เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 60 แตกตื่น

“แปะ”

เหย่าหนีเชวียนปรบมือขึ้นกลางอากาศจนเกิดเสียงดังกังวานไปทั่วทั้งบริเวณม่านสีแดงที่เคยเป็นฉากหลังก็ได้ถูกปลดลงกองไปกับพื้นเผยให้เห็นแท่นหินหยกอันสวยงามตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง

แท่นหินหยกชิ้นนั้นเปล่งประกายแสงสะท้อนจากดวงไฟกระทบไปยังดวงตาทุกคู่ที่กำลังจับจ้องอยู่ตัวแท่นใช้หยกหลานเถียนที่หายากทำการแกะสลักขึ้นมาอย่างประณีตบรรจง

หยกหลานเถียนถือเป็นหยกหายากภายในจักรวรรดิเฟิงหมิงมีเพียงผู้ที่มีฐานะร่ำรวยอย่างถึงที่สุดเท่านั้นที่จะสามารถซื้อหามาได้ คนเหล่านี้มักจะใช้หยกหลานเถียนมาทำเป็นป้ายตระกูลเพื่อแสดงถึงฐานะอันสูงส่ง

เพียงแท่นวางก็คงมีราคามากถึงร้อยหมื่นตำลึงทองแล้ว ที่ด้านบนยังมีกล่องทองคำประดับด้วยหยกขาวมุกอยู่ชิ้นหนึ่งวางอยู่ด้วยทำให้หลงเฉินที่จ้องมองอยู่เบิกดวงตาคมโตขึ้นอย่างเลื่อมใสในความล้ำค่าของมันสุดยอดของงานฝีมือที่ทรงคุณค่ายิ่งนัก

ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดฟู่กุ้ยถึงได้เชื่อมั่นในตัวของหลงเฉินมากมายถึงเพียงนี้ เขาเคยเอ่ยปากออกมาว่าขอส่วนแบ่งถึงห้าส่วนเพราะดูเหมือนว่าผู้อื่นก็คงจะมีความสามารถในการแย่งชิงอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน

เพียงแค่การเปิดตัวก็สามารถดึงดูดจิตใจของผู้คนทั้งหมดเอาไว้ได้อยู่หมัดแล้วแววตาของพวกเขาเหล่านั้นสะท้อนภาพกล่องสีทองอร่ามจนแทบไม่อาจจะกระพริบตาได้แม้แต่ครั้งเดียว

เหย่าหนีเชวียนปรายตามองไปรอบห้องพร้อมกับยื่นมืออันขาวผ่องออกไปบรรจงหยิบกล่องอันแสนหรูหราขึ้นมา นางกรีดกรายนิ้วมือเรียวเล็กนั้นจับไปที่ฝากล่องพร้อมกับแง้มให้กว้างขึ้น แล้วนำของที่อยู่ภายในออกมาอย่างช้าๆ

ทว่าเมื่อผู้คนในงานได้มองเห็นของชิ้นนั้นอย่างชัดเจนแล้วก็แทบจะกระอักโลหิตออกมาตามกัน นั่นมันกล่องที่มีขนาดใหญ่เล็กกว่าหนึ่งฝ่ามืออย่างนั้นหรือ นี่คิดที่จะเล่นตลกหรืออย่างไรกัน

หลังจากที่มือคู่น้อยได้นำกล่องเล็กชิ้นหนึ่งออกมาด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างก็ยื่นถุงมือสีขาวประดุจเกล็ดหิมะคู่หนึ่งให้เหย่าหนีเชวียน

เหย่าหนีเชวียนบรรจงสวมถุงมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ทำการเปิดกล่องขนาดเล็กที่เพิ่งจะนำออกมาด้วยความเชื่องช้าการเคลื่อนไหวที่คล้ายกับเต่าเช่นนั้นได้ทำให้ผู้คนแทบจะหยุดหายใจไปทั้งหมด

“กึก”

ฝากล่องได้ถูกเปิดออกพร้อมกับมีเสียงดังขึ้นมาเบาๆ

จู่จู่ก็มีแสงสว่างจ้าส่องสะท้อนไปยังกำแพงทั้งจตุรทิศ ภาพวาดแผ่นหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาเผยให้เห็นเม็ดกลมเม็ดหนึ่งอยู่ภายในนั้นด้วย ทว่าด้านบนของเม็ดโอสถกลับแฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายของความเก่าแก่อยู่วูบหนึ่ง

หลงเฉินจ้องเขม็งเข้าไปยังเม็ดโอสถกลมเกลี้ยงเม็ดนั้น พลันก็เกิดความคิดโลดแล่นขึ้นมาว่าเขาคงจะไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่ เมื่อมองจนมุทะลุเข้าไปถึงรายละเอียดโดยรอบก็เข้าใจขึ้นมาได้ในทันที คนพวกนี้ช่างเก่งกาจจนน่านับถืออย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว

“โอสถเม็ดนี้ได้ถูกนักผจญภัยกลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่งพบเจอในถ้ำโบราณที่เล่าลือกันว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ภายในถ้ำแห่งนั้นที่เต็มไปด้วยสุสานของเหล่าจอมพลังที่ได้ล่วงลับไป พวกเขาเดินทางเข้าไปเสาะหาโอสถเม็ดนี้ด้วยกันทั้งหมดสิบคน ทว่ากลับหนีตายออกมาได้เพียงแค่สองคนเท่านั้น

หลังจากที่ออกจากถ้ำได้ไม่นานนัก หนึ่งในสองนักผจญภัยที่เหลือรอดก็ได้ตายจากไป ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดอะไรเช่นนี้

ด้วยเหตุนี้นักผจญภัยเหล่านี้ควรค่าแก่การสรรเสริญและเลื่อมใส พวกเขาได้สละชีพเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพื่อเสาะแสวงหาวาสนาอันแสนจะเรือนลาง พวกเขาช่างเป็นผู้กล้าในตำนานอย่างแท้จริง” เหย่าหนีเชวียนเล่าออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไหลลื่นดั่งสายน้ำ อีกทั้งยังบีบดวงตาแดงก่ำขึ้นจนเกิดประกายหยาดน้ำตาไหลอาบแก้ม

หลงเฉินที่กำลังดื่มชาอยู่ก็เกือบจะสำลักออกมาอย่างทันควัน เรื่องราวและการแสดงออกเช่นนี้คือสิ่งใดกัน โอสถเม็ดนั้น…เขาเป็นคนหลอมขึ้นมาเองไม่ใช่หรอกหรือ

ทว่าหลงเฉินก็ทำได้แค่เพียงข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ ย้ำขึ้นมาในจิตใจว่าอย่าได้เปิดเผยออกไปว่าโอสถเม็ดนั้นเป็นของตัวเอง

หมู่ตึกฮวาหวินเรียกความสนใจจากผู้คนทั้งหลายด้วยการแต่งเรื่องตำนานที่ไร้ซึ่งความจริงขึ้นมาได้อย่างน่าคล้อยตาม อีกทั้งผิวนอกของเม็ดโอสถยังถูกกระทำการบางอย่างเพื่อให้ดูเก่าแก่คร่ำครึ ด้วยวิธีการหลอกล่ออันแยบยลเช่นนี้ หากหลงเฉินไม่ทราบต้นสายปลายเหตุมาก่อนก็คงเชื่อพวกเขาอย่างสนิทใจแน่นอน

“ขอเรียนถามคุณหนูเหย่า โอสถเม็ดนี้คือโอสถอะไรหรือ?” ในสถานที่แห่งนี้ต่างก็มีแต่พวกมักใหญ่ใฝ่สูงกันอยู่แล้ว แน่นอนว่าคนพวกนี้ย่อมไม่ได้สนใจกับความเป็นตายของเหล่านักผจญภัยไร้ค่าอยู่แล้ว ที่พวกเขาใคร่รู้ก็มีเพียงราคาและผลลัพธ์ของโอสถก็เท่านั้น

เหย่าหนีเชวียนใช้มือข้างหนึ่งปาดเช็ดน้ำตาที่แก้มเบาๆ จากนั้นก็ปั้นน้ำเสียงเป็นปกติแล้วกล่าวออกมาว่า

“โอสถเม็ดนี้เป็นโอสถโบราณ”

“โอสถโบราณ?”

เสียงของผู้คนที่ได้ยินดังประสานกันขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง การจะเรียกว่าโอสถโบราณนั้นไม่ใช่เพราะความเก่าแก่ของมัน ทว่าเป็นวิธีการหลอมที่ได้ถูกสืบทอดมาตั้งแต่โบราณกาล หากจะค้นหาตำราเคล็ดวิชาที่บันทึกเอาไว้จนมาถึงยุคสมัยนี้ก็เรียกได้ว่าหายสาบสูญไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว

หากผู้หลอมโอสถผู้หนึ่งสามารถนำโอสถเช่นนี้ไปวิเคราะห์จนคิดค้นวิธีการหลอมโอสถขึ้นมาได้ก็จะสามารถสืบทอดสิ่งที่เป็นเพียงตำนานที่หายสาบสูญไปแล้วให้หวนคืนกลับมาใหม่ได้

“ถึงแม้ว่าจะเป็นโอสถโบราณ ทว่าจากอายุของเม็ดโอสถย่อมต้องไม่เกินร้อยปีไปได้ ทุกท่านคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าโอสถที่มีอายุไม่มากไปกว่าสองร้อยปีจะยังคงผลลัพธ์เอาไว้อย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นประสิทธิภาพของโอสถเม็ดนี้ย่อมต้องมีอยู่ร้อยในร้อยส่วนอย่างแน่นอน” เหย่าหนีเชวียนสาธยายออกมาติดต่อกันจนแทบจะไม่หายใจ

“คุณหนูเหย่ารีบบอกถึงชื่อของโอสถเม็ดนี้เถิด รวมไปถึงผลลัพธ์ของมันด้วย” เมื่อพบว่าเหย่าหนี เชวียนกำลังชักแม่น้ำทั้งห้าอยู่ คนกลุ่มหนึ่งก็เริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

เมื่อพบว่าผู้คนมากมายเริ่มเกิดอาการขุ่นเคืองขึ้นมาไม่น้อย เหย่าหนีเชวียนก็รีบกล่าวขึ้นมาว่า “โอสถเม็ดนี้ได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้ประเมินของหมู่ตึกแล้ว นามของมันก็คือโอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูก ชื่อเสียงเรียงนามเช่นนี้คงจะไม่ต้องบอกถึงผลลัพธ์ก็พอจะทราบกันอยู่แล้วจริงหรือไม่”

หลังจากสิ้นเสียงของเหย่าหนีเชวียนไม่ถึงพริบตาเดียว เสียงตะโกนก็ดังขึ้นมาอย่างเซ็งแซ่ในทันที

“ไม่ใช่แล้วกระมัง ผลลัพธ์มีเพียงเท่านี้เองหรือ?”

“ก็แค่ผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกเท่านั้น ไม่ธรรมดาเกินไปหน่อยหรือ”

“จะหลอกกันอย่างนั้นหรือ”

แม้ว่าจะถูกคำครหาหมิ่นเหม่ขึ้นมามากถึงเพียงนั้น เหย่าหนีเชวียนกลับไม่ได้มีท่าทีหนักใจแต่อย่างใด นางยิ้มกว้างขึ้นมาแล้วตอบกลับไปว่า “ทุกท่าน หมู่ตึกฮวาหวินของพวกเรานั้นมีชื่อเสียงเพียงใดคงจะไม่ต้องขยายความให้มากนัก หากกระทำการหยาบช้าเช่นนั้นเพื่อแลกกับชื่อเสียงที่สั่งสมมาก็คงจะไม่คุ้มเสีย โอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกเม็ดนี้ หากไม่ล้ำค่าจนถึงที่สุดก็ย่อมไม่ถูกนำมาประมูลได้อยู่แล้ว”

วาจาเอื้อนเอ่ยที่เด็ดขาดของเหย่าหนีเชวียนทำให้ทั่วทั้งงานสงบลงในทันที ด้วยชื่อเสียงอันลือเลื่องของหมู่ตึกฮวาหวิน แน่นอนว่าย่อมไม่กระทำเรื่องที่โง่เขลาเช่นนั้นออกมา ทว่าแท้ที่จริงแล้วโอสถเม็ดนี้มีความพิเศษอย่างไรกันแน่?

“เสี่ยวหนีจื่อขออนุญาตเชิญยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตท่านหนึ่งขึ้นมาบนเวที เพื่อเป็นประจักษ์พยานไปพร้อมกันทั้งหมด…” เหย่าหนีเชวียนทอดสายตาไปทั่วทั้งบริเวณพร้อมกับยิ้มกว้างขึ้นมา

“ข้าเอง”

ยังไม่ทันที่เหย่าหนีเชวียนจะกล่าวจบก็ได้มีชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบปีเสนอตัวขึ้นไปอย่างกล้าหาญองอาจ นี่เป็นครั้งแรกที่หมู่ตึกฮวาหวินได้เชื้อเชิญแขกที่เข้าร่วมงานขึ้นไปบนเวทีจึงทำให้ผู้คนเกิดอาการแตกตื่นขึ้นมาได้บ้างแล้ว

เหย่าหนีเชวียนยิ้มหวานส่งให้ชายหนุ่มที่เดินขึ้นมายืนข้างๆ แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าว่า “ขอเรียนถามคุณชาย ท่านกลัวความเจ็บปวดหรือไม่?”

“พูดเป็นเล่นไป ข้า…จ้าวหยาง เคยเดินทางขึ้นเหนือลงใต้มานับหลายปี คุณหนูถามออกมาเช่นนี้ช่างทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจเป็นยิ่งนัก” ชายหนุ่มผู้นั้นขมวดคิ้วเข้มอย่างไม่สบอารมณ์

หลงเฉินที่นั่งดูอยู่จากห้องพิเศษก็เกิดความคิดโลดแล่นขึ้นมาอีกครั้ง จ้าวหยาง? หรือจ้าวหยาง*? ก็เอาเถิด ดูเหมือนว่านามของเจ้าจะตั้งขึ้นมาได้อัปมงคลยิ่ง เรียกขานด้วยนามนี้คงมีแต่พาลให้เจ้าต้องมาพบเจอกับโศกนาฏกรรมอยู่เป็นนิจ

*พ้องเสียง遭殃กับคำว่าภัยพิบัติ

“ถ้าเช่นนั้นหนีเชวียนคนนี้ก็คงเสียมารยาทเกินไปแล้ว”

ทันใดนั้นเองประกายแสงหนึ่งก็พุ่งเข้ามายังมือของเหย่าหนีเชวียน กระบี่ยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาประดุจสายฟ้าแลบอย่างไรอย่างนั้น

“ฉับ”

สายโลหิตสายหนึ่งสาดออกมาจากร่างของชายหนุ่มผู้นั้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ผู้คนที่รับชมอยู่ต่างก็อยู่ในอาการปากอ้าตาค้างไปตามๆ กัน แขนข้างหนึ่งของเขาถูกตัดจนขาดสะบั้นด้วยคมกระบี่ของเหย่าหนีเชวียน

“เจ้า……”

ชายหนุ่มผู้นั้นยังไม่ทันจะได้ป้องกันตัวก็ถูกเฉือนเข้าที่แขนจนแสดงใบหน้าแตกตื่นทั้งเกรี้ยวกราดขึ้นมา ครั้นคิดว่าจะโต้ตอบกลับไปก็ถูกกระบี่ยาวเล่มเดิมจ่อมาที่คอหอยของเขาเสียแล้ว

“ท่านได้กล่าวออกมาเองว่าไม่เกรงกลัวต่อความเจ็บปวด มา…ข้าจะสมานแผลให้ท่านเอง” เหย่าหนีเชวียนนำโอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกเม็ดนั้นให้แก่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

เขากลืนโอสถเม็ดนั้นลงไป “อะไรกัน ”

ตลอดทั่วทั้งงานประมูลก็ได้เกิดความแตกตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผู้คนต่างก็ผุดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วจ้อมมองไปบนเวทีอย่างเอาเป็นเอาตาย

ชายหนุ่มผู้นั้นเบิกตาโพรงขณะมองไปยังแขนข้างที่ถูกตัดที่กำลังค่อยๆ งอกเงยกลับมาใหม่อย่างช้าๆ เวลาผ่านพ้นไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูปดับที่แขนข้างนั้นก็กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดังเดิม อีกทั้งยังสามารถขยับนิ้วไปมาได้ราวกับว่าไม่เคยเกิดสิ่งใดขึ้นกับแขนของเขามาก่อน

นอกจากชายหนุ่มที่ถูกตัดแขนแล้ว แม้แต่ผู้คนด้านล่างเองยังตกใจจนกลายเป็นตัวโง่งมไปหมด ถ้าหากไม่ใช่เพราะยังเห็นคราบโลหิตนองอยู่บนเวที สิ่งที่เกิดขึ้นคงจะเป็นเพียงแค่ความฝันที่ชั่วร้ายก็เท่านั้น

“บัดซบ โอสถที่ล้ำค่าเพียงนี้ พวกเจ้านำออกมาใช้อย่างสิ้นเปลืองได้อย่างไรกัน” ชายชราผู้หนึ่งโวยวายขึ้นมาเสียงดัง ดวงตาทั้งสองข้างปะทุเปลวเพลิงขึ้นมา พร้อมกับชี้นิ้วไปยังเหย่าหนีเชวียน

จากนั้นเสียงโห่ร้องจากผู้คนอื่นๆ ก็ตามมาเป็นระลอกใหญ่ โอสถเม็ดนั้นมีผลลัพธ์ระดับโอสถเทพเลยก็ว่าได้ ช่างน่าเสียดายที่จะต้องหายไปเพียงเพื่อรักษาคนผู้หนึ่งเท่านั้น

“คุณหนูเหย่า ท่านกำลังปั่นหัวพวกข้าเล่นหรืออย่างไรกัน? หาคำตอบที่ดีให้แก่พวกเราเสียด้วย” ชายผู้หนึ่งกระแทกเสียงขึ้นมาอย่างเหลืออด

เหย่าหนีเชวียนมองไปที่กลุ่มคนที่มีใบหน้าไม่สบอารมณ์ แล้วแสยะยิ้มออกไปคล้ายกับว่าได้คาดการณ์มาแล้วอย่างดี

“ได้โปรดอยู่ในความสงบ ขอยืนยันคำเดิมว่าหมู่ตึกฮวาหวินจะไม่กระทำเรื่องที่เสื่อมเสียถึงชื่อเสียงอย่างแน่นอน”

“ตึง”

เหย่าหนีเชวียนฟาดฝ่ามือลงบนแท่นกลางเวทีจนผู้คนทั้งหมดอยู่ในอาการปิดปาก จากนั้นด้านหลังของเหย่าหนีเชวียนก็ปรากฏร่างของสาวใช้อีกนางหนึ่งกำลังถือกล่องใบหนึ่งเดินเข้ามา

“ทุกท่าน โอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกมีด้วยกันทั้งหมดสองเม็ด สิ่งที่ทำให้พวกท่านตกใจไปเมื่อสักครู่ เสี่ยวหนีจื่อต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง

ที่ได้บอกกล่าวประสิทธิภาพของโอสถออกไปก็ใช่ว่าจะสามารถทำให้พวกท่านเชื่อได้ ฉะนั้นแล้วเสี่ยวหนีจื่อมีแต่จะต้องแสดงออกมาให้เห็นเท่านั้น”

ใช่แล้ว ถ้าหากไม่ได้ประจักษ์แก่สายตาของตัวเอง ก็คงจะไม่มีผู้ใดเชื่อว่ามีโอสถประหลาดเช่นนี้อยู่บนโลกนี้?

ถึงแม้ว่าจะได้เห็นเองกับตาก็ยังมีผู้คนไม่น้อยที่ยังตกอยู่ในสภาวะตื่นตระหนกอย่างไม่เสื่อมคลาย คล้ายกับว่าอยู่ในห้วงแห่งความฝันอย่างไรอย่างนั้น

หลงเฉินพยักหน้าไปมาอย่างชอบใจ พ่อค้าหากไม่หน้าเลือดก็คงจะไม่มีวันทำการค้าอันยิ่งใหญ่ได้ การใช้เหยื่อตกปลาเช่นนี้ควรจัดอยู่ในระดับเทพแล้ว

การประมูลในรอบนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้าก็จริง ทว่าอีกสักครู่คงจะดุเดือดขึ้นมากกว่ารอบไหนๆ อย่างแน่นอน

“แกร๊ก”

กล่องใบใหม่ถูกเปิดออกมา โอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกเม็ดนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับเม็ดก่อนหน้านี้ทุกประการ

“โอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกเม็ดนี้เป็นโอสถระดับสอง เรื่องผลลัพธ์นั้นก็คงจะไม่ต้องกล่าวถึงอีกแล้ว ทว่าข้าอยากจะเตือนทุกท่านเอาไว้ว่าโอสถเม็ดนี้มีไว้สำหรับขอบเขตก่อโลหิตเท่านั้น ขอเริ่มต้นราคาประมูลที่หนึ่งอี้ การประมูลในรอบนี้——เริ่มได้”

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงของเหย่าหนีเชวียน ความดุเดือดที่ถุกจุดประกายให้พุ่งพล่านก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset