เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 53 โอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูก

“ครืน”

เตาหลอมโอสถปะทุไอร้อนระอุขึ้นมาเป็นสาย ก่อนที่จะค่อยๆ สงบลงจนเข้าสู่สภาวะปกติ มือข้างหนึ่งเปิดฝาเตาออกอย่างช้าๆ ภายในเตาบังเกิดประกายแสงลอดผ่านออกมาจนห้องหับสว่างไสวไปทั่วทั้งหมด

หลงเฉินชะโงกหน้ามองลงไปในเตาหลอม โอสถเม็ดกลมเม็ดหนึ่งกำลังเกลือกกลิ้งไปมา พลันดวงตาของเขาก็เบิกกว้าขึ้นอย่างแตกตื่น——โอสถระดับสูง ในที่สุดก็สามารถหลอมโอสถระดับสูงขึ้นมาได้แล้ว

โอสถระดับล่างจะใช้กลิ่นหอมของโอสถเป็นตัวบ่งบอก ส่วนโอสถระดับกลางดูได้จากร่องรอยของเม็ดโอสถ และโอสถระดับสูงนั้นจะดูที่ประกายของแสงสว่างที่เกิดจากตัวของโอสถเอง

นอกจากปรมาจารย์หวินฉีแล้วทั่วทั้งจักรวรรดิเฟิงหมิงก็ไม่มีผู้ใดสามารถหลอมโอสถระดับสูงขึ้นมาได้ แต่ในตอนนี้หลงเฉินได้กลายเป็นคนที่สองไปแล้ว

“แม้ว่าประกายแสงนี้จะสว่างไสวแต่ก็อาจมาจากเพลิงปราณ อีกทั้งพลังฝีมือที่ยังไม่สมบูรณ์แบบจึงทำให้เกิดจุดด่างพร้อยอยู่มากพอควร แต่ได้ถึงระดับนี้ก็เพียงพอใจแล้ว”

หลงเฉินมองไปยังโอสถระดับสูงที่อยู่บนฝ่ามือด้วยความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นมาอย่างเปี่ยมล้น โอสถเม็ดนี้มีนามว่าโอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูก

โอสถที่หลอมจนขึ้นมาสำเร็จนี้เกิดจากภาพแห่งความทรงจำของจักรพรรดิโอสถที่อยู่ในจิตสำนึกของหลงเฉิน ถึงแม้ว่าจะเป็นโอสถระดับสูงเพียงเม็ดเดียวแต่ว่าด้วยยุคสมัยนี้ไม่ว่าจักรวรรดิใดก็ยกย่องให้วิชาการหลอมโอสถเป็นศิลปะขั้นสูงที่สุด

ด้วยเหตุนี้โอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกระดับสูงที่อยู่ในมือของหลงเฉินจึงถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดแล้ว หลงเฉินจัดเก็บโอสถเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วเริ่มหลอมโอสถใหม่ตลอดทั้งคืน ถึงแม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้าอยู่เต็มประดาก็ตาม

เวลาล่วงเลยผ่านไปจนเป็นช่วงที่ท้องนภากำลังจะส่องสว่างในอีกหนึ่งชั่วยาม หลงเฉินก็ได้เอนกายพร้อมกับปิดเปลือกตาลงเพื่อพักสมาธิจนค่อยๆ กลับคืนมาอย่างช้าๆ

หลังจากที่เขาได้ดูดซับสัตว์เพลิงไปเมื่อก่อนหน้านี้ก็ทำให้ระดับความแข็งแกร่งของเพลิงปราณเพิ่มสูงขึ้นมากว่าเดิมนับสิบเท่า ฉะนั้นการจะควบคุมสัตว์เพลิงได้นั้นย่อมผลาญพลังแห่งจิตวิญญาณไปเป็นอย่างมากเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้นหลงเฉินที่มีเพลิงปราณที่ก่อเกิดขึ้นมาใหม่ และยังไม่ได้ปรับให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมจึงยิ่งสูญเสียพลังแห่งจิตวิญญาณมากขึ้น เขาจึงจำเป็นจะต้องพักฟื้นพลังอีกสักพักใหญ่

เมื่อแสงแรกจากดวงอาทิตย์ได้สอดส่องเข้ามาตามช่องประตูและหน้าต่าง หลงเฉินรู้สึกตัวและลืมตาตื่นขึ้นมาจากนิทรา

เมื่อได้ทานอาหารเช้าจนอิ่มหนำสำราญแล้ว หลงเฉินก็ได้นำโอสถไปลงทะเบียนไว้ที่หมู่ตึกฮวาหวิน ในที่สุดก็ถึงวันที่งานประมูลที่จัดขึ้นปีละหนึ่งครั้งกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

งานประมูลของหมู่ตึกฮวาหวินจะเริ่มขึ้นในตอนกลางวัน ซึ่งจะดำเนินการประมูลไปต่อเนื่องสามวันเต็มๆ ฉะนั้นในเวลานี้จึงไร้ซึ่งวี่แววของผู้คนที่จะเข้าร่วมงาน มีเพียงหลงเฉินเท่านั้นที่มาเป็นคนแรก

หมู่ตึกฮวาหวินตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเฟิงหมิง สถานที่แห่งนี้อยู่ในพื้นที่ที่เป็นใจกลางของจักรวรรดิเลยก็ว่าได้ ตัวตึกมีความสูงเกือบร้อยช่วงตัวและถูกปลูกสร้างให้มีรูปลักษณ์ที่สวยงามดูภูมิฐาน

หลงเฉินเดินเข้ามาถึงห้องโถงใหญ่ภายในหมู่ตึกฮวาหวิน ทันใดนั้นเขาก็ได้พบกับหญิงสาวรูปร่างดีทั้งสี่คนกำลังส่งยิ้มกว้างมาให้ และกล่าวทักทายต่อหลงเฉินว่า

“ยินดีต้อนรับนายท่าน เรียนถาม……อา”

หญิงสาวเหล่านั้นคงจะเคยชินกับการต้อนรับดีอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นว่าร่างเงาที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าของพวกนางนั้นเป็นหลงเฉินผู้แข็งแกร่ง ใบหน้าทั้งสี่กลับเกิดอาการปากอ้าตาเบิกกว้างขึ้นมาในทันที

หลงเฉินทอสีหน้าโง่งมขึ้นมาแล้วก้มมองไปยังอาภรณ์ของตัวเอง เขาก็เพิ่งจะผลัดเปลี่ยนไปแล้วก่อนออกมาจากจวน ก็ไม่ควรจะไม่มีปัญหาอันใดจึงจะถูกไม่ใช่หรือ

“ยามเช้าตรู่เช่นนี้กลับซุบซิบกันวุ่นวาย นี่พวกเจ้าทำสิ่งใดกันอยู่ หลายวันก่อนข้าก็ได้สั่งสอนเรื่อฃกิริยามารยาทให้พวกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรืออย่างไรกัน เหตุใดถึงยังทำตัวเช่นนี้กันได้……อา หลงเฉินซื่อจื่อ?”

ชายหนุ่มที่มีใบหน้าสะอาดหมดจดผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นมาจากเบื้องหลังของหญิงสาวเหล่านั้น เขาสวมอาภรณ์ที่มิดชิดและดูแปลกตา เขาเดินตรงมายังกลุ่มของหญิงสาวแล้วกล่าวตักเตือนถึงกิริยาท่าทางที่ควรสงบเสงี่ยม แต่ทว่าเมื่อสายตาของเขาประสานเข้ากับสายตาของหลงเฉินก็อดร้องเสียงหลงออกมาด้วยความตกใจเป็นไม่ได้

“ฟู่กุ้ย ไม่เจอกันนานเลย” หลงเฉินยิ้มกว้างแล้วกล่าวทักทายออกไป

ชายหนุ่มผู้นั้นคือคนที่มาเชื้อเชิญให้หลงเฉินเข้าร่วมงานประมูลนั่นเอง แม้ว่าเวลาจะผ่านไปยาวนานแล้ว แต่หลงเฉินก็ยังจดจำชื่อเสียงเรียงนามของเขาได้ก็เป็นเพราะว่านามนั้นมีความพิเศษเป็นอย่างยิ่ง

นามฟู่กุ้ยนั้นมักจะถูกนำไปตั้งให้สัตว์เลี้ยงเท่านั้น นี่ก็ถือได้ว่าเขานั้นประสบผลสำเร็จแล้เมื่อผู้คนสามารถจดจำนามของเขาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน จึงใช้ที่พิสูจน์ได้แล้วว่าเขานั้นเฉิดฉายในอาชีพนี้ได้แล้ว

เมื่อฟู่กุ้ยเห็นหลงเฉินจึงเกิดความปิติยินดีขึ้นมาเสียยกใหญ่ ในหนึ่งปีเขาสามารถเชื้อเชิญแขกภายนอกได้เพียงสามคนเท่านั้น และแต่ละคนต่างก็ได้ถูกเชิญไปจนหมดแล้ว

จากสามคนนั้นก็มีนักท่องยุทธภพที่มีพลังฝีมืออันร้ายกาจ อีกหนึ่งนั้นก็เป็นพ่อค้าที่มีฐานะมั่งคั่งผู้หนึ่งแต่หลังจากผ่านการตรวจสอบแล้วก็พบว่าไม่มีสิ่งของใดสามารถจูงใจให้พวกเขาเข้าร่วมงานประมูล

แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้แล้ว เหล่าแขกมากมายต่างก็ถูกผู้ดูแลในระดับสูงกว่าทำการเชื้อเชิญไปจนหมดสิ้นแล้ว ต่อให้เขาพยายามจะไขว่คว้าเอาไว้เพียงใดก็ยังยากที่จะกระทำได้

ฟู่กุ้ยจึงให้ความสนใจต่อหลงเฉินแต่เพียงผู้เดียวมาโดยตลอด หลังจากที่หลงเฉินได้รับการเชื้อเชิญจากเขาก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาแต่อย่างใดจนทำให้เขาเกือบจะต้องหนักใจขึ้นมาอีกครั้ง

ยิ่งเข้าใกล้วันงานที่จะเริ่มต้นในวันนี้แล้ว ในใจของฟู่กุ้ยก็ยิ่งสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆ เดิมทีเขาคิดว่าในปีนี้อาจจะพอมีความหวังขึ้นมาได้บ้าง แต่เอาเข้าจริงก็คงจะต้องรอชี้เป็นตายในปีหน้าอย่างนั้นกระมัง แต่เมื่อร่างเงาของหลงเฉินได้ปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้าของเขา ความหวังที่ที่ได้ถูกฝังไปก็คล้ายกับได้เกิดขึ้นมาใหม่อย่างไรอย่างนั้น จนไม่อาจจะปกปิดความลิงโลดภายในจิตใจเอาไว้ได้เลย

“หลงเฉินซื่อจื่อ หลงเฉินซื่อจื่อ ในที่สุดท่านก็มาจนได้ ข้าคิดว่าท่านหลงลืมเรื่องนี้ไปแล้วเสียอีก” ฟู่กุ้ยยิ้มกว้างด้วยความดีใจจนถึงที่สุด

“เหอะเหอะ ต้องขออภัยด้วย ช่วงนี้มีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นมากมาย แต่ครั้งนี้ข้าได้นำของบางอย่างมาด้วย ช่วยเรียกผู้ประเมินของพวกเจ้าออกมาที จะได้เจรจาเรื่องการประมูลในครั้งเดียว นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาแล้วคงจะต้องรีบหน่อย” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าวต่อฟู่กุ้ย

“ได้ได้ หลงเฉินซื่อจื่อ เชิญตามข้ามา” เมื่อทราบว่าหลงเฉินได้นำสิ่งของมาประมูลด้วย ฟู่กุ้ยก็ยิ่งดีใจขึ้นมามากกว่าเดิม เขารีบเชื้อเชิญให้หลงเฉินตามขึ้นไปยังชั้นบนทันที

หญิงสาวสี่นางเมื่อครู่ยังคงยืนเหม่อมองไปยังเงาร่างของหลงเฉินที่กำลังหายลับไปจากลานสายตาของพวกนาง

“สวรรค์ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้พบมากับบุคคลที่เขาเล่าลือถึงความน่าเกรงขาม”

“เขาเป็นถึงรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิเชียวนะ ที่ได้ต้อนรับอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นจนแทบตายแล้ว”

ในระหว่างที่หญิงสาวเหล่านั้นกำลังกระซิบกระซาบอยู่ที่ชั้นล่างนั้น หลงเฉินก็เดินตามฟู่กุ้ยจนมาถึงห้องพิเศษชั้นสองที่ดูหรูหราแห่งหนึ่ง

เมื่อพวกเขาก้าวเข้าสู่ห้องพิเศษ ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวสวมชุดโบราณเดินตรงเข้ามาหาแล้วโค้งคำนับลงตรงหน้าของหลงเฉิน หลังจากนั้นนางก็รินน้ำเพื่อชำระล้างใบชาด้วยน้ำแรก นางคงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการชงชาผู้หนึ่งอย่างแน่นอน

“หลงเฉินซื่อจื่อ เชิญดื่มน้ำชาก่อนเถิด ข้าจะรีบไปตามผู้ประเมินมาให้ ไม่ทราบว่าท่าจะใช้นามแฝงว่า……” ฟู่กุ้ยเอ่ยถามขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เพราะในการประเมินสิ่งของแต่ละชิ้นจะถูกประเมินจากผู้ประเมินคนละคนกัน

“ตันเย่า (โอสถ丹药)” หลงเฉินยิ้มน้อยๆ แล้วตอบกลับไป

ฟู่กุ้ยทอแววตาเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด กล่าวอย่างรีบร้อนว่า “โปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบไปแล้วรับกลับมา”

“ท่านซื่อจื่อโปรดรับน้ำชาเอาไว้ด้วย”

หญิงสาวผู้เชี่ยวชาญในการชงชาใช้สองมือพยุงไปที่แก้วชาแล้วเดินเข้ามาอย่างช้าๆ แม้แก้วชาจะยังมาไม่ถึง แต่กลิ่นอันหอมหวนของชากลับโชยพัดมาก่อนอย่างรุนแรง

“เป็นชาที่ดียิ่งนัก”

หลงเฉินจิบน้ำชาแก้วนั้นอย่างช้าๆ ความอบอุ่นบางอย่างตลบอบอวลไปทั่วทั้งปาก ผสมผสานกับกลิ่นอันหอมหวานของชาทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าคล้ายกับได้ขึ้นสวรรค์

“ชาว่าดีแล้วแต่ผู้ชงนั้นดียิ่งกว่า” หลงเฉินมองไปยังหญิงสาวผู้เชี่ยวชาญในการชงชาแล้วยิ้มให้นาง

หญิงสาวนางนั้นมีใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาคู่งามเบือนหนีจากการสบสายตากับหลงเฉิน เป็นที่น่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง หลงเฉินที่เกิดความชื่นชมต่อนางอยู่แล้วส่วนหนึ่ง แต่เพียงครู่เดียวที่นางแสดงความเขินอายขึ้นมาเช่นนั้นก็ทำให้เขาแทบจะลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างไปเลย

หญิงสาวผู้นั้นถือว่ามีฝีมือในการชงชาที่ยอดเยี่ยมโดยเฉพาะความร้อนของน้ำที่เหมาะสม จึงทำให้หลงเฉินนับถือขึ้นมาจับใจ การชงชาให้กลมกล่อมนั้นมีน้อยคนนักที่จะกระทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้

แต่ทว่าอารมณ์ของเขานั้นกลับคงอยู่ไม่นานนัก จนทำลายความคาดหวังของคนบางคนไปได้ หลงเฉินคืนความรู้สึกกลับมาในทันที แล้วก็ไม่ได้ดื่มชาแก้วนั้นเข้าไปอีก จากนั้นก็เริ่มปิดเปลือกตาลงเพื่อซึมซับรสชาติที่แท้จริงของชา

ทันใดนั้นหญิงสาวผู้เชี่ยวชาญในการชงชาก็เกิดอาการกระอักกระอ่วนขึ้นมาในทันใด นางคาดไม่ถึงว่าการทดสอบที่ตัวเองใช้มานับหมื่นวิชาจากหลายสำนักจะทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ไปได้

บรรยากาศที่กระอักกระอ่วนเช่นนั้นได้ยุติลงอย่างรวดเร็วเมื่อฟู่กุ้ยกลับเข้ามายังห้องพิเศษแห่งนี้ ในเวลาเดียวกันข้างกายเขาก็มีร่างของชายชราอายุประมาณหกสิบปียืนอยู่ด้วย

เมื่อพวกเขาทั้งสองคนมาถึง หญิงสาวผู้เชี่ยวชาญในการชงชานางนั้นก็ได้ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ชายชราผู้นั้นยื่นมือที่กุมอยู่ที่บริเวณหน้าอกออกจึงเผยให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของสภาผู้หลอมโอสถขึ้นมา

“หลงเฉินซื่อจื่อ ข้าขอแนะนำตัวก่อน ข้าน้อยมีนามว่าเชียนฟู่ (钱福มั่งมีเงินทอง) เป็นศิษย์โอสถเช่นเดียวกัน คงต้องขอคำชี้แนะจากท่านแล้ว”

หลงเฉินแสดงแววตาไร้ซึ่งอารมณ์อันใด แต่เมื่อชายชราผู้นั้นได้แนะนำตัวว่าเป็นคนของทางสภาหลอมโอสถ เขาจึงตอบกลับไปอย่างมีมารยาท

“ท่านก็เกรงใจมากเกินไปแล้ว ประสบการณ์การหลอมโอสถของท่านนั้นอาวุโสกว่าข้าอยู่แล้ว”

หลังจากที่เกรงอกเกรงใจกันไปมาอยู่พักใหญ่ หลงเฉินก็ได้กล่าวแยกขุนเขาออกจากกันว่า “ครั้งนี้ข้านำโอสถมาหลายเม็ดเพื่อเข้าร่วมการประมูล เชิญท่านตรวจสอบดูก่อน”

หลงเฉินกล่าวจบก็ได้ยื่นขวดหยกใบหนึ่งให้แก่เชียนฟู่ ชายชรายื่นมืออันสั่นเทาทั้งสองข้างไปรับขวดหยกเอาไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็สวมถุงมือทั้งสองข้าง นำถาดหยกถาดหนึ่งวางบนโต๊ะ แล้วก็เทเม็ดโอสถที่อยู่ภายในขวดหยกออกมา

“นี่คือ……”

เชียนฟู่จ้องมองไปยังโอสถเม็ดนั้น เขาพบโอสถระดับกลางขั้นที่สองเม็ดหนึ่ง แล้วก็พลิกดูอย่างถี่ถ้วนว่าโอสถเม็ดนั้นไม่ได้มีความผิดปกติอันใด แต่ก็ไม่อาจปดปิดสายตาที่โง่งมเอาไว้ได้เพราะเขาไม่รู้จักมักคุ้นว่าโอสถเม็ดนี้เป็นโอสถที่ใช้เพื่อการใด

เชียนฟู่มีพรสวรรค์อย่างจำกัดแต่ก็ยังได้อยู่ในระดับผู้หลอมโอสถ ในชีวิตนี้จึงได้เคยพบพานกับโอสถมามากมายจนนับไม่ถ้วน ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่คงจะไม่ได้เป็นผู้ประเมินระดับสูงของหมู่ตึกฮวาหวินได้แน่นอน

ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เป็นโอสถระดับสองอยู่ดี แต่โอสถเม็ดนี้กลับทำให้เขาต้องชั่งใจอยู่เกือบครึ่งวันแล้ว แล้วก็ตัดสินใจนำเอาเครื่องมือตรวจสอบขนาดเล็กออกมา

บัดนี้ใบหน้าของเชียนฟู่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน เขาไม่อาจทราบได้ว่านี่คือโอสถอันใด แล้วเช่นนี้เขายังจะมีหน้ามาเป็นผู้ประเมินได้อีกอย่างนั้นหรือ

หลงเฉินจ้องมองไปบังใบหน้าเ**่ยวย่นของชายชราก็พอที่จะคาดเดาความลำบากของเขาขึ้นมาได้ โอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกเม็ดนี้มาจากจักรพรรดิโอสถจึงย่อมเป็นโอสถที่น้อยคนนักจะรู้จัก

หลงเฉินใช้สมุนไพรไปทั้งสิ้นสองร้อยสิบเจ็ดชนิดเพื่อหลอมรวมโอสถเม็ดนี้ขึ้นมา ถึงแม้ว่าสมุนไพรเหล่านั้นจะไม่ใช่วัตถุดิบที่ล้ำค่ามากนักก็ตาม ด้วยการรวมสมุนไพรที่แตกต่างกันกว่าสองร้อยชนิดจนก่อเกิดคุณสมบัตินานาประการ

โดยปกติแล้วการหลอมโอสถจะใช้สมุนไพรสามถึงห้าชนิด บางครั้งก็หลายสิบชนิด หลอมจนเป็นผุยผงด้วยวิธีการในแต่ละครั้งที่อาจจะไม่เหมือนกัน จากนั้นจึงค่อยนำมาหลอมเป็นโอสถ

ในขณะที่หลงเฉินได้หลอมโอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกเม็ดนี้ขึ้นมา เขาก็สัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์อันลึกล้ำของวิถีโอสถ สมุนไพรที่ต่างกันแต่กลับถูกหลอมรวมเอาไว้ด้วยกันก็ย่อมเกิดผลลัพธ์ที่ยากจะคาดเดาได้ ช่างเป็นฝีมือที่น่าประหลาดใจเมื่อเทียบกับผู้หลอมโอสถธรรมดาสามัญทั่วไป

“แค่กแค่ก ข้าน้อยดูไม่ผิดไปเสียแล้ว นี่เป็นโอสถรักษาอาการบาดเจ็บชนิดหนึ่ง อีกทั้งผลลัพธ์ยังแข็งแกร่งจนน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง”

แม้จะพิจารณาอยู่นานแต่เชียนฟู่กลับไม่อาจเอ่ยนามของโอสถเม็ดนี้ได้ แต่ก็ยังดีที่สามารถบ่งบอกถึงประโยชน์และผลลัพธ์ของมันออกมาได้ เขาที่เป็นถึงผู้ประเมินระดับสูงย่อมไม่ทำงานอย่างชุ่ยๆ แน่นอน

เชียนฟู่ทอสีหน้าแดงก่ำขึ้นมาที่เขาไม่อาจระบุนามของโอสถได้อย่างชัดเจน เขาจึงไม่อาจนำออกไปประมูลได้ นี่ไม่ใช่การหลอกลวงผู้คนอย่างนั้นหรือ? เรื่องเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของหมู่ตึกฮวาหวินได้

เชียนฟู่มีหน้าที่รับผิดชอบในการประเมินโอสถประจำหมู่ตึกฮวาหวิน เขาทำงานในที่แห่งนี้มากว่าสามสิบปีแล้ว ผ่านการตรวจสอบตำรามานับไม่ถ้วนทั้งโอสถระดับต่ำกว่าระดับที่สามจนสามารถหลับตาท่องออกมาได้เลย แต่ในวันนี้กลับเป็นการเปิดหูเปิดตาเข้าไปยังตำราเล่มใหม่เสียแล้วจริงๆ

“ซื่อจื่อ ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ชื่อของมันข้าก็ยังเรียกได้ถูก อีกทั้งยังไม่ทราบถึงคุณสมบัติอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงไม่กล้าพอที่จะรับโอสถเม็ดนี้เอาไว้ได้” เชียนฟู่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาอีกระลอก

เมื่อเชียนฟู่กล่าวจบ หลงเฉินก็ไม่ได้แสดงทีท่าอันใดออกมา บนใบหน้าของฟู่กุ้ยเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ถ้าหากสิ่งของของหลงเฉินไม่อาจนำไปประมูลได้ เช่นนั้นส่วนแบ่งกำไรของเขาก็เท่ากับสูญเปล่าไปแล้ว ตอนนี้เขามีหลงเฉินเป็นร่มไม้ที่คอยบดบังแสงแดดแผดเผาจนเขาต้องไหม้ตายไปด้วยอย่างนั้นหรือ

“โอสถเม็ดนี้มีนามว่าโอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูก เป็นโอสถประหลาดที่มีไว้เพื่อรักษาบาดแผลภายนอก” หลงเฉินยิ้มน้อยๆ แล้ววกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งอีกครั้ง ต่อให้ท่านบอกชื่อของมันออกมา พวกเราก็คงไม่อาจที่จะรับเอาไว้ได้” เชียนฟู่โค้งตัวลงพร้อมกับกล่าวขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่ เรื่องที่ช่วยไม่ได้เช่นนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของหมู่ตึกฮวาหวิน เขาจึงไม่อาจปล่อยให้เกิดความสุ่มเสี่ยงเช่นนั้นได้

อย่างไรเสียก็ไม่อาจยินยอมรับฟังจากผู้อื่นได้ หากว่าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย สิ่งที่เชียนฟู่กระทำมาทั้งชีวิตก็จะต้องถูกทำลายไปด้วย

“ไม่เป็นไร หากเจ้าไม่อาจบอกถึงคุณสมบัติของโอสถได้ ข้าจะเป็นคนยืนยันให้แก่เจ้าเอง” หลงเฉินกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงดุดัน

“ยืนยัน?” เชียนฟู่และฟู่กุ้ขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกัน

“เสียมารยาทแล้ว”

ทันใดนั้นกลางฝ่ามือของหลงเฉินก็มีมีดยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา ในขณะที่ชายทั้งสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากำลังแตกตื่นอยู่นั้น

“ฉับ”

สายโลหิตสีแดงพุ่งกระฉูดออกมา  . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset