เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 72.1 พลังทำลายของอาหมาน

เส้นทางหนึ่งภายในหุบเขาหนานหลี่ เสียงฝีเท้าของวัวป่ามายาตัวหนึ่งกำลังลากเลื่อนรถคันหนึ่งผ่านเข้ามาอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางที่สง่างามอย่างมาก รายล้อมไปด้วยผู้คุ้มกันรอบด้านกว่าสิบคนกำลังมุ่งหน้าไปตามเส้นทางสู่จักรวรรดิต้าเซี่ย

ในระหว่างการเดินทางอันยาวนานนั้น จู่จู่รถลากก็หยุดลงอย่างกะทันหัน เซี่ยฉางเฟิงที่นั่งอยู่ภายในรถลากก็เกิดอาการฉุนเฉียวขึ้นมา แล้วตะโกนเสียงดังว่า “หยุดด้วยเหตุอันใดกัน?”

เซี่ยฉางเฟิงเดินทางกลับต้าเซี่ยในครั้งนี้เพื่อตระเตรียมเรื่องพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเขากับองค์หญิงสามแห่งจักรวรรดิเฟิงหมิง อีกทั้งยังเป็นคำสั่งจากชายหนุ่มชุดขาวที่ให้เขากลับมาสะสางเรื่องที่สำคัญเช่นนี้เสียก่อน

ด้วยเหตุนี้เซี่ยฉางเฟิงจึงเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน ด้วยเวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ได้เดินทางมาถึงเทือกเขาหนานหลี่แห่งนี้แล้ว หากผ่านเทือกเขาลูกนี้ไปได้อีกสักครึ่งวันก็คือเขตแดนของจักรวรรดิต้าเซี่ยแล้ว ทว่าหากเดินทางด้วยสัตว์มายาที่เหาะเหินเดินอากาศได้ก็จะร่นเวลาเดินทางให้เร็วกว่านี้ได้อีก

ทว่าด้วยจำนวนผู้คนที่มากมายย่อมไม่อาจเดินทางด้วยสัตว์มายาได้ทั้งหมด อีกทั้งสัตว์มายาอาจตกเป็นเป้าหมายของกับกลุ่มสัตว์มายาตัวอื่นที่เหินเวหาได้แข็งแกร่งยิ่งกว่า เช่นนั้นคงจะต้องตายไปอย่างไร้หนทางหนีได้

“ขอเรียนองค์ชาย มีคนผู้หนึ่งขวางทางอยู่” คนบังคับรถลากได้กล่าวขึ้นมา

“ผู้ใดกัน?” เซี่ยฉางเฟิงเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง

“คนคุ้นเคยของท่าน”

เซี่ยฉางเฟิงยิ่งขมวดคิ้วเข้าชนกันอย่างหนัก เขากระโจนตัวออกมาจากรถลากที่หยุดอยู่บริเวณปากทางที่จะเข้าหุบเขาอันคับแคบและคดเคี้ยว หากคิดจะเดินทางด้วยรถลากก็จำเป็นที่จะต้องผ่านเส้นทางนี้เพียงสายเดียวเท่านั้น

ระหว่างช่องแคบทางด้านหน้านั้นก็มีเงาร่างสองสายกำลังเดินตรงเข้ามากลางเส้นทางสายนั้น ร่างเล็กกว่าเดินนำอยู่ทางด้านหน้า เมื่อหรี่ตามองไปยังร่างเงานั้นจนชัดเจน เซี่ยฉางเฟิงก็บังเกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาเสียยกใหญ่ ทว่าประกายแววตากลับสาดทอความเยียบเย็นออกมาหลายขุม

“หลงเฉิน เจ้ามารอองค์ชายอย่างข้าอยู่อย่างนั้นหรือ คิดที่จะมาส่งข้าโดยเฉพาะใช่หรือไม่?” เซี่ยฉางเฟิงโบกมือขึ้นกลางอากาศ พลันองครักษ์รอบด้านนับหลายสิบคนก็ได้แยกออกไปโอบล้อมหลงเฉินกับอาหมานเอาไว้อย่างเฉียบพลัน

หลงเฉินมองไปที่เซี่ยฉางเฟิง แล้วพยักหน้าไปมา “ใช่แล้ว เห็นว่าเจ้าเดินทางเส้นนี้คงจะยากลำบากเกินไป จึงอยากจะพาเจ้าไปส่งยังเส้นทางของยมบาลอย่างไรเล่า”

“ปากดีนัก อย่าบอกนะว่าที่พวกเจ้าทั้งสองคนมาถึงยังที่แห่งนี้ ก็เพื่อจะดักซุ่มองค์ชายอย่างข้าอย่างนั้นหรือ” เซี่ยฉางเฟิงหรี่ดวงตาลงอย่างดูแคลน แล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“องค์ชายลูกเต่าอย่างข้า? นี่ช่างเป็นคำเรียกขานที่เหมาะสมกับเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ทว่า ‘ดักซุ่ม’ คำนี้ข้าคงไม่อาจรับไว้ได้ พวกเรามาเพื่อน้อมส่งผู้คนก็เท่านั้น” *คำพ้องเสียงในภาษาจีน: ลูกเต่า กับ ดักซุ่ม

หลงเฉินโบกมือไปมาพร้อมกับกล่าวเสียงเรียบ สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดใดกำลังมองไปที่เซี่ยฉางเฟิง

“เซี่ยฉางเฟิง ข้าไม่สนใจที่จะเล่นต่อตัวอักษรอันน่าเบื่อหน่ายของเจ้าอีกแล้ว ที่อยู่บนตัวของฉู่เหยา เป็นฝีมือลูกเต่าอย่างเจ้าใช่หรือไม่?”

เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฉู่เหยาได้พบเจอมา ภายในดวงตาคู่คมของเขาก็แผ่รังสีฆ่าฟันออกมา ฉู่เหยาเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจทนต่อเรื่องราวที่ทำร้ายนางได้แม้แต่น้อย

ในช่วงเวลาที่ได้พบเจอกับฉู่เหยาก็ทำให้เขาหวนนึกถึงร่างกายของตัวเองขึ้นมาในทันที ถ้าหากเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับเซี่ยฉางเฟิงจริง เช่นนั้นเขาก็สามารถหาตัวการสำคัญได้แล้ว

เซี่ยฉางเฟิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคำพูดของหลงเฉินทำให้เขาแตกตื่นตกใจขึ้นมามากมาย ทันใดนั้นก็เร่งเก็บสีหน้าลงไปแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะรู้อะไรมาไม่น้อยเลยทีเดียวนะ ทว่าไม่เป็นไร ในเมื่อมาหาที่ตายเองเช่นนี้ ต่อให้รู้มากไปกว่านี้ก็เปล่าประโยชน์”

คำพูดของเซี่ยฉางเฟิงเหมือนกับมีความนัยสองแง่สามง่าม ไม่ใช่คำตอบที่หลงเฉินต้องการ ทว่าก็เข้าใจได้ว่าเซี่ยฉางเฟิงจะต้องทราบเรื่องราวอยู่มากเป็นแน่

หลงเฉินหัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง หากง้างปากขององค์ชายผู้นี้ขึ้นมาได้ เขาคงจะล่วงรู้ถึงความลับและแผนการทั้งหมดได้ในคราวเดียว

“หลงเฉิน เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนที่ชาญฉลาดอยู่พอตัว ทว่าวันนี้เจ้าทำให้ข้าคิดผิดไป มากันเพียงแค่สองคนยังหาญกล้าที่จะดักซุ่มพวกข้าอีกอย่างนั้นหรือ ไม่ทราบว่าข้าควรกล่าวชมเชยในความห้าวหาญของเจ้าว่าอย่างไรดี หรือควรจะหัวเราะเย้ยหยันในความโง่เขลาของเจ้าแทน

ดูเหมือนว่าการสังหารหว่างซานลงไปได้ จะทำให้เจ้าเกิดความจองหองอย่างไม่ลืมหูลืมตาเลยนะ คิดว่าทั่วทั้งใต้หล้านี้ เจ้าจะไร้ผู้ต้านทานหรืออย่างไรกัน?

หวังหมาง ตลอดมานี้เจ้าคิดว่าข้าไม่ให้โอกาสแก่เจ้าได้แสดงฝีมือออกมาใช่หรือไม่? ตอนนี้โอกาสของเจ้าได้มาถึงแล้ว ไปเด็ดศีรษะของเจ้าหนูโสมมที่ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาตัวนั้นออกมาซะ!” เซี่ยฉางเฟิงคำรามออกมาอย่างเดือดดาล

ประโยคสุดท้ายของเซี่ยฉางเฟิงนี้ได้กล่าวกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างของเขา ชายที่มีใบหน้าดำคล้ำดุจถ่านและร่างกายกำยำอันมีนามว่าหวังหมาง

หวังหมางแสยะยิ้มอันแสนชั่วร้ายขึ้นมาที่มุมปากจนเผยให้เห็นฟันเขี้ยวสีขาวผ่องประดุจคมเขี้ยวของสัตว์ร้าย ชายหนุ่มผู้นี้เป็นองครักษ์ประจำตัวของเซี่ยฉางเฟิง อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือยุทธ์อันลึกลับเช่นเดียวกับหว่างซานด้วย

“นายท่านโปรดวางใจ เพียงแค่สิบกระบวนท่าของข้าก็คงหั่นชิ้นเนื้อเขาออกมาได้แล้ว”

หวังหมางหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับเยื้องย่างออกมาจากที่ด้านข้างของเซี่ยฟางเฉิง

เช้ง !

เสียงชักคมดาบออกจากฝักดาบดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ หวังหมางถือกระบี่รูปร่างผิดแปลกในมือข้างหนึ่ง จนดวงตาของหลงเฉินจำต้องหรี่ลงเล็กน้อยเพื่อจ้องมองมันได้ชัดเจนขึ้น

กระบี่เล่มนั้นเรียกว่ากระบี่หนัก โดยปกติแล้วกระบี่ยาวตามปกติจะมีความกว้างแค่หนึ่งช่วงนิ้วมือ ทว่ากระบี่หนักของหวังหมางกลับมีความกว้างถึงสี่ช่วงนิ้วมือ ด้วยความกว้างที่เพิ่มมากขึ้นจึงทำให้คมดาบหนาขึ้นด้วย อีกทั้งตัวกระบี่ยังยาวกว่าปกติถึงเจ็ดเซียะ ด้วยเหตุนี้กระบี่เล่มนั้นจึงมีน้ำหนักมากกว่ากระบี่ยาวปกติหลายจั่งนัก

ผู้ฝึกยุทธ์ที่ใช้กระบี่หนักต่างก็มีพลังอันมหาศาลจนน่าประหลาดใจกันแทบจะทั้งสิ้น เพียงแค่เรี่ยวแรงที่จะใช้ในการกวัดแกว่งกระบี่ก็น่าตกใจมากแล้ว

ด้วยความยาวถึงเจ็ดเซียะและความหนาเกือบสามเซียะ ไม่ต้องคาดเดาเลยว่ากระบี่เล่มนั้นจะหนักถึงเพียงใด ทว่าเพียงแค่ถูกชักออกมาจากฝักก็ได้หอบสายลมพวยพุ่งเข้ามาปะทะร่างของหลงเฉินอย่างรุนแรง อากาศถูกฟันจนแหวกออกสู่กลางแสกหน้าของหลงเฉิน

“เจ้าเป็นของข้า”

หลงเฉินไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายแต่อย่างใด มีเพียงอาหมานที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาเท่านั้นที่ได้ตะโกนออกมาเสียงดังกังวานออกมา พร้อมทั้งกวัดแกว่งขวานศึกเบิกภูผาท่ามกลางอากาศ จนทอประกายแสงสีทองพวยพุ่งออกมา ร่างใหญ่ของอาหมานมุ่งหน้าเข้าไปยังกระบี่หนักของหวังหมางในทันที

“ตัง”

ผืนฟ้าสั่นไหว เสียงเหล็กกล้ากระทบกันเสียงดังสะท้อนบาดแก้วหูของผู้คนทั้งหมดจนอื้ออึงไปตามๆ กัน องครักษ์ส่วนหนึ่งเกิดอาการแสบแก้วหูขึ้นมาเป็นสาย บ้างก็มีโลหิตไหลออกมาอย่างช้าๆ จนไม่ได้ยินเสียงอันใดอีกแล้ว

หลังจากปะทะกันไปครั้งหนึ่ง ทั้งสองเงาร่างก็ได้หลุดลอยออกจากกันทันที อาหมานถอยออกไปสามก้าวติดต่อกันแล้วค่อยหยุดร่างเอาไว้ได้ ทว่าหวังหมางไม่อาจที่จะควบคุมร่างกายได้กลับถอยหลังไปไกลกว่าสามช่วงตัว อีกทั้งเท้าทั้งสองยังจมปลักลึกเข้าไปในพื้นดินจนเกิดรอยแยกขึ้นสองสาย

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนท่านี้ไป แม้แต่ก้อนศิลาน้อยใหญ่ก็ยังต้องแตกละเอียด ผู้คนทั้งหลายต่างก็มีสีหน้าตื่นตกใจแล้วมองมายังอาหมานที่มีรูปร่างใหญ่โตประดุจยักษ์กินคนอย่างไรอย่างนั้น

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset