เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 61 เอาคืน

“โอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกเม็ดนี้ ขอเริ่มต้นราคาประมูลที่หนึ่งอี้ การประมูลในรอบนี้——เริ่มได้”

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงของเหย่าหนีเชวียน ความดุเดือดที่ถูกจุดประกายให้พุ่งพล่านก็ได้เริ่มขึ้น

“สองอี้”

ยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตผู้หนึ่งก็ได้เสนอราคาขึ้นมา การเสนอราคาดีดตัวสูงขึ้นไปกว่าเดิมเท่าตัวเห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์ของโอสถนั้นล้ำค่าเกินกว่าราคาเพียงเท่านี้ผู้ที่ยังไม่สูญเสียเงินในบัตรมรกตจึงได้เปรียบมากที่สุด

“สามอี้”

เฒ่าชราผู้หนึ่งที่นั่งอยู่มุมห้องที่ยากจะสังเกตได้ขานเรียกราคาขึ้นมาเสียงดังชายผู้นี้มีเส้นผมสีขาวโพลนไปทั้งศีรษะ

“นั่นไม่ใช่ปรมาจารย์หลอมโอสถหวังลู่หยางแห่งรัฐเถาฉีหรอกหรือ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน

เถาฉีเป็นรัฐขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเฟิงหมิงมากนัก ทว่าที่รัฐแห่งนั้นกลับไม่มีชุมนุมผู้หลอมโอสถเป็นของตนเอง มีเพียงห้องหลอมโอสถขนาดกลางเท่านั้น

หากในรัฐใดไร้ซึ่งโอสถและยุทโธปกรณ์คอยค้ำชูและหนุนนำก็คงจะต้องล่มสลายไปตั้งแต่แรกแล้ว ถึงแม้ว่ายุทโธปกรณ์จะสามารสร้างขึ้นมาได้จากเศษเหล็ก ทว่าหากไม่มีโอสถช่วยหล่อเลี้ยงชีพก็ย่อมไม่อาจอยู่รอดต่อไปได้

ชายชราที่ถูกขานเรียกว่าปรมาจารย์หลอมโอสถหวังลู่หยางได้รับการยกย่องให้เป็นชนชั้นระดับราชครูของรัฐเถาฉีเลยทีเดียวอีกทั้งยังมีสถานภาพที่สูงส่งกว่าองค์จักรพรรดิ เพราะหากรัฐไม่ได้รับการสนับสนุนจากปรมาจารย์หลอมโอสถก็คงจะถูกรัฐใหญ่ข้างเคียงกลืนกินไปแล้ว

เมื่อหวังลู่หยางได้เริ่มลงมือบ้างก็ได้ทำให้ผู้คนเกิดความหวาดหวั่นจนรีบถอยร่นออกไป ด้วยความเกรงกลัวในพลังอำนาจที่ชายชราผู้นี้กำลังกุมเอาไว้อยู่

โดยทั่วไปแล้วราคาของโอสถระดับกลางขั้นที่สองมักจะไม่เกินสามสิบหมื่น ทว่าบัดนี้ราคาของมันกลับมากกว่าถึงพันเท่าจนผู้คนไม่น้อยได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อาจทนรับไหว

หากจะกล่าวให้ถูกก็คงจะต้องบอกว่าสมบัติอันล้ำค่าเช่นนี้เป็นดั่งบุญบารมีที่ไม่อาจจะเรียกร้องได้การปะทะกันในสนามรบจนอาจถูกตัดแขนขานั้นคงจะไม่คุ้มเสีย ทรัพย์สินมากมายก่ายกองก็คงจะไม่อาจเทียบได้กับหนึ่งชีวิตที่อยู่รอด

ด้วยเหตุนี้หากมีโอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกเม็ดนี้ก็เสมือนกับมีเกราะป้องกันที่ดีที่สุด เซี่ยฉางเฟิงและเซี่ยปายฉือจ้องไปยังโอสถเม็ดนั้นด้วยแววตาลุกวาวเพลิงโทสะปะทุขึ้นมาในใจ วาสนาที่มีก็ช่างน้อยนิด ไม่อาจเตรียมการเอาไว้ได้ทันแล้ว

“สี่อี้”

เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากยิงฮวา

“ห้าอี้”

หวังลู่หยางตอกกลับไปอย่างไม่กังวลใจใดใดใบหน้าของเขาช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะได้ครอบครองโอสถเม็ดนั้น ถึงแม้ว่ายิงฮวาจะเป็นถึงขุนนางชั้นสูง ทว่าด้วยกำลังทรัพย์ที่มีทั้งหมดก็ไม่อาจที่จะเทียบเคียงได้กับราชครูแห่งรัฐอย่างหวังลู่หยางได้

ความเงียบสงัดบังเกิดขึ้นมาครั้งที่เท่าใดก็ไม่อาจนับได้โอสถระดับกลางขั้นที่สองเพียงเม็ดเดียว กลับมีราคาประมูลสูงล้ำยิ่งกว่าทักษะยุทธ์อันลี้ลับได้

แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังแตกตื่นขึ้นมาไม่น้อยอีกส่วนหนึ่งก็เกิดความยินดีขึ้นมาไม่หยุด ดูเหมือนว่า โอสถทั้งหลายในยุคสมัยก่อนต่างก็ได้หายสาบสูญไปจนหมดสิ้นแล้วเขามีความทรงจำของจักรพรรดิโอสถอยู่ ฉะนั้นวิธีการหลอมโอสถโบราณขึ้นมานั้นเพียงแค่หยิบมือเดียวก็สามารถทำให้เฟื่องฟูขึ้นมาใหม่ได้ราวกับเสกมนต์อย่างไรอย่างนั้น

หากปล่อยให้ผู้อื่นทราบว่าโอสถเม็ดนี้เป็นของเขา เกรงว่าคงจะต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่แท้ เพียงแค่จินตนาการก็สัมผัสได้ถึงภยันตรายอันเลวร้ายที่เข้ามากร่ำกรายได้ส่วนหนึ่งแล้ว ในช่วงเวลาเช่นนี้คงจะทำได้แค่เพียงภาวนาให้หมู่ตึกฮวาหวินช่วยปกปิดความลับเอาไว้ตลอดกาล

หวังลู่หยางที่ได้ขานราคาออกมาถึงห้าอี้ก็ไร้ซึ่งเสียงขานรับอันใดขึ้นมาอีก แม้แต้เสียงหายใจก็แทบจะไม่มีเล็ดลอดออกมา ราคาห้าอี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนทั่วไปจะแย่งชิงกันได้อีกแล้ว

เมื่องานประมูลได้ดำเนินมาถึงช่วงเวลาที่ไม่จำเป็นจะต้องเสริมแรงกระตุ้นอันใดแล้ว เหย่าหนีเชวียนก็ได้เริ่มนับเฉกเช่นที่เคยทำมาแล้วทุกรอบ ในที่สุดโอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกก็ได้ตกไปอยู่ในมือของหวังลู่หยางด้วยราคาห้าอี้

“อะ ทุกท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนกันไปเลย เรื่องอันน่าตื่นเต้นยังไม่หมดแค่เพียงเท่านี้หรอก”

เมื่อพบว่าผู้คนเริ่มขยับออกจากพนักพิงเก้าอี้ เหย่าหนีเชวียนก็สาดรอยยิ้มหวานออกมาแล้วกล่าวเชิญชวนอีกครั้ง สาวใช้นางหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวทีในขณะที่มือคู่เรียวกำลังพยุงกล่องหยกใบหนึ่งเอาไว้

ผู้คนภายในงานเริ่มชักสีหน้าฉงนสงสัยไปตามกัน งานประมูลในปีนี้ช่างมีเรื่องมากมายชวนให้ต้องตื่นเต้นอยู่หลายขุมกันเลยทีเดียวแล้วนี่เป็นสมบัติชิ้นใดกันอีกเล่ายังคงเป็นโอสถเช่นเดิมทว่ามีความล้ำค่ามากขึ้นไปอีกหรืออย่างไร

“เอี๊ยด”

เมื่อกล่องหยกถูกเปิดออกก็เผยให้เห็นโอสถเม็ดหนึ่งที่ไม่ได้แตกต่างไปจากรอบก่อนเลยแม่แต่น้อย จนผู้คนทั้งหมดต่างก็ขมวดคิ้วเข้มขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง

เห็นได้ชัดว่าโอสถเม็ดนี้เหมือนกับโอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกเม็ดก่อนหน้านี้ในทุกประการ เมื่อครู่ก็ได้กล่าวว่าเป็นเม็ดสุดท้ายบนโลกหล้าแล้วไม่ใช่หรือ แล้วนี่มันคืออันใดกันอีก? คิดจะเล่นตลกกับผู้อื่นหรืออย่างไร?

ทันทีที่หวังลู่หยางมองไปยังโอสถที่นำออกมาประมูลในรอบนี้ก็มีใบหน้าเหยเกขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ชายชราพุ่งตัวลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วจนผู้คนทั่วทั้งงานเกรงว่าเขาคงจะต้องปะทุเพลิงโทสะออกมาเป็นแน่

ทว่ากลับผิดคาดกับห้วงความคิดของเหล่าผู้ร่วมงาน เมื่อหวังลู่หยางที่ลุกขึ้นยืนกำลังจ้องมองไปที่โอสถอย่างเอาเป็นเอาตาย จู่จู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังกึกก้องกังวานไปทั่ว“เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม ครั้งนี้ถือว่ามาไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ”

เหย่าหนีเชวียนยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวขึ้นมาว่า “นี่เป็นชิ้นงานจากผู้หลอมโอสถระดับปรมาจารย์อย่างแท้จริง เพียงได้มองดูจากที่ห่างไกลยังเห็นความล้ำค่าถึงเพียงนี้ ช่างน่ายกย่องยิ่งนัก”

“ไม่ผิดแน่ โอสถเม็ดนี้เป็นโอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูก เพียงแต่ไม่ใช่โอสถระดับกลาง ทว่าเป็นโอสถที่อยู่ใน——ระดับสูง!”

“อะไรกัน?”

ผู้คนภายในงานต่างก็เกิดความบ้าคลั่งขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

“ใช่ นี่ก็คือโอสถโบราณระดับสูงอย่างที่ทุกท่านได้กล่าวมาโอสถระดับกลางนั้นใช้ได้กับยอดฝีมือในขอบเขตพลังขั้นก่อโลหิตเท่านั้นจึงจะเห็นผล ทว่าเม็ดนี้มีความล้ำค่ายิ่งกว่าย่อมบังเกิดผลต่อยอดฝีมือในขอบเขตพลังเปลี่ยนเส้นเอ็นขึ้นไปแล้ว”เหย่าหนีเชวียนทอสีหน้าแข็งกร้าวขึ้นมา

ทันทีที่เสียงของเหย่าหนีเชวียนได้ทอดลง ความฮือฮาอย่างบ้าคลั่งก็เดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง ยอดฝีมือในขอบเขตพลังเปลี่ยนเส้นเอ็นนั้นจัดเป็นยอดฝีมือในระดับสูงสุดของทางจักรวรรดิเลยก็ว่าได้ น้อยคนนักที่จะได้ครอบครองไปถึงตำแหน่งนั้น

“โอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกระดับสูงเม็ดนี้ขอเริ่มต้นที่ราคาสองอี้ การประมูลในรอบนี้——เริ่มได้”

“สี่อี้”

เสียงตะโกนแรกที่ได้เสนอราคาออกไปยังคงเป็นหวังลู่หยาง อีกทั้งเพียงกล่าวออกมาครั้งแรกก็แทบจะเป็นปิดการประมูลในรอบนี้ลงไปอย่างไรอย่างนั้นชายชราผู้นี้คงจะไม่ต้องการให้ผู้ใดเรียกราคาขึ้นไปอีก เขาคงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้โอสถเม็ดนี้อย่างมากก็เป็นได้

บัดนี้บรรยากาศภายในห้องประมูลเงียบสงัดลงกว่าครั้งใดจนได้ยินเสียงหัวใจของผู้คนเต้นระรัวอยู่ภายในอก การเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถ อีกทั้งยังเปรียบเสมือนราชครูของรัฐนับได้ว่ามั่งคั่งเป็นอย่างยิ่งทรัพย์สินคงจะมากมายก่ายกองเกินไปแล้ว

“ห้าอี้”

เสียงของยิงฮวาก็ได้ดังขึ้นมาท่ามกลางความตื่นตระหนกของผู้ร่วมงานราวกับว่ามีสายฟ้าผ่าลงกลางเมือง

“พี่ฉู่หยาง ท่านว่ายิงฮวาจะสามารถแย่งชิงกับหวังลู่หยางผู้นั้นได้หรือไม่”

เซี่ยฉางเฟิงที่นั่งอยู่ในห้องพิเศษอีกห้องหนึ่งก็ได้ส่งเสียงกระซิบกระซาบอันแผ่วเบาไปฉู่หยาง

“ยิงฮวาปรารถนาในโอสถเม็ดนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ย่อมไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของผู้ใดเป็นแน่แท้ ต่อให้ต้องแลกด้วยทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็คงจะช่วงชิงมาให้จงได้” องค์ชายใหญ่ถอนหายใจช้าๆ แล้วกล่าวออกมา

“เพราะเหตุใดกัน?” เซี่ยฉางเฟิงบังเกิดความสงสัยขึ้นมาส่วนหนึ่ง โอสถเม็ดนั้นมีค่ามากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

“เมื่อหลายสิบปีก่อนยิงฮวาได้ประมือกับคนผู้หนึ่งจนพ่ายแพ้ให้ย่อยยับ เขาสูญเสียนิ้วชี้ข้างหนึ่งไปในระหว่างที่ต่อสู้

หลังจากนั้นเขาก็ถูกกดขี่ข่มเหงจนปฏิเสธที่จะเข้ารับการรักษาตัวชายผู้นั้นคงจะคิดไม่ถึงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะกระทบถึงชีวิตการฝึกยุทธ์ของตัวเองได้

นับจากวันนั้นเป็นต้นมาเขาก็เริ่มฝึกปรืออย่างไม่คิดชีวิตทลายพันธนาการออกจนทะลุเข้าสู่ขอบเขตพลังเปลี่ยนเส้นเอ็นในที่สุด

ทว่าหลังจากเข้าสู่ขอบเขตพลังเปลี่ยนเส้นเอ็นแล้ว เขาก็พบขีดจำกัดของร่างกายบางอย่าง การจะทลายพันธนาการของขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นจำเป็นจะต้องฝึกผ่านเส้นเอ็นเข้าสู่ไขกระดูก นิ้วมือข้างหนึ่งที่ขาดไปก็คือเส้นเอ็นเส้นหนึ่งที่ขาดไปด้วยสิ่งนี้จึงเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการฝึกยุทธ์ของเขาอย่างใหญ่หลวง

นิ้วมือที่ขาดไปได้ผ่านล่วงเลยมาเนิ่นนานจนไม่อาจที่จะนำกลับมาต่อได้หลายปีมานี้เขาจึงได้ออกตระเวนไปทั่วทุกรัฐเพื่อทำการรักษา ทว่าก็พบเพียงหนทางที่อับจนปัญญามาโดยตลอด

ก่อนหน้านี้ที่เขายอมพ่ายประมูลให้กับหวังลู่หยางก็เป็นเพราะโอสถระดับกลางขั้นที่สองเม็ดนั้นให้ผลลัพธ์เพียงพลังขอบเขตขั้นก่อโลหิตเท่านั้น และด้วยราคาถึงแค่ห้าอี้จึงถือว่ามากเกินไป

ทว่าในตอนนี้โอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกระดับสูงมีผลลัพธ์ต่อเขาโดยตรง ข้าพยากรณ์ได้เลยว่าเขาจะต้องช่วงชิงมาให้จงได้

หากหวังลู่หยางผู้นั้นไม่รู้จักวางตัวเอาไว้ให้ดี ก็คงจะ…เหอะเหอะ…” ฉู่หยางหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ทว่าก็ไม่ได้กล่าวออกมาอีก

เซี่ยฉางเฟิงที่เห็นใบหน้ามีเลศนัยเช่นนั้นก็พอจะคาดเดาถึงความนัยได้ว่าหากหวังลู่หยางไม่รู้จักอ่อนข้อแล้วล่ะก็คงยากที่จะออกไปจากจักรวรรดิเฟิงหมิงได้ ต่อให้เขามีศักดิ์เป็นถึงราชครูของรัฐ ทว่าหากเปรียบเทียบกับจักรวรรดิเฟิงหมิงแล้วก็ยังถือว่าต่างชั้นกว่ากันมาก

เซี่ยฉางเฟิงและเซี่ยปายฉือพยักหน้าไปมาอย่างเข้าใจถึงแก่นแท้แต่ถึงอย่างไรปรมาจารย์ผู้หลอมโอสถต่างก็ต้องการโอสถอย่างมากด้วยเช่นกัน เกรงว่าศึกประมูลในครั้งนี้คงไม่อาจดำเนินต่อไปได้ราบรื่นอย่างแน่นอน

เมื่อหวังลู่หยางพบว่ายิงฮวาได้เสนอราคาขึ้นมาถึงเพียงนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเองก็พอจะทราบว่ายิงฮวาปรารถนาที่จะครอบครองโอสถล้ำค่าเม็ดนี้อยู่เช่นเดียวกันทว่าจะทำเขาปล่อยไปง่ายดายก็ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

หากปรมาจารย์หลอมโอสถเช่นเขาได้รับโอสถผลัดกล้ามเนื้อเปลี่ยนกระดูกระดับสูงไป คงจะทำให้เจริญก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดเป็นอย่างมากจากการวิเคราะห์ส่วนผสมภายในโอสถแล้ววิจัยวิธีการออกมาเพื่อทำการหลอมโอสถเม็ดต่อไปด้วยเหตุนี้เขาอาจจะกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงสั่นสะท้านไปทั่วทั้งฟ้าดินได้เป็นแน่แท้

ผู้หลอมโอสถโดยมากล้วนแล้วแต่ขาดแคลนเรื่องทุนทรัพย์กันเกือบทั้งสิ้นจากความผิดพลาดของช่วงที่ยังเป็นมือใหม่ที่หลอมโอสถล้มเหลวไปหลายครั้ง

ในขณะที่หวังลู่หยางกำลังเปิดปากเสนอราคาขึ้นมายิงฮวาก็เอ่ยวาจาเยือกเย็นตัดบทในทันที “ท่านปรมาจารย์ โอสถเม็ดนี้มีความสำคัญต่อชีวิตของวีรบุรุษเช่นข้ายิ่งนัก โปรดให้ท่านปรมาจารย์ถอยออกมาด้วย

ท่านได้โอสถไปบางส่วนแล้วย่อมสามารถนำไปวิเคราะห์ได้แล้วกระมังหากโอสถเม็ดเล็กเพียงเม็ดเดียวต้องทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองรัฐย่ำแย่ลงคงจะไม่เหมาะเท่าใดนัก ท่านเห็นด้วยหรือไม่เล่า”

วาจาเฉียบขาดของยิงฮวาคล้ายกับต้องการที่จะตัดความสัมพันธ์ลงอย่างเยือกเย็นเขาช่างมีจิตใจที่โหดเ**้ยมอยู่ไม่น้อยเลย ดูเหมือนว่าโอสถเม็ดนี้คงจะสำคัญต่อเขาเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่กล่าววาจาล่วงเกินออกมาถึงเพียงนี้

เหย่าหนีเชวียนทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาเป็นสาย เหตุใดงานประมูลจึงปรากฏเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้กัน? ทว่าทั้งยิงฮวาและหวังลู่หยางต่างก็เป็นแขกผู้มีเกียรติของหมู่ตึกฮวาหวินจะให้กล่าวโทษทั้งสองก็คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ ทว่าหากให้พวกเขาช่วงชิงกันต่อไปก็อาจจะเกิดเรื่องที่แย่ที่สุดด้วย

ที่สำคัญก็คือการเกิดปัญหากับแขกผู้ทรงเกียรติทั้งสองคนนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของหมู่ตึกฮวาหวินเป็นแน่ ในเวลานี้เหย่าหนีเชวียนที่ยืนอยู่บนเวทีปะทุความเกลียดชังต่อยิงฮวาขึ้นมาภายในจิตใจจนแทบจะคลั่งตาย

“ยิงฮวาล้อเล่นไปแล้ว เหล่าฟู่(ข้าผู้ชรา老夫)ที่คิดทำการแย่งชิง คงกลายเป็นที่น่าอับอายไม่น้อยเลย” หวังลู่หยางกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ผู้คนมากมายต่างก็ผิดหวังในตัวของยอดฝีมือไปตามๆ กัน หวังลู่หยางเป็นถึงบุคคลผู้สูงส่งของต่างรัฐกลับต้องมาพบเจอกับเรื่องที่น่าอับอายของเฟิงหมิงเช่นนี้อย่างนั้นหรือ? นี่เพราะเขาเห็นแก่หน้าของยิงฮวาหรอกนะจึงได้กล่าวออกมาเพียงเท่านี้

เหย่าหนีเชวียนทำได้แค่เพียงปั้นฝ่ามือเอาไว้ด้านหลัง ทว่าบนใบหน้าก็ยังประดับด้วยรอยยิ้มกว้างเอาไว้ไม่เสื่อมคลายขณะนี้งานประมูลดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว นางควรจะทำให้เหตุการณ์ในตอนนี้กลายเป็นเพียงหมอกควันที่จางหายไปโดยเร็วที่สุด

“ใต้เท้ายิงฮวาได้เสนอออกมาที่ห้าอี้ ยังมีผู้ใดให้ราคาที่สูงกว่านี้หรือไม่?หากว่าไม่มีแล้วจะเริ่มต้นการนับในทันที

“ห้าอี้ครั้งที่หนึ่ง”

“ห้าอี้ครั้งที่สอง”

“ห้าอี้ครั้งที่……”

ยิงฮวานั่งอยู่ในห้องพิเศษด้วยท่าทีที่เงียบสงบพลันสูดดมกลิ่นหอมรัญจวนใจของถ้วยชาที่ถืออยู่ในมือ เขาสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ไม่พอใจอยู่ขุมหนึ่งของเหย่าหนีเชวียน ทว่าบนใบหน้ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น

ในขณะที่ยิงฮวากำลังยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ทันใดนั้นเองเสียงยานคางเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา ชายวัยฉกรรจ์สะดุ้งตัวโยนจนชาที่อยู่ในแก้วกระฉอกออกมาหลายหยด แล้วหันหน้าอย่างรวดเร็วไปทางต้นเสียงที่เอ่ยขึ้นมาว่า

“หกอี้” . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset