆ แล้วนำสัตว์เพลิงอันบริสุทธิ์กลุ่มนั้นกลืนลงคอไปในทันที

“ตูม”

หลังจากที่ได้กลืนกินสัตว์เพลิงกลุ่มนั้นไป เดิมทีที่กลุ่มก้อนนั้นคล้ายกับของเหลวอย่างหนึ่งที่อยู่ในขวด เมื่อถูกกลืนลงไปกลับเป็นระเบิดลูกหนึ่งที่ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง

ปกติสัตว์เพลิงจะเป็นพลังชีวิตอันบริสุทธิ์ของสัตว์มายาอยู่แล้ว ภายในนั้นได้รวบรวมสภาวะจิตใจของสัตว์มายาดั่งเดิมที่มีความบ้าคลั่งอยู่ โดยส่วนมากหากจะใช้สำหรับวิถีโอสถจะต้องสยบสัตว์เพลิงตัวนั้นให้จงได้ จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาที่ยาวนานเพื่อจะขจัดจิตมารอันบ้าคลั่งจากสัตว์เพลิงให้หมดสิ้นไปทั้งมวล

หลงเฉินอดกลั้นแรงกระแทกที่เกิดขึ้นภายในร่าง รอคอยจนสยบการปะทุอย่างบ้าคลั่งของจิตมาร จากนั้นเขาก็ได้เริ่มไหลเวียนพลังเพลิงปราณของตัวเองเพื่อเชื่อมต่อกับสัตว์เพลิง แล้วค่อยๆ ทำให้สภาวะต่อต้านของสัตว์เพลิงนั้นลดทอนลงไป

แต่ว่าในช่วงเวลาเช่นนี้หลงเฉินไม่อาจที่จะรีรอให้การหลอมรวมเป็นไปอย่างช้าๆ ได้ การต่อสู้ในวันนี้ทำให้เขาได้เปิดเผยไพ่ตายของตัวเองออกไปแล้ว เขาจึงจำเป็นที่จะต้องมีไพ่ตายใบใหม่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเพื่อใช้ปกป้องชีวิตของเขาต่อไป

เซี่ยฉางเฟิงนั้นสูญเสียศาสตราวุธชิ้นสำคัญ ส่วนเว่ยชางนั้นก็สูญเสียสัตว์เพลิง ต่อให้ใช้ตาตุ่มคิดก็ยังพอจะเดาออกว่าพวกเขาเหล่านั้นคงจะไม่ยอมหยุดอยู่เพียงเท่านี้อย่างแน่นอน

ตลอดทั่วทั้งจักรวรรดิเฟิงหมิงก็ทราบกันดีว่าที่พึ่งของหลงเฉินนั้นมีแค่ปรมาจารย์หวินฉีเพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ว่าปรมาจารย์เป็นผู้นำของชุมนุมผู้หลอมโอสถจึงไม่อาจที่จะสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัวหรือศึกแก่งแย่งชิงดีภายในจักรวรรดิได้

นอกเสียจากว่าหลงเฉินจะยินยอมเข้าร่วมกับชุมนุมผู้หลอมโอสถอย่างไม่มีข้อแม้ ละทิ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับทางเฟิงหมิงทั้งหมด แต่ด้วยความทนทุกข์ทรมานจากการถูกข่มเหงมานานหลายปีเช่นนี้ ถ้าหากหลงเฉินไม่ตามหามือมืดข้างนั้น จะให้เขาวางใจลงได้อย่างนั้นหรือ?

ยิ่งไปกว่านั้นจะให้เขาทอดทิ้งฉู่เหยาเอาไว้เบื้องหลังได้อย่างไรกัน? ยิ่งเวลานี้ฉู่เหยาเองก็เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องราวเหล่านี้ด้วยเช่นกัน ทำชะตากรรมของนางช่างเหมือนกับเขาในอดีต จนคิดไปว่าผู้ที่ลงมือต่อฉู่เหยาจะเป็นคนเดียวกับที่ช่วงชิงรากปราณของเขาหรือไม่?

เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นยังไม่อาจคลี่คลายได้ จะให้เขานั้นปล่อยวางก็คงจะเป็นไปไม่ได้ การกล้ำกลืนความแค้นลงไปนั่นช่างยากยิ่งกว่าสิ่งใด ฉะนั้นเวลาของเขาช่างมีอยู่อย่างจำกัด ขอเพียงสามารถที่จะระเบิดความบ้าคลั่งออกมาได้อย่างสูงสุดและค้นหาวิธีในการหลอมสัตว์เพลิงได้ในทันที ด้วยเรื่องเช่นนี้เขาย่อมจะกระทำ

“ตูม”

ภายในร่างกายของหลงเฉินเกิดการปะทุขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่สัตว์เพลิงเคลื่อนเข้าสู่ช่องท้องแล้วก็คล้ายกับว่ามีเสือดาวแสนดุร้ายตัวหนึ่งพยายามที่จะออกมาสู่ภายนอกอย่างไม่คิดชีวิต อีกทั้งพลังความร้อนระอุที่พุ่งพล่านจนน่าหวาดกลัวนี้คล้ายกับจะแผดเผาหลงเฉินให้ตายลงไปในที่สุด

ผู้ใช้ที่ต้องการปลุกสัตว์เพลิงขึ้นมาจากการหลับใหล หากต้องการที่จะรักษาสภาวะพลังทำลายล้างของสัตว์เพลิงตัวนั้นเอาไว้จะต้องไม่ยับยั้งสัตว์เพลิงจนสงบลง ไม่เช่นนั้นแล้วจะทำให้ระดับของสัตว์เพลิงลดทอนลงไปเช่นเดียวกัน

หลงเฉินรู้สึกว่ากำลังถูกเผาไหม้ร่างกายจากสัตว์เพลิงของสัตว์มายาระดับสองขั้นสูงสุดอยู่ พลังอันมหาศาลระเบิดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งจนทำให้เขากระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง

เมื่อโลหิตสายนั้นพุ่งออกมาจากปากก็ได้กลายเป็นไอร้อนระอุขึ้นไปกลางอากาศ ราวกับว่าภายในร่างกายของเขาเป็นเหมือนเตาเพลิงเตาหนึ่งไปเสียแล้ว

“ชิ เป็นแค่สัตว์มายาระดับที่สองตัวเล็กๆ ยังกล้าที่จะขัดขืนต่อข้าอย่างนั้นหรือ”

หลงเฉินสบถวาจาออกมาด้วยความโมโห จากนั้นก็เริ่มไหลเวียนพลังที่จุดดารากักวายุจนเกิดพลังทั้งเจ็ดสายปะทุขึ้นมา เปลวเพลิงตลอดทั้งร่างแหวกว่ายไปมาแล้วเข้าเกาะกุมไปยังกลุ่มพลังของสัตว์เพลิงนั้นอย่างหนาแน่น

สัตว์เพลิงกลุ่มนั้นยังคงระเบิดความบ้าคลั่งออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเพลิงปราณของหลงเฉินในตอนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่เมื่อมีจุดดารากักวายุและพลังจากขุมพลังทั้งเจ็ดสายก็ย่อมเพิ่มสูงขึ้นมาอย่างไร้เทียมทาน

ตั้งแต่ที่สัตว์เพลิงกลุ่มนั้นอยู่ในช่องท้องก็ยังเคลื่อนที่ไปมา พุ่งไปทางซ้ายทีทะลวงไปทางขวาที แต่บัดนี้กลับถูกผนึกเอาไว้ได้ด้วยพลังของหลงเฉิน ไม่ว่าสัตว์เพลิงตัวนั้นจะขัดขืนเช่นไรก็เปล่าประโยชน์

ผ่านไปชั่วครู่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอันใดจากสัตว์เพลิงตัวนั้น หลงเฉินใช้พลังหลอมรวมทั้งหมดออกมาจนพลังความบ้าคลั่งรวมไปถึงจิตมารก็ถูกมอดไหม้จนดับไป สัตว์เพลิงตัวนั้นจึงค่อยๆ สงบลง

แม้ว่าหลงเฉินจะคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว แต่ทว่าก็ยังอดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งด้วยความอ่อนล้า บนศีรษะของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อไคลที่ไหลอาบลงมาจนอาภรณ์เปียกชุ่มไปจนหมด

รู้สึกเหมือนกับร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ภายในจิตใจเกิดความคัดแย้งขึ้นมาบางอย่าง อย่างหนึ่งคือไม่ได้สนใจในพลังของสัตว์เพลิงแต่อย่างใด แต่อีกอย่างกลับรู้สึกคาดหวังกับพลังนั้นอย่างแรงกล้า ทั้งตกใจทั้งไม่แยแสอยู่ในเวลาเดียวกัน

หลงเฉินฝืนยิ้มขึ้นมา เขาคิดว่าการได้ผนึกรวมเข้ากับจิตวิญญาณของจักรพรรดิโอสถอันดับหนึ่งแห่งยุคคงจะแกร่งกล้าพอตัว จักรพรรดิโอสถผู้นั้นคงจะไม่เห็นสัตว์เพลิงเช่นนี้อยู่ในสายตาอยู่แล้ว

แต่กลับเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเขาในตอนนี้  เพราะสัตว์เพลิงตัวนี้เป็นเสมือนใบเบิกทางอันแรกเพื่อทำให้เขาได้เข้าสู่วิถีโอสถอย่างแท้จริง

หลงเฉินยังคงหลอมรวมพลังเอาไว้ไม่หยุด พลังสัตว์เพลิงกลุ่มนั้นกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง แต่เดิมที่เป็นเปลวเพลิงที่ร้อนระอุแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นสายน้ำอุ่นๆ สายหนึ่ง นี่ถือว่าเป็นการหลอมรวมอย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่มีสภาวะจิตมารอันบ้าคลั่งเกิดขึ้น

โดยส่วนมากแล้ววิถีโอสถจำเป็นจะต้องมีเพลิงปราณเสมือนเป็นขั้นแรกเริ่ม เพลิงปราณคือพลังลมปราณที่อยู่ภายในจุดตันเถียนที่มีการไหลเวียนของพลังที่แน่นอนและชัดเจน จนทำให้พลังปราณนั้นถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายด้วยอุณหภูมิที่ร้อนแรง

เพลิงในที่นี้ไม่อาจใช้เทียบกับอุณหภูมิดั้งเดิมภายในร่างกายของผู้คนธรรมดาสามัญได้ เพลิงปราณจึงจำเป็นที่ต้องมีการฝึกฝนให้มากพอที่จะใช้เบิกทางสู่หนทางแห่งวิถีโอสถ

หากกล่าวถึงผู้ที่จะทำเช่นนั้นได้แทบจะมีเพียงหนึ่งในพันเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ผู้ที่จะเข้าสู่วิถีโอสถจึงขาดแคลนอย่างมาก แต่ว่าก็ยังมีผู้คนอยู่กลุ่มหนึ่งที่มีพรสวรรค์ภายในจุดตันเถียนมาตั้งแต่กำเนิด จึงเป็นเสมือนเครื่องมือที่พร้อมด้วยพลังแห่งเปลวเพลิงอยู่แล้ว เมื่อได้ฝึกฝนจนสำเร็จเป็นเพลิงปราณก็จะเรียกได้ว่าเป็นเพลิงปราณที่แท้จริง

ผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นนั้นอาจจะกลายเป็นหนึ่งในสิบล้านเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นผู้ที่จะเข้าสู่เส้นทางของวิถีโอสถต่างก็มีสภาวะที่คล้ายคลึงกับหลงเฉินคือต้องปลุกเพลิงปราณขึ้นมาจากการหล่อหลอมเข้ากับสัตว์เพลิง

แต่สัตว์เพลิงเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด ไม่อาจใช้เงินตราใดมาวัดค่าของมันได้ ในจักรวรรดิเฟิงหมิงคงจะมีเพียงปรมาจารย์หวินฉีเท่านั้นที่จะหลอมรวมพลังแห่งสัตว์เพลิงเอาไว้ได้

ขั้นต่อไปคือการเก็บพลังเปลวเพลิง หลงเฉินมองเข้าไปยังกลุ่มก้อนของพลังสัตว์เพลิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความลำบากใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว

โดยส่วนมากแล้วหลังจากการหล่อหลอมสัตว์เพลิงของวิถีโอสถจะนำพลังเปลวเพลิงไปกักเอาไว้ภายในจุดตันเถียนเพื่อใช้ชักนำสัตว์เพลิงเข้าสู่หนทางในการฝึกยุทธ์ไปในตัวด้วย

แต่ว่าหลงเฉินไม่อาจที่ทำเช่นนั้นได้ อย่างแรกก็คือพลังลมปราณที่เขาใช้ออกมานั้นไม่ได้ออกมาจากจุดตันเถียนแต่มาจากจุดดารากักวายุ

อย่างที่สองคือวิชาที่เขาฝึกนั้นเป็นเคล็ดกายานวดารา ซึ่งเป็นวิชาที่มีความลี้ลับและแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จนทำให้เขามีพลังฝีมือที่ก้าวกระโดด ต่อให้ทุบตีเขาจนตายก็ไม่อาจปล่อยกายานวดาราไปเพื่อที่จะก้าวเข้าสู่เส้นทางของวิถีโอสถ

“ได้การล่ะ”

ทันใดนั้นหลงเฉินก็ได้ปะทุพลังปราณขึ้นมาชักนำพลังสัตว์เพลิงกลุ่มนั้นไปไว้ยังใจกลางของจุดตันเถียน จากนั้นก็ชักนำขุมพลังทั้งเจ็ดสายเข้ารายล้อมพลังสัตว์เพลิงกลุ่มนั้นเอาไว้อย่างช้าๆ

“ลองดู”

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง ที่เขากำลังทำอยู่นั้นถือว่าเป็นการทดลองอย่างอาจหาญจนเกินไปแล้ว เขาไหลเวียนพลังอีกขุมหนึ่งขึ้นมาดูดซับสัตว์เพลิงนั้นเอาไว้

เมื่อการดูดซับของขุมพลังเสร็จสิ้นลง พลังของสัตว์เพลิงกลุ่มนั้นนิ่งสงบ ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านขึ้นมาแต่อย่างใด อีกทั้งยังถูกหลงเฉินควบคุมอย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็ได้สลายเส้นลมปราณทั่วทั้งร่าง

เปลวเพลิงที่ลุกโชนจากสัตว์เพลิงก็ได้สลายเข้าไปทั่วทุกอนุภาคของร่างกาย จนร่างกายของเขานั้นเกิดความอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย

หากสัตว์เพลิงได้ถูกหล่อหลอมจนเข้าถึงแก่นแท้แล้ว ก็จะทำให้ใช้ระดับพลังของมันได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น พลังของสัตว์เพลิงกลุ่มนั้นเริ่มหลั่งไหลและแทรกซึมเข้าสู่เส้นลมปราณทั้งหมดของหลงเฉิน

ด้วยวิธีการอันบ้าบิ่นเช่นนี้ย่อมเป็นเสมือนการเบิกทางสู่การเริ่มต้น (先河ก่อลำธาร) ไม่มีผู้ใดกระทำการทดลองเช่นนี้อย่างแน่นอน หรือแม้แต่จักรพรรดิโอสถภายในความทรงจำของเขาเองก็ยังไม่เคยกระทำเช่นนี้มาก่อน

*先河อุปมา ถึงการ ขุดคลองในจีนมาสมัยก่อน หรือ อีกความหมายก็คือการเริ่มต้น

หลังจากที่ได้สลายสัตว์เพลิงเข้าสู่เส้นลมปราณแล้ว ความปลื้มปิติก็ถาโถมเข้ามาภายในจิตใจของหลงเฉิน เส้นลมปราณของเขาได้ถูกเบิกขึ้นมาอีกหลายส่วนจนไม่อยากจะเชื่อ

ภายในเส้นลมปราณทุกเส้นเปรียบเสมือนสายน้ำที่ไหลอย่างเชี่ยวกราด อีกทั้งยังมีความลึกล้ำที่มากมายเกินจะคาดเดาได้ หากตกอยู่ในสภาวะการต่อสู้ที่พลังปราณเพิ่มมากขึ้นก็สามารถปะทุพลังทำลายล้างอันมหาศาลได้อีกหลายเท่าตัว

หากจะเปรียบเทียบให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ จุดตันเถียนเป็นเหมือนมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ เส้นลมปราณก็เหมือนกับลำธาร เมื่อถึงเวลาต่อสู้จำเป็นที่จะต้องชักนำน้ำจากมหาสมุทรใหญ่ผ่านเข้ามายังลำธารแต่ละแห่งนั่นเอง จนเพียงพอที่จะปะทุพลังออกมาเพื่อใช้ทักษะยุทธ์ในอีกระดับหนึ่งได้

แต่หากว่าทักษะยุทธ์นั้นมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่า ก็จำเป็นจะต้องมีพลังที่สูงมากขึ้นไปด้วย หากพลังไม่มากพอก็อาจสูญเสียพลังจากเส้นลมปราณไปจนหมดเสียก่อนที่จะได้ทำลายศัตรูด้วยซ้ำ

ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในการคำนวณของหลงเฉินอยู่แล้วว่าเหตุใดถึงยังไม่อาจใช้พลังในการควบคุมวิชาเบิกสวรรค์ได้ก็เพราะว่าเส้นลมปราณของเขานั้นมีความลึกล้ำไม่เพียงพอนั่นเอง

แต่ว่าจากการทดลองในวันนี้กลับทำให้เขาดีใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมา วิธีการที่บ้าบิ่นนั้นเป็นเสมือนการต่อเส้นลมปราณของเขาให้มีมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะใช้สำหรับบำรุงสัตว์เพลิงและเพื่อให้พลังทั้งสองสายนั้นหนุนเสริมเข้าด้วยกัน

ถึงแม้ว่าผู้ที่อยู่ในเส้นทางวิถีโอสถจะใช้วิธีอื่นในการสลายสัตว์เพลิงเข้าสู่จุดตันเถียนจนเพิ่มพูนระดับพลังฝึกยุทธ์ได้ แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับการสลายเข้าสู่เส้นลมปราณจนเกิดประโยชน์ที่มากกว่าหลายเท่าตัวนี้ได้

“เอาล่ะ จะเป็นมังกรหรืองูดินนั้นก็คงต้องรอดูกันต่อไป ช่วยหน่อยนะ”

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งหนึ่งแล้วภาวนาอยู่ในใจ เขาเริ่มผสานสัตว์เพลิงเข้าสู่เส้นลมปราณอย่างช้าๆ เพื่อที่จะเข้าสู่จุดรวมพลังภายในจุดตันเถียน

“ซูม”

บนฝ่ามือของหลงเฉินมีเปลวเพลิงสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา เปลวเพลิงสีแดงอ่อนที่เพิ่งจะปะทุขึ้นมานั้นก็ได้ทำให้สภาพอากาศใกล้เคียงเกิดความแปรปรวนขึ้นมาวุ่นวาย

หลงเฉินพยักหน้าไปมาด้วยความพึงพอใจ นี่เพิ่งจะหล่อหลอมไปไม่นานก็มีพลังทำลายถึงระดับนี้ได้แล้ว หากเทียบกับเพลิงปราณก่อนหน้านี้แล้วนับได้ว่าแข็งแกร่งกว่าหลายเท่า

เขาเริ่มลังเลใจขึ้นมาอยู่ชั่วครู่ จนท้ายที่สุดก็ได้กัดฟันกรอดแล้วเริ่มไหลเวียนพลังปราณสายหนึ่งจากจุดดารากักวายุอย่างช้าๆ และระมัดระวัง เขาจดจ่ออยู่กับขุมพลังที่อยู่ภายในร่างกายเป็นอย่างมาก

เดิมทีที่ไหลเวียนขุมพลังทั้งเจ็ดสายอย่างช้าๆ เพียงพริบตาเดียวก็จะขยายใหญ่ขึ้น

“แท้ที่จริงแล้วสามารถที่จะทำได้หรือไม่นะ”

หลงเฉินรู้สึกกังวลขึ้นมาไม่น้อยราวกับมีเสียงกลองตีระรัวขึ้นมาในขณะที่กำลังจ้องมองไปที่เปลวเพลิงบนฝ่ามือ

แต่ทว่าหลงเฉินก็ยังคงชักนำขุมพลังอันมหาศาลจากทั้งเจ็ดสายขึ้นมารวมตัวกันจนกลายเป็นกลุ่มเปลวเพลิง

“ซูม”

หลงเฉินสัมผัสได้ถึงการสั่นไหวของร่างกายราวกับมีระเบิดปะทุออกมาอย่างไรอย่างนั้น บนฝ่ามือเกิดเปลวเพลิงสายยาวหนึ่งเซียะขึ้นมาสายหนึ่ง ต่อมาก็ได้ปะทุสูงขึ้นอีกหนึ่งเซียะ

“แย่แล้ว”

หลงเฉินแตกตื่นจนรีบรั้งเปลวเพลิงกลับมาแล้วก็ได้ฟาดฝ่ามือข้างนั้นเข้าไปที่ผนังห้อง

เปลวเพลิงที่อยู่กลางฝ่ามือเมื่อครู่ เมื่อถูกประทับไปที่ผนังห้องด้วยระดับอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นนั้นก็ได้เกิดเพลิงเผาผลาญปะทุขึ้นมาที่ผนังด้านนั้น

“เพล้ง”

หลงเฉินใช้มือปัดเป่าจนเพลิงได้มอดดับลงไป แต่ทว่าผนังห้องที่ถูกหลงเฉินใช้ฝ่ามือฟาดไปนั้นได้กระจุยกระจายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

เมื่อได้มองขึ้นไปยังดวงดาวที่อยู่บนฟากฟ้าคล้ายกับมองผ่านหน้าต่างห้อง หลงเฉินแทบจะร่ำไห้ออกมาอย่างไร้ซึ่งน้ำตา มายังบ้านของผู้อื่นเพียงไม่ทันไรก็เผาห้องหับไปเสียแล้ว ต่อให้ชดใช้ค่าห้องไปก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเป็นแน่!

ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าของผู้คนเดินใกล้เข้ามา ทุกคนต่างก็อยู่ในอาการตกใจจนตัวแข็งทื่อไปทั้งหมด ภายในห้องนั้นคละคลุ้งไปด้วยควันจากการเผาไหม้ ความเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตเช่นนี้ทำให้พวกเขาได้ยินไปจนทั่วทั้งจวน

บิดาของซือเฟิงมองไปยังใบหน้าที่ไม่สู้ดีของหลงก็เอาแต่ยิ้มขึ้นมาแต่ไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกไป เพียงแต่สั่งให้คนไปตระเตรียมห้องหับให้หลงเฉินอีกห้องหนึ่ง

พอหลงเฉินมีท่าทีที่จะกล่าวบางอย่างออกมา บิดาของซือเฟิงก็ได้ตบเข้าไปที่ไหล่ของเขา แล้วยิ้มให้ “เจ้าเป็นถึงสหายของซือเฟิง ก็เหมือนกับเป็นญาติสนิทของตระกูลของเราไปเสียแล้ว”

เมื่อหลงเฉินย้ายไปอยู่ห้องใหม่ เขาก็ไม่อาจหาญพอที่จะเข้าถึงพลังวิชาอย่างเปิดเผยอีกครั้ง ได้แต่นั่งสมาธิอยู่บนเตียงพร้อมกับไหลเวียนพลังไปมา ซึมซับพลังปราณฟ้าดิน และจดจ่อไปยังใจกลางของจุดดารากักวายุ

ในเช้าวันที่สองที่แสงอรุณยังไม่ทันจะโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า หลงเฉินลืมตาขึ้นมาจากสมาธิแล้วภายในร่างของเขาก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง

“ตูม”

แววตาทั้งสองของเขาบังเกิดความปิติยินดีขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าการผ่านพ้นศึกใหญ่ของเขากับหว่างซานจะทำให้ทะลวงพลังขึ้นไปได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้จนสามารถเข้าสู่พลังขั้นก่อรวมระดับแปดได้แล้ว

หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว เขาก็ดูอาการให้ซือเฟิงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อตรวจสอบดูแล้วพบว่าไม่ได้เป็นมีอาการน่าเป็นห่วงแล้วก็ได้ทิ้งโอสถไว้ให้ซือเฟิงอีกสองเม็ด จากนั้นเขาก็ร่ำลาตระกูลซือแล้วมุ่งหน้าไปยังชุมนุมผู้หลอมโอสถในทันที  . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset