เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 63 สำนักฮวาหวิน

ภายในโถงรับแขกที่ตกแต่งอย่างหรูหราสวยงาม หลงเฉินเหม่อมองไปที่หญิงสาวทรงเสน่ห์นางหนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไปอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้าคือใต้เท้าของที่แห่งนี้อย่างนั้นหรือ?”

เหย่าหนีเชวียนยิ้มให้หลงเฉิน “อย่างข้ายังมีที่ใดที่ ‘ใหญ่’ ไม่พอกัน?”

เมื่อหญิงสาวกล่าวจบก็บังเกิดเสียงหัวเราะดังสนั่นจนหน้าอกกระเพื่อมไปมา ผู้คนที่ได้มองอยู่เป็นอันต้องเกิดอาการปากแห้งผากขึ้นมา หลงเฉินเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านางเป็นผู้ที่ยิ่ง ‘ใหญ่’ คนหนึ่งด้วยเช่นกัน

ถึงจะคิดขึ้นได้มาได้เช่นนั้น ทว่าหลงเฉินก็ไม่ได้สนใจในหญิงสาวที่มีหน้าอกใหญ่แต่อย่างใด เขายังคงชมชอบหญิงงามอย่างเช่นม่งฉี หรือไม่ก็เป็นที่น่ารักน่าเอ็นดูอย่างฉู่เหยาอยู่ไม่เสื่อมคลาย

“เจ้าให้ข้ามาพบเพียงผู้เดียว มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลงเฉินที่ไร้ซึ่งเยื่อใยและยังปฏิเสธคำเชิญชวนของตัวเอง เหย่าหนีเชวียนจึงบังเกิดความขุ่นเคืองขึ้นมาในอกอยู่ไม่น้อย ราวกับว่าถูกทำร้ายไปที่จิตใจอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นอกมั่นใจอยู่มาก

เหย่าหนีเชวียนที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะโกนดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“หนีเชวียน เจ้าอย่าได้วุ่นวายไป”

หญิงสาวนางหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาจากด้านหลังของเหย่าหนีเชวียน นางคงจะมีอายุประมาณยี่สิบกว่า สวมอาภรณ์ที่หลวมโคร่งดูสะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งบนใบหน้ายังไร้ซึ่งการประทินโฉมใดใด ช่างให้ความรู้สึกที่งดงามไปได้อีกแบบหนึ่ง

“ชิ เป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้จักตามน้ำเอาเสียเลย เจี่ยเจี่ย ข้าขอตัวก่อน ส่วนเด็กน้อยผู้นี้ข้ามอบให้เจ้าก็แล้วกัน” เหย่าหนีเชวียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเล็กแหลมบาดแก้วหูแล้วจ้องเขม็งมายังหลงเฉิน พลันก็รีบเดินส่ายบั้นท้ายออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

“ต้องขออภัยด้วยที่เชิญท่านมาเร่งด่วนเช่นนี้ ช่างเป็นการกระทำที่บุ่มบ่ามเป็นอย่างยิ่ง โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย ก่อนอื่นข้าขอแนะนำตัวก่อน ข้าเสี่ยวหนีจื่อ…ป่ายหลิง ขอเข้าพบหลงเฉินซื่อจื่อ” หญิงสาวคล้องผมยาวไปทัดที่ใบหู พร้อมกับโค้งศีรษะลงเล็กน้อย

“แม่นางเกรงใจไปแล้ว” หลงเฉินเองก็โค้งลงอย่างมีมารยาทเช่นกัน

“ข้าทราบดีว่าเวลาของคุณชายช่างมีค่าเป็นอย่างมาก ฉะนั้นเสี่ยวหนีจื่อจะรีบกล่าวออกมาอย่างกระชับ ที่เชิญซื่อจื่อมายังโถงแห่งนี้ เรื่องแรกก็คือส่วนแบ่ง

โอสถทั้งหมดสองเม็ดถูกประมูลออกไปด้วยราคายี่สิบอี้กับอีกหนึ่งร้อยหมื่นตำลึงทอง ช่างถือเป็นตัวเลขที่สูงล้ำเป็นอย่างยิ่ง” ป่ายหลิงกล่าวออกมาได้อย่างลื่นไหล

เห็นได้ชัดเจนเลยว่าพวกนางจงใจจะให้โอสถทั้งสองเม็ดนี้อยู่ในราคาที่สูงลิบตั้งแต่แรกแล้ว อีกทั้งยังสร้างแรงกระตุ้นขึ้นมาจนราคากระเพื่อมขึ้นสูงไปมากถึงเพียงนี้ ส่วนหลงเฉินที่อยู่ภายในงานก็มีส่วนช่วยทำให้การประมูลประสบความสำเร็จขึ้นอีกด้วย

“นี่คือส่วนแบ่งของท่าน” ป่ายหลิงกล่าวจบก็ยื่นบัตรมรกตใบหนึ่งให้แก่หลงเฉิน

หลงเฉินพลิกบัตรมรกตที่รับมาจากหญิงสาว ตัวบัตรปรากฏตัวเลขสิบอี้ตำลึงทองขึ้นมาอย่างเด่นชัดจนทำให้หลงเฉินเบิกตากว้างขึ้นมาอย่างแตกตื่นตกใจ จากนี้ไปคงจะไม่ต้องพะวงเรื่องเงินทองอีกต่อไปแล้ว

ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้สนใจว่าหมู่ตึกฮวาหวินจะได้ผลลัพธ์ออกมามากหรือน้อยเพียงใด แม้จะไม่ได้สิ่งตอบแทนเป็นส่วนแบ่ง เขาก็ไม่ได้แยแสอันใดอยู่แล้ว สนใจก็แต่เพียงหญ้าสลายดาราเท่านั้น

“ขอบคุณมาก”

“ที่ควรจะกล่าวขอบคุณสมควรจะเป็นฝ่ายของเราจึงจะถูกต้อง ครั้งนี้มีหลงเฉินซื่อจื่อมาร่วมงานจึงทำให้งานประมูลประสบความสำเร็จที่สุดเป็นประวัติกาล นับว่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่จัดประมูลขึ้นมาอีกด้วย” ป่ายหลิงยิ้มกว้างแล้วโค้งคำนับลง

หลงเฉินยิ้มน้อยๆ ออกไป เข้าใจถึงเหตุผลหลักขึ้นมาได้อย่างแจ่มแจ้ง คงจะเป็นเพราะเขาได้จัดการยิงฮวาจนเกิดผลลัพธ์อันมหาศาลถึงเพียงนี้

“อย่าได้กล่าวเกรงใจเช่นนั้น หากไม่ใช่การสนับสนุนของซื่อจื่อ ข้าก็คงไม่อาจจัดการกับความอัดอั้นตันใจได้อย่างแน่นอน”

ป่ายหลิงทอสีหน้าฉงนสงสัยขึ้นมาครู่หนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างขึ้นมาทันที “คิดว่าหลงเฉินซื่อจื่อคงจะเข้าใจผิดอย่างมหันต์ไปแล้ว ไม่ใช่เราที่คอยสนับสนุนท่าน ทว่าเป็นปรมาจารย์หวินฉีผู้ที่เคยดูแลพวกเรามาก่อนหน้านี้ ที่กล่าวไว้ว่าหากซื่อจื่อต้องตาสิ่งของอันใด จงรีบขายให้แก่ท่าน ส่วนเรื่องเงินทองที่มากน้อยเท่าใด ท่านปรมาจารย์จะมาชดใช้ให้เองภายหลัง”

“ปรมาจารย์หวินฉี?”

ภายในจิตใจของหลงเฉินบังเกิดความตื่นตันขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ไม่นึกฝันมาก่อนเลยว่าปรมาจารย์หวินฉีจะคอยพยุงเขาด้วยวิธีเช่นนี้ ราวกับว่าชายชราผู้นี้มีจิตใจที่ใส่ใจต่อเขามาโดยตลอด

“ขอเสียมารยาทสักหน่อย ในการจัดประมูลปีนี้ทั้งท่านและพวกเราต่างก็ได้รับชัยชนะด้วยกันทั้งสองฝ่าย ความช่วยเหลือของหลงเฉินซื่อจื่อทำให้หมู่ตึกฮวาหวินกอบโกยกำไรได้มากมายมหาศาลอย่างที่ไม่ได้เป็นมาก่อน ด้วยเหตุนี้เพื่อพวกเราขอแสดงความขอบคุณต่อท่านด้วยของขวัญชิ้นหนึ่ง”

ป่ายหลิงล้วงเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมา หน้ากระดาษถูกบันทึกรายชื่อบางอย่างเรียงรายลงมาอย่างเป็นระเบียบ นางยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้หลงเฉินแล้วกล่าวว่า “นี่คือรายชื่อสิ่งของที่เก็บสะสมไว้ในห้องเก็บของแห่งหมู่ตึกฮวาหวิน หรือกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าทั้งหมดที่พวกเรามี เชิญท่านเลือกออกมาหนึ่งชิ้น”

วันนี้โชคเข้าข้างถึงเพียงนี้เชียวหรือ? หลงเฉินไม่ปฏิเสธข้อเสนอนั้นอย่างแน่นอน เขาได้ทำกำไรให้หมู่ตึกฮวาหวินอย่างมหาศาล เช่นั้นก็จะน้อบรับสิ่งของล้ำค่ากลับไปอีกสักชิ้นก็ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว

หลงเฉินรับกระดาษรายชื่อมาจากป่ายหลิง เขากวาดสายตาไปรอบหนึ่งก็พบว่ายังมีของดีอยู่ภายในหมู่ตึกฮวาหวินไม่น้อยเลย ที่ถึงแม้ว่างานประมูลจะเพิ่งผ่านพ้นไป ทว่ากลับยังมีสมบัติอีกมากมายนับไม่ถ้วนถูกเก็บสะสมไว้

หลงเฉินเลื่อนสายตาผ่านเหล่าทักษะยุทธ์ไปอย่างรวดเร็ว เพราะย่อมไม่มีทักษะยุทธ์ระดับโลกาแล้วอย่างแน่นอน โดยมากก็เป็นเพียงระดับมนุษย์แทบทั้งสิ้น ซึ่งสถานะพลังของเขาได้ไกลจากระดับนั้นมามากเกินไปแล้ว

ส่วนเครื่องป้องกันหรือยุทโธปกรณ์ก็ไม่ได้มีเหมาะสมกับเขาเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเองสายตาของหลงเฉินก็เลื่อนไปเจอกับอักษรเพียงไม่กี่ตัวที่ทำให้จิตใจต้องสั่นระรัวขึ้นมา

“เอ๊ะ หญ้าหัวใจเน่าเปื่อย (腐心草) อย่างนั้นหรือ?”

หลงเฉินมองไปเพียงครั้งเดียวก็เห็นรายชื่ออันโดดเด่นอยู่คำหนึ่ง สิ่งนั้นคือหญ้าพิษที่ใช้สำหรับหลอมโอสถพิษ อีกทั้งหญ้าชนิดนี้ยังเป็นพิษที่ร้ายกาจอย่างยิ่งยวด

หากใช้หญ้าหัวใจเน่าเปื่อยนี้หลอมเป็นสารเหลวขึ้นมาแล้วเคลือบไปบนลูกศร หากยิงไปถูกร่างของสัตว์มายาที่ต่อให้เป็นถึงระดับสองก็ไม่อาจที่จะต้านทานพิษเอาไว้ได้

“เป็นมันก็แล้วกัน” หลงเฉินชี้นิ้วไปที่รายชื่อที่เขียนว่า ‘หญ้าหัวใจเน่าเปื่อย’

ป่ายหลิงขมวดคิ้วขึ้นมายกใหญ่ อดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความแปลกประหลาดใจ “หญ้าหัวใจเน่าเปื่อยนี้เป็นพิษที่เ**้ยมโหดยิ่งนัก ทว่าราคากลับไม่ได้สูงเท่าความร้ายแรง ซื่อจื่อไม่ลองพิจารณาอีกสักรอบหรือ?”

ราคาของหญ้าหัวใจเน่าเปื่อยต้นหนึ่งอยู่ที่สิบกว่าหมื่นตำลึงทองเท่านั้น เดิมทีป่ายหลิงปรารถนาให้หลงเฉินเลือกสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดมาชิ้นหนึ่งเพื่อเป็นการตอบแทนต่อหลงเฉิน

ทว่าในเวลานี้หลงเฉินกลับเลือกหญ้าที่มีราคาค่างวดเพียงไม่กี่สิบหมื่นตำลึงทอง จึงทำให้นางรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาภายในจิตใจ ช่างไม่คู่ควรกับความช่วยเหลืออันท่วมท้นของหลงเฉินเป็นอย่างยิ่ง

“สิ่งนี้เหมาะสมแล้ว สิ่งของชิ้นอื่นไม่มีประโยชน์อันใดต่อข้ามากนัก หญ้าหัวใจเน่าเปื่อยต้นนี้ช่างประจวบกับที่ข้ากำลังต้องการนำไปวิเคราะห์ดูเสียหน่อย” หลงเฉินยิ้มแล้วตอบกลับไป

“ไม่ได้ โปรดเลือกมาอีกสักอย่างเถิด” ป่ายหลิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน

“ข้าว่าคงจะไม่สมควรแล้ว” หลงเฉินเองก็ขัดขืนในใจอยู่ไม่น้อย

“ไม่มีปัญหาอันใดเลย ทั่วทั้งหมู่ตึกฮวาหวินแห่งนี้ สิ่งที่ข้าพูดถือเป็นที่สิ้นสุดแล้ว” ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ต้องการให้หลงเฉินเลือกสิ่งของล้ำค่ากลับไปให้จงได้

หลงเฉินครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะลงมือเลือกสรรสิ่งของแปลกประหลาดอันลึกลับอีกครั้งหนึ่ง ท่าทีของหลงเฉินในตอนนี้คล้ายกับกำลังเปิดดูสารบัญของหนังสือเล่มหนึ่งอย่างเคร่งขรึม เขาพลิกกระดาษไปมาพร้อมกับเลื่อนสายตาไปทุกตัวอักษร แล้วก็สะดุดตาเข้ากับสิ่งของชิ้นหนึ่ง

“กะโหลกมายารัตติกาล (夜魔头骨)”

ตัวอักษรทั้งสี่ตัวนี้ไม่ได้ทำให้เขาทอสีหน้าเปลี่ยนไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย ทว่าภายในจิตใจกลับอยากจะร้องตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งว่า: สมบัติอันล้ำค่า

“เป็นโครงกระดูกมายารัตติกาลได้หรือไม่?” หลงเฉินเอ่ยถามหยั่งเชิงออกไป

“แน่นอนว่าย่อมไม่มีปัญหา” ป่ายหลิงยิ้มน้อยๆ โครงกระดูกมายารัตติกาลมีราคาค่างวดเพียงร้อยหมื่นตำลึงทองเท่านั้นจะอย่างไรก็ยังไม่อาจคุ้มค่าอยู่ดี

หลังจากนั้นไม่นานสาวใช้นางหนึ่งก็นำหญ้าหัวใจเน่าเปื่อยและโครงกระดูกมายารัตติกาลเข้ามาส่งมอบให้หลงเฉินภายในโถงรับแขก หญ้าหัวใจเน่าเปื่อยนั้นถูกเก็บอยู่ในขวดขนาดหนึ่งเชียะที่ปิดผนึกเอาไว้เป็นอย่างดี

ถึงแม้ว่าจะถูกปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา ทว่ากลิ่นเหม็นของมันก็ยังโชยออกมาเตะจมูกอยู่เป็นสายจนแทบจะอาเจียนออกมาในทันที

หลงเฉินมองไปยังหญ้าหัวใจเน่าเปื่อยที่อยู่ในมือด้วยรอยยิ้มกริ่มที่มุมปาก หญ้าหัวใจเน่าเปื่อยต้นนี้มีอายุขัยที่ยาวนานพอสมควร ประสิทธิภาพของพิษจึงย่อมต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนโครงกระดูกมายารัตติกาลมีขนาดเท่ากับร่างของมนุษย์ตัวเป็นๆ เลยทีเดียว จะมีก็แต่ศีรษะที่เหมืนกับค้างคาวยักษ์ หากผู้ใดที่ได้พบเจอเป็นต้องตื่นตกใจอย่างแน่แท้

เมื่อพิจารณาสิ่งของที่ได้รับมาอยู่ครู่หนึ่ง หลงเฉินก็บรรจุทั้งสองสิ่งเอาไว้ภายในแหวนมิติ พลันก็เงยหน้าขึ้นมาไปที่ป่ายหลิงแล้วกล่าวออกมาว่า “ขอบคุณคุณหนูป่ายเป็นอย่างสูง”

ป่ายหลิงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “หลงเฉินซื่อจื่อเกรงใจไปแล้ว นี่เป็นการเชื้อเชิญมาเพื่อแสดงคำขอบคุณ ทว่าอีกอย่างหนึ่งก็คืออยากจะเรียนถามหลงเฉินซื่อจื่อว่า ท่านจะสามารถเข้าร่วมกับสำนักฮวาหวินของพวกเราได้หรือไม่?”

“สำนักฮวาหวิน?” หลงเฉินขมวดคิ้วเข้มขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับถามออกไปด้วยความสงสัยที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

“ท่านฟังไม่ผิดเพี้ยนไป หมู่ตึกฮวาหวินเป็นการค้าเพียงส่วนหนึ่งของสำนักฮวาหวินเท่านั้น” ป่าย หลิงยิ้มแล้วกล่าว

“แท้ที่จริงแล้วคุณหนูป่ายก็เป็นศิษย์ของสำนักแห่งนี้หรือ?” หลงเฉินถามออกไปอีกครั้ง

ป่ายหลิงพยักหน้าไปมา “ข้านั้นไม่มีพรสวรรค์ จึงเป็นได้เพียงศิษย์สายนอกของสำนักฮวาหวินเท่านั้น มีหน้าที่รับผิดชอบสาขาของหมู่ตึกฮวาหวินในจักรวรรดิเฟิงหมิง”

หลงเฉินแตกตื่นตกใจขึ้นมาเสียยกใหญ่ ป่ายหลิงเป็นถึงผู้นำแห่งหมู่ตึกฮวาหวิน อีกทั้งยังเป็นศิษย์ของสำนักอีกด้วย

“ด้วยพรสวรรค์ของท่าน และความสามารถในการหลอมโอสถดุจใช้ปลายนิ้ว ไม่นานนักก็คงจะต้องออกเดินทางไปยังโลกภายนอกอันกว้างไกลอย่างเป็นแน่

ปีนี้เป็นปีที่สามที่ข้าอยู่ในเฟิงหมิง การได้รับความช่วยเหลือจากหลงเฉินซื่อจื่อในครั้งนี้ก็ได้ทำให้ข้าสำเร็จเป้าหมายในการฝึกฝนและสามารถเดินทางกลับไปยังสำนักใหญ่เพื่อรายงานตัวเข้าเป็นศิษย์สายในได้แล้ว” แววตาของป่ายหลิงทอประกายเจิดจ้าขึ้นมาดั่งดวงดาราบนท้องนภายามค่ำคืน

“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงสำนึกพระคุณของซื่อจื่ออย่างเป็นล้นพ้น เสี่ยวหนีจื่อผู้ไร้ยางอายเช่นข้าจึงใคร่ขอเชิญซื่อจื่อดูสักครั้ง หากท่านยินยอมเข้าร่วมกับสำนักฮวาหวินพวกเรา ท่านย่อมสามารถไต่เต้าขึ้นไปสู่ระดับที่สูงยิ่งขึ้นไปได้อย่างแน่นอน”

“โลกภายนอกที่คุณหนูกล่าวออกมา นั้นหมายถึงสถานที่ใดกัน?”

“เหอะเหอะ บนโลกแห่งนี้ยังมีสถานที่อีกมากมายนักที่พวกเราคาดไม่ถึง จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงแห่งนี้เป็นเพียงแค่สถานที่แห่งหนึ่งเท่านั้น ทว่ายังมีอีกด้านหนึ่งของโพ้นทะเลไปอีก

โลกภายนอกนั้นมีการฝึกปรือที่ห่างไกลไปจากโลกนี้มาก ทว่าด้วยพรสวรรค์ของซื่อจื่อย่อมสามารถค้นหาความก้าวหน้าจากสถานที่แห่งนั้นได้อย่างแน่นอน ไม่จำเป็นที่จะต้องจมปรักอยู่ในสถานที่แห่งนี้อีกต่อไปแล้ว” ป่ายหลิงยิ้มพร้อมกับไขข้อข้องใจให้แก่หลงเฉิน

โลกภายนอกอันไกลโพ้นที่นางกล่าวถึงนั้นกลับไม่ได้ถูกเอ่ยนามเป็นลายลักษณ์อักษรออกมาแม้เพียงครึ่งตัว อันเป็นที่เข้าใจตรงกันว่านางยังไม่คิดที่จะกล่าวออกมาให้มากความจนเกินไป

นี่เป็นครั้งแรกที่หลงเฉินได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับโลกภายนอก แม้แต่ปรมาจารย์หวินฉีเองก็ยังไม่เคยเอ่ยถึงความนัยเช่นนี้มาก่อน

ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะเกิดความสงสัยขึ้นภายในใจอยู่ไม่น้อย ทว่าก็ไม่อาจที่จะไล่ถามออกไปจนหมดสิ้นได้ เกรงว่าจะทำให้ป่ายหลิงต้องอึดอัดใจอยู่มากเลยทีเดียว

หลงเฉินจึงตอบกลับไปว่า “ขอบคุณคุณหนูที่ให้ความสำคัญ หากมีวันใดที่ข้าอยากจะออกไปจากเฟิงหมิงเพื่อไปดูโลกภายนอก คงจะต้องรบกวนคุณหนูป่ายอย่างแน่นอน”

คำพูดของหลงเฉินช่างอ้อมค้อมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ตอบรับทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธ ยังคงหลงเหลือเยื่อใยบางส่วนเอาไว้ให้สานต่อในภายหลังอีก

ป่ายหลิงถอนหายใจออกมาเสียยกใหญ่แล้วกล่าวออกมาว่า “ดูเหมือนว่าท่านคงไม่คิดจะออกไปจากเฟิงหมิงแล้ว ทว่าข้ากลับต้องรีบไปรายงานกับทางสำนักใหญ่ก่อน

เช่นนั้นหากวันใดหลงเฉินซื่อจื่อคิดจะออกไปจากเฟิงหมิง และยังไม่มีสำนักที่คู่ควร ก็พิจารณาสำนักฮวาหวินพวกเราดูสักครั้งด้วยเถิด

นี่เป็นสิ่งประจำตัวของข้าที่ติดตัวอยู่เป็นประจำ เมื่อถึงเวลานั้นท่านสามารถนำแผ่นหยกนี้ไปตามหาข้าที่สำนักฮวาหวินได้เลย”

หลงเฉินรับแผ่นหยกมาจากป่ายหลิง แล้วทำการเก็บเอาไว้อย่างดี “ขอขอบคุณคุณหนูป่ายมากแล้ว  กล่าวตามความสัตย์จริงว่าข้านั้นมีจิตที่สนใจอยู่มากเช่นกัน ปรารถนาที่จะออกไปดูโลกภายนอกอันกว้างใหญ่ไพศาลว่าเป็นอย่างไรบ้างเช่นกัน”

น่าเสียดายที่เขายังคงมีเรื่องวุ่นวายที่รอคอยการสะสางอยู่ ส่วนป่ายหลิงเองก็ไม่สามารถที่จะรั้งรอเขาได้อีกต่อไปด้วยเรื่องที่นางจะต้องกลับไปเลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายในของสำนักฮวาหวิน

ถึงแม้ว่าจะไม่ทราบความแตกต่างของทั้งสองระดับว่ามากน้อยเพียงใด ทว่าแววตาของป่ายหลิงแสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่อาจจะชักช้าได้แม้แต่วันเดียว สิ่งนั้นย่อมต้องเป็นสิ่งที่นางต้องการอย่างไม่อาจเทียบได้กับสิ่งใด

หลังจากที่หลงเฉินเดินออกไปจากประตูโถง เหย่าหนีเชวียนที่ยืนฟังอยู่พักหนึ่งแล้วก็ได้กล่าวแทรกออกมาด้วยความไม่เข้าใจอยู่ส่วนหนึ่งว่า “คิดไม่ถึงว่าหลงเฉินผู้นี้จะปฏิเสธคำเชิญของเจี่ยเจี่ยไปได้”

“ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา หลงเฉินผู้นี้ล้ำลึกกว่าที่เจ้าคาดคิดไว้อยู่หลายขุมนักจึงชักนำความสำเร็จมาให้กับเขาอย่างมหาศาล แน่นอนว่าช่างต่างกับรูปลักษณ์ภายนอกที่เขาแสดงออกมาอย่างสิ้นเชิง” ป่ายหลิงเอาแต่ถอนหายใจออกมาเป็นสาย

“น่าเสียดาย หากเขาเข้าร่วมกับสำนักฮวาหวินของพวกเราได้ ด้วยความสามารถทางวิถีโอสถอย่างไร้ขีดจำกัดของเขาอาจทำให้เจี่ยเจี่ยสามารถกลายเป็นศิษย์โปรดได้เป็นแน่ หรือท่านจะลองให้ข้าไปเชื้อเชิญเขาอีกครั้ง ข้ายังมีความเชื่อมั่นอยู่บ้าง” เหย่าหนีเชวียนเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย

“ช่างมันเถิด หลงเฉินต่างจากเจ้าพวกบ้ากามที่เจ้าพบเจอมา บัดนี้คงทำได้แค่พึ่งพาตัวเองเท่านั้น พวกเราต้องรีบเก็บของทันทีที่สะสางเรื่องของที่นี่เสร็จ จากนั้นก็ต้องกลับไปยังสำนักใหญ่ หมู่ตึกฮวาหวินสาขานี้คงจะต้องมีศิษย์ชุดต่อไปมารับผิดชอบต่อแล้วล่ะ” ป่ายหลิงกล่าว

ถึงแม้ว่าความขุ่นเคืองภายในจิตใจจะบังเกิดขึ้นมาไม่น้อย ทว่าเหย่าหนีเชวียนก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวของป่ายหลิงเป็นอย่างมาก จึงได้นินทาด่าทอขึ้นมาในใจอย่างอัดอั้น: แท้ที่จริงแล้วหลงเฉินผู้นี้ยังเป็นผู้ชายอยู่หรือไม่กัน

“ฮัดชิ้ว”

หลังจากที่หลงเฉินได้เอนกายลงในห้องหับของเขาก็ได้จามออกมาเสียงดังครั้งหนึ่ง

“ชิ เป็นยิงฮวาหรือเซี่ยฉางเฟิงกันที่นินทาข้าอยู่ หรือว่าจะเป็นหญิงโง่งมผู้นั้น?”

หลงเฉินไม่ได้แยแสว่าผู้ใดจะนินทาว่าร้ายเขาอยู่ ทว่าอย่างไรเสียก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน จากนั้นเขาก็ได้สั่งเป่าเอ๋อเอาไว้ว่าอย่าให้ผู้ใดเข้ามารบกวนได้แม้แต่คนเดียว แล้วก็ทำการปิดประตูหน้าตาอย่างมิดชิดและแน่นหนา

“คงจะได้เวลาหลอมโอสถสลายดาราแล้ว” . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset