เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 58 ขวานศึกเบิกภูผา

หลังจากที่แขกในห้องพิเศษชนะการประมูลในแต่ละรอบนั้น เจ้าหน้าที่ของหมู่ตึกฮวาหวิน ก็จะนำของประมูลชิ้นดังกล่าวมาส่งมอบให้ถึงที่ ซึ่งต่างจากผู้เข้าร่วมงานประมูลที่อยู่ชั้นล่างที่จะต้องไปเอาของประมูลด้วยตัวเองบริเวณด้านหลังของเวทีหลังจากสิ้นสุดการประมูลในรอบนั้นหรือหลังจากเสร็จสิ้นงานแล้วก็ได้

ร่างของคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในห้องพิเศษของหลงเฉินนั้นก็คือฟู่กุ้ยนั่นเอง บนฝ่ามือทั้งสองข้างของเขามีกล่องขนาดยาวหลายเชียะวางอยู่ ภายในกล่องใบนั้นมีหญ้าสลายดาราทั้งหมดสิบก้านถูกจัดเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ

“หลงเฉินซื่อจื่อ นี่คือหญ้าสลายดาราพันปีที่ท่านประมูลมาได้” ฟู่กุ้ยโน้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับยื่นกล่องใบนั้นให้แก่หลงเฉินด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส

วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันที่ฟู่กุ้ยช่างสุขใจอย่างถึงที่สุดเลยก็ว่าได้ ตามกฎของหมู่ตึกฮวาหวินแล้วหากแขกที่เขาได้เชื้อเชิญให้เข้าร่วมงานสามารถประมูลสิ่งของชิ้นหนึ่งมาได้สำเร็จ เมื่อหักลบต้นทุนไปจนหมด ในส่วนที่เหลือก็คือกำไรที่นำมาแบ่งหนึ่งในร้อยส่วนให้แก่เขาอีกด้วย

หลงเฉินที่เพิ่งจะสูญเงินก้อนโตไปจากการประมูล เพียงแค่ส่วนแบ่งที่ได้จากกำไรก็สามารถทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของฟู่กุ้ยสุขสบายไปได้ทั้งชีวิตแล้ว

หลงเฉินรับกล่องใบนั้นมาแล้วทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่รอบหนึ่งก็พบว่าภายในใบของหญ้าสลายดาราต่างก็มีเมล็ดที่คล้ายกับดวงดาราปรากฏขึ้นมาหลายสิบเม็ด เป็นไปตามตำราที่ได้เขียนเอาไว้ว่าหญ้าสลายดาราที่ดำรงอยู่ครบร้อยปีแล้ว ที่ใบของมันจะผุดเมล็ดที่คล้ายกับดวงดาราขึ้นมาหนึ่งเม็ด

ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้จะอยู่เหนือความคาดหมายจากก่อนหน้านี้ไปมาก จนทำให้หลงเฉินเกิดท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมาหลายระลอก ทว่าสิ่งที่ได้ครอบครองอยู่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่งแล้ว

หลงเฉินเก็บกล่องที่บรรจุหญ้าสลายดาราเอาไว้ในแหวนมิติ พลางก็คิดว่าสมุนไพรที่จะใช้หลอมโอสถสลายดาราก็ครบถ้วนกระบวนความทั้งหมดแล้ว คงจะเริ่มการหลอมโอสถได้ในทันที

“หลงเฉินซื่อจื่อ โปรดช้าก่อน”

ฟู่กุ้ยส่งเสียงทักท้วงขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหลงเฉินกำลังจะลุกออกจากที่นั่ง ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่กับเหยเกลงในทันที

“มีสิ่งใดอีกหรือ? ข้าจะต้องอยู่ต่ออีกอย่างนั้นหรือ? ในตอนนี้ข้าไม่หลงเหลือเงินตราสักตำลึงเดียวแล้ว” หลงเฉินยิ้มให้ชายหนุ่มผู้นั้นแล้วกล่าวออกไป ทว่าแท้ที่จริงแล้วเขาอยากจะกลับไปหลอมโอสถเสียเต็มกลืนแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรเรื่องของฉู่เหยาก็จะต้องมาเป็นอันดับแรกเสมอ

“ซื่อจื่อกล่าวเกินไปแล้ว ท่านถือเป็นแขกผู้มีเกียรติอันสูงส่งสำหรับพวกเรา เมื่อสักครู่นี้ก่อนที่ข้าน้อยจะเข้ามา ใต้เท้าได้กำชับเอาไว้ว่าให้เพิ่มเงินประมูลแก่ท่านอีกสามพันหมื่นตำลึงทอง หากว่าท่านชมชอบสมบัติชิ้นใดก็สามารถประมูลต่อได้เลย” เมื่อฟู่กุ้ยกล่าวจบ ก็ได้ล้วงบัตรมรกตใบหนึ่งขึ้นมาแล้วมอบให้หลงเฉิน

ขณะนี้ในมือของหลงเฉินได้ถือบัตรมรกตเอาไว้อยู่สองใบ ใบหนึ่งเพิ่งจะได้มาเมื่อครู่นี้ ส่วนอีกใบได้กลายเป็นศูนย์ไปแล้วหลังจากได้หญ้าสลายดารามาครอบครอง

เดิมทีการประมูลของหมู่ตึกฮวาหวินจะมีลักษณะเฉพาะอยู่ประการหนึ่งก็คือผู้ที่จะเข้าร่วมประมูลสิ่งของจำเป็นจะต้องส่งมอบเงินตำลึงทองให้แก่หมู่ตึกฮวาหวินสำหรับเป็นเงินส่วนกลางเอาไว้ก่อน

ทว่ากลับสามารถแลกได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากการประมูลเริ่มต้นขึ้นจะไม่สามารถนำมาแลกเพิ่มได้อีก ฉะนั้นผู้ที่เข้าร่วมงานโดยส่วนมากมักจะนำทรัพย์สินมาแลกเป็นเงินกลางให้ได้มากที่สุด และหากคนผู้นั้นไม่ได้ประมูลสิ่งของชิ้นใดไปก็สามารถแลกเงินคืนได้ตามจำนวนที่แลกเปลี่ยนไว้อย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่แดงเดียว

ด้วยเหตุนี้ทุกคนภายในงานจึงมีบัตรมรกตประจำกายอยู่หนึ่งใบ เมื่อทำการประมูลสำเร็จทางหมู่ตึกฮวาหวินก็จะหักเงินกลางจากบัตรของพวกเขาไปในทันที กล่าวให้เข้าใจโดยง่ายก็คือการวางเงินมัดจำว่าจะรับสิ่งของชิ้นนั้นไปจริงๆ นั่นเอง

บัดนี้หลงเฉินก็ได้ใช้จ่ายเงินกลางไปจนหมดสิ้นแล้วทุกตำลึงทอง ตามกฎระเบียบที่ตั้งเอาไว้ก็ย่อมไม่อาจทำการแลกเปลี่ยนได้อีกแล้ว ทว่าหมู่ตึกฮวาหวินกลับเปิดช่องทางให้แก่หลงเฉินอีกครั้ง

หลงเฉินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาคู่คมจ้องมองไปที่บัตรมรกตด้วยความฉงนสงสัย ภายในจิตใจเกิดความกระวนกระวายขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เขาคิดที่จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้เพื่อกลับไปหลอมโอสถแล้ว

ทว่าจู่จู่กลับมีเงินทองเพิ่มขึ้นมาโดยไม่ต้องเรียกร้องใดใด อีกทั้งหลังจากนี้ไปก็จะมีสมบัติอันล้ำค่าอีกมากมายที่จะขึ้นสู่เวทีประมูล ทำให้ภายในจิตใจของเขาเกิดความปรารถนาขึ้นมาเป็นสาย

“ฟู่กุ้ย พวกเรามาตกลงกันเสียหน่อยดีไหม หากสิ่งของชิ้นนั้นของข้าไม่อาจขายออกไปด้วยราคาห้าพันหมื่นตำลึงทอง พวกเจ้าสามารถให้เวลาข้าสักเล็กน้อยได้หรือไม่ แน่นอนว่าข้าย่อมไม่อาจคืนเงินทั้งหมดให้ได้ในทันที” หลงเฉินเอ่ยวาจาหยั่งเชิงออกไปขณะที่สะบัดบัตรมรกตในมือไปมากลางอากาศ

“ซื่อจื่อโปรดวางใจ ใต้เท้าได้กล่าวเอาไว้ว่าหากของชิ้นนั้นประมูลออกไปไม่ได้ เงินกลางส่วนนี้ให้ถือเป็นของขวัญแก่ซื่อจื่อแทน” ฟู่กุ้ยยิ้มกว้างขึ้นมาอีกครั้ง

คำพูดนั้นยิ่งทำให้หลงเฉินขมวดคิ้วแน่นขึ้น ช่างน่าสงสัยเสียจริงเชียวว่าบุคคลที่เขาเรียกว่าใต้เท้านั้นเป็นผู้ใดกัน? ทว่าฝีปากย่อมเร็วกว่าความนึกคิดเสมอ “ใต้เท้าที่เจ้าว่า เขาเป็นผู้ใดกัน?”

“เหอะเหอะ ต้องขออภัยด้วย ข้าน้อยไม่อาจเปิดเผยนามของใต้เท้าออกไปได้ ท่านอย่าได้ทำให้ข้าน้อยลำบากใจไปมากกว่านี้เลย” ฟู่กุ้ยขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่

ถึงแม้ว่าความสงสัยจะไม่คลายลงไป ทว่าหลงเฉินก็รับบัตรมรกตใบนั้นเอาไว้ด้วยความปรารถนาอันเต็มเปี่ยมที่จะได้ครอบครองสิ่งของในงานประมูลต่อจากนี้ไป

หลังจากฟู่กุ้ยเดินออกไปจากห้องพิเศษของเขา การประมูลก็ได้หยุดลงชั่วคราวเพื่อให้ผู้ร่วมงานมีช่วงเวลาได้พักดื่มชา ด้วยงานประมูลที่ยืดเยื้ออยู่หลายชั่วยามเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็คงจะสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงทางกายไปเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

งานประมูลที่จัดขึ้นมาอย่างใหญ่โตและล่วงเลยไปถึงสามวันเช่นนี้จำเป็นจะต้องให้ผู้ร่วมงานได้มีเวลาพักผ่อนร่างกายบ้าง เพื่อเติมเต็มสติและความคึกครื้นในการประมูลในแต่ละรอบ เห็นได้ชัดว่าหมู่ตึกฮวาหวินได้คิดไตร่ตรองเรื่องนี้เอาไว้เป็นอย่างดีตั้งแต่แรกแล้ว

เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาพักผ่อนไปครู่หนึ่ง งานประมูลก็ได้ดำเนินขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงบัดนี้งานประมูลได้ดำเนินติดต่อกันมายี่สิบสี่ชั่วยามแล้ว

* 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง

ทุกรอบแห่งการแย่งชิงสมบัติเป็นไปอย่างดุเดือด ผู้คนมากมายต่างก็ไม่รับรู้ถึงกาลเวลาที่ได้ล่วงเลยผ่านไปกว่าสองวันแล้ว เนื่องจากสมบัติที่ปรากฏขึ้นมาช่างล้ำค่ามากยิ่งขึ้นไปในแต่ละรอบ การแย่งชิงก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นไปด้วย อีกทั้งราคาประมูลก็ยิ่งพุ่งกระฉูดขึ้นไปเป็นอย่างยิ่ง จนในขณะนี้บรรยากาศภายในงานตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นอายของความร้อนรุ่มภายในจิตใจ

ลีลาอันพลิ้วไหวของเหย่าหนีเชวียนที่เคลื่อนที่ไปมาตามมุมต่างๆ บนเวทีช่างน่าดึงดูดใจของผู้คนเสียจริง ยิ่งเสียง ‘ปลุกเร้าอารมณ์’ อันทรงเสน่ห์ที่ได้ถูกโปรยออกไปก็ยิ่งทำให้การเสนอราคาเป็นไปอย่างบ้าคลั่ง

หลงเฉินกวาดสายตามองไปรอบงานประมูลที่กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาอันเดือดดาลที่สุดก็อดที่จะชื่นชมในความสามารถของเหย่าหนีเชวียนไม่ได้ หญิงสาวนางนั้นได้ดำเนินการประมูลมาถึงสองวันเต็มๆ แล้ว คล้ายกับอ่านนิสัยใจคอของผู้คนทั้งหมดออกจนสามารถเข้าควบคุมบรรยากาศภายในงานราวกับพลิกฝ่ามือไปมาอย่างไรอย่างนั้น

ซือเฟิง เจ้าอ้วน และพวกพ้องเองก็ยังคงตื่นตาตื่นใจกับการประมูลที่ได้ดำเนินติดต่อกันมาแล้วถึงสองวันอย่างไร้วี่แววของการเหนื่อยล้าตามร่างกาย

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีเงินสำหรับประมูล แต่เพียงได้เห็นผู้คนมากมายแย่งชิงราคาประมูลกันอย่างดุเดือด เพียงเท่านี้ใบหน้าของพวกเขาก็แดงก่ำขึ้นไปถึงใบหูราวกับว่าเป็นศึกของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

“สิ่งของชิ้นต่อไปก็คือขวานศึกเบิกภูผา”

ไม่ว่าผู้ใดต่างก็รู้จักขวานศึกกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ทว่าขวานศึกที่กำลังปรากฏอยู่บนเวทีในขณะนี้กลับได้พบเห็นเป็นครั้งแรก ขวานเล่มนี้ช่างใหญ่โตมโหฬารกว่าที่เคยพบพานมาหลายเท่า

อาวุธขวานเล่มนี้มีลักษณะคล้ายกับโต๊ะกลมตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ด้ามขวานมีความยาวถึงห้าเซียะ ความหนาของมันเท่ากับแขนของชายหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่ง คมขวานสะท้อนประกายสีทองสว่างไสวไปทั่วทั้งห้อง ความดุดันของขวานเล่มนี้ได้ดึงดูดสายตาทุกคู่เอาไว้ได้อย่างหมดจด

“ขวานศึกเบิกภูผาถูกหลอมขึ้นมาจากทรายทองคำที่อัดแน่นไปทุกอณู มีน้ำหนักอยู่ที่สามพันห้าร้อยชั่ง ขวานล้ำค่าเล่มนี้ถูกเล่าขานต่อกันมาว่าเป็นเครื่องมือยุทธ์ของเทพแห่งการต่อสู้ในยุคสมัยก่อน เพียงแค่ตั้งไว้ที่ใจกลางหมู่บ้านก็สามารถขับไล่เหล่าปีศาจมารร้ายได้ทั่วทุกสารทิศไปได้แล้ว

ขวานศึกเบิกภูผาเล่มนี้เริ่มต้นที่สองร้อยหมื่นตำลึงทอง การประมูลในรอบนี้——เริ่มได้”

เมื่อเสียงของเหย่าหนีเชวียนได้ทอดลง ทันใดนั้นเหล่าทายาทขุนนางกว่าสิบคนก็เริ่มเสนอราคากันขึ้นมาเสียยกใหญ่

“สองร้อยสิบเอ็ดหมื่น”

“สองร้อยห้าสิบหมื่น”

“สองร้อยแปดสิบหมื่น”

ขวานศึกเล่มนี้เป็นได้แค่ของประดับชิ้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยน้ำหนักที่มากถึงสามพันห้าร้อยชั่งนี้อย่าว่าแต่นำไปใช้เลย แม้แต่จะยกขึ้นมายังไม่อาจกระทำได้เลย

ทว่าที่เหย่าหนีเชวียนกล่าวขึ้นมาก็ไม่ได้ผิดอันใด หากนำขวานเล่มนี้ไปวางอยู่ในบ้านก็ช่วยบ่งบอกถึงฐานะอันมั่งคั่งขอผงผู้ครอบครองได้แล้ว โดยเฉพาะเหล่าขุนนางที่ชื่นชอบการเก็บสะสมของประเภทนี้เอาไว้

“ซือเฟิง ช่วยข้าเสนอราคาที” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ

ซือเฟิงหันกลับมาอย่างรวดเร็ว “สิ่งของชิ้นนั้นใช่ว่าจะนำมาใช้ได้ เจ้าจะซื้อไปทำอันใดกัน?”

“เจ้าอย่าได้สนใจไปเลย ข้าจำเป็นต้องใช้ เจ้าช่วยเสนอราคาออกไปก็พอ หากว่าข้าเสนอไป เกรงว่าจะทำให้หญิงสาวนางหนึ่งเกิดบ้าคลั่งขึ้นมาอีก” หลงเฉินกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

แท้ที่จริงแล้วเมื่อหลงเฉินได้เห็นขวานศึกเบิกภูผาเพียงปรายตาเดียว ภายในโสตประสาทก็ปรากฏร่างกำยำของชายหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมา ภาพที่ชายหนุ่มผู้นั้นได้ถือขวานเล่มนี้ช่างคล้ายกับเงาร่างของเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น เขาก็คือ——อาหมานนั่นเอง

ด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาลของอาหมานคงจะสามารถกวัดแกว่งขวานใหญ่เล่มนี้ได้คล่องแคล่วอย่างแน่นอน อีกทั้งขวานเล่มนี้ช่างเหมาะสมกับเด็กน้อยผู้นั้นเป็นอย่างมาก หากทั้งสองได้รวมเข้าด้วยกันแล้วย่อมต้องทำให้พลังในร่างกายขับเคลื่อนขึ้นมาได้มากขึ้นกว่าเดิมเป็นแน่แท้

“สองร้อยเก้าสิบหมื่น”

“สามร้อยหมื่น”

“สามร้อยห้าสิบหมื่น”

เสียงสุดท้ายดังขึ้นมาจากซือเฟิง ด้วยราคาที่สูงลิบลับเช่นนี้ ไม่อาจที่จะเสนอต่อไปได้อีกแล้ว ผู้คนมากมายจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างหมดสิ้นความหวัง

ขวานศึกเบิกภูผาที่มีพลังทำลายอันมหาศาล ทว่าสำหรับผู้คนทั่วไปก็เป็นเพียงของประดับตกแต่งบ้านชิ้นหนึ่งเท่านั้น ราคาถึงสามร้อยหมื่นถือว่าขาดทุนอย่างไม่อาจที่จะแบกรับได้อีกต่อไป

ทางด้านของเซี่ยปายฉือที่ได้ยินเสียงดังออกมาจากห้องพิเศษของหลงเฉิน ก็รีบผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อเห็นว่าไม่ใช่หลงเฉินจึงนั่งลงช้าๆ และไม่ได้เสนอราคาขึ้นมาต้านทานเอาไว้

หลงเฉินได้ครอบครองขวานศึกเบิกภูผาอย่างราบรื่นก็อดบังเกิดความปิติยินดีขึ้นมาภายในใจไม่ได้ ทว่าขวานเล่มใหญ่เช่นนั้นจะสามารถนำมาส่งถึงห้องพิเศษได้อย่างไรกัน หรือว่าเขาจะต้องลงไปรับเอามาด้วยตัวเอง

หลงเฉินแอบลอบเคลื่อนไหวอย่างไม่ให้ผู้ใดไหวตัวทัน เข้ามุ่งตรงไปที่ด้านหลังของเวทีอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงทางเข้าของที่แห่งนั้นก็พบว่ามีชายฉกรรจ์นับสิบคนคอยคุ้มกันอยู่

หลงเฉินกรอกตาดำไปมาเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ว่าชายเหล่านั้นต่างก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตพลังขั้นก่อโลหิต

เพียงแค่งานประมูลแห่งหนึ่งเท่านั้น เหตุใดถึงมียอดฝีมือคอยคุ้มกันโดยรอบอย่างมากมายถึงเพียงนี้ นี่หมู่ตึกฮวาหวินมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่?

หลงเฉินแหวกผ่านกลุ่มยอดฝีมือเหล่านั้นเข้ามา พลันขวานศึกเบิกภูผาก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของเขา ขวานเล่มนั้นใหญ่เกือบจะเท่ากับลำตัวของเขาเลยก็ว่าได้

หลงเฉินยื่นมือข้างหนึ่งออกไป คว้าจับเข้าที่ด้ามของขวานศึกเบิกภูผาอย่างช้าๆ เขารู้สึกราวกับว่าได้จับไปที่แขนของคนผู้หนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

“อึบ”

หลงเฉินบีบมือให้แน่นขึ้นแล้วออกแรงยกขวานเล่มนั้นจนขวานเกิดการสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็ขาทั้งสองข้างก็ค่อยๆ ก้าวเดินห่างออกมาจากด้านหลังของเวที ทว่าก้าวไปได้เพียงแค่สามช่วงตัว ขวานใหญ่เล่มนั้นก็ร่วงหล่นลงพื้นไปในทันที

“ตึง”

“คิดไม่ถึงเลยว่าหลงเฉินซื่อจื่อจะมีพรสวรรค์ด้านพลังกายมากถึงเพียงนี้ น่าเลื่อมใสยิ่งนัก”

เดิมทียอดฝีมือทั้งสิบคนต่างก็จ้องมองไปยังหลงเฉินที่กำลังจะนำขวานใหญ่ออกไปด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ใดใดราวกับว่าไม่แยแสในความโชคร้ายของผู้อื่น

ทว่าในตอนนี้กลับนึกไม่ถึงเลยว่าหลงเฉินจะใช้มือเพียงข้างเดียวหยิบยกขวานยักษ์เล่มนั้นขึ้นได้ในทันที จนใบหน้าที่ไร้อารมณ์กลับกลายเป็นความแตกตื่นตกใจขึ้นมา

ต่อให้หลงเฉินจะทำหล่นจนเป็นที่ขายหน้า แต่ก็ยังคงทำให้พวกเขาตื่นตกใจขึ้นมาได้อยู่ดี เพราะว่าขวานเล่มนั้นมีน้ำหนักที่มหาศาล ปกติแล้วต้องใช้คนถึงสองคนจึงจะสามารถยกขึ้นมาได้

เหล่ายอดฝีมือทั้งสิบคนบังเกิดความเลื่อมใสขึ้นมาเป็นสายจนไม่อาจหยุดยั้งฝีปากที่เอ่ยชื่นชมขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อนลงได้

หลงเฉินส่ายหน้าไปมาแล้วฝืนยิ้มออกไป “สิ่งของเช่นนี้คงจะมีไว้เพื่อประดับประตูบ้านจริงๆ เสียแล้ว”

“แน่นอน สิ่งนั้นมีไว้เพื่อโออวดเท่านั้น หนักถึงเพียงนี้จะมีผู้ใดเอามาใช้กัน?” ชายผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาพร้อมกับพยักหน้าไปมาอย่างเห็นด้วยจนถึงที่สุด

เมื่อหลงเฉินพอจะกะน้ำหนักของขวานศึกเบิกภูผาได้แล้ว เขาก็รีบยกแล้วจัดเก็บเอาไว้ภายในแหวนมิติในทันที แล้วเร่งฝีเท้ากลับไปยังห้องพิเศษอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ของสิ่งนี้ช่างเหมาะสมกับอาหมานอย่างถึงที่สุด

หากหลงเฉินออกแรงด้วยพลังทั้งหมดก็อาจกวัดแกว่งขวานเล่มนี้ออกไปได้บ้าง ทว่าก็คงจะสิ้นเปลืองแรงกายจนเกินไป หากเป็นอาหมานที่มีกล้ามเนื้อของเขาดั่งสัตว์ประหลาดแล้วต้องใช้ได้คล่องแคล่วอย่างแน่นอน ต่อให้ไม่อาจไหลเวียนลมปราณขึ้นมาได้ก็ยังสามารถแสดงอานุภาพทำลายล้างของขวานออกมาได้จนน่าหวาดหวั่นเป็นแน่แท้

ยิ่งการประมูลได้ล่วงเลยผ่านไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งมีสิ่งของล้ำค่ามากขึ้นเช่นกัน ทั้งสมบัติแห่งฟ้าดินอย่างวิชาโอสถที่มีอยู่อย่างจำกัด ราคาที่เสนอกันเข้ามาแทบไม่ต่ำไปกว่าห้าร้อยหมื่นตำลึงทองเสียด้วยซ้ำ

“สิ่งของชิ้นต่อไปที่จะนำมาประมูลนี้ อย่าได้กระพริบตาไปแม้แต่เสี้ยวเดียวเลยล่ะ”

เสียงเร้าอารมณ์อันทรงเสน่ห์ของเหย่าหนีเชวียนกึงก้องไปทั่วทั้งงานประมูล จากนั้นมืออันขาวผ่องข้างหนึ่งก็ถูกยื่นออกไปยังสิ่งของชิ้นใหม่ . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset