เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 8 การประลองเป็นตาย

ณ นอกเมืองจักรวรรดิ ที่ด้านหน้าเวทีประลอง ผู้คนไม่น้อยต่างก็มารวมตัวกันแล้ว นอกจากบุคคลภายนอกที่มักจะมาชมความคึกคักแล้ว ส่วนหนึ่งก็ยังมีเหล่าบุตรขุนนางของทางจักรวรรดิอยู่ไม่น้อย

 

 

 

 

 

วันนี้เป็นวันชี้เป็นชี้ตายระหว่างหลงเฉินกับหลี่เฮ่า ถึงแม้ตามปกติในที่แห่งนี้จะมีการประลองไม่หยุด แต่ว่าการประลองตัดสินเป็นตายกลับมีอยู่ไม่มากนัก

 

 

 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการประลองเป็นตายระหว่างบุตรขุนนางอีก ถึงแม้ว่าพลังฝึกปรือของทั้งสองจะไม่ได้พลิกฟ้าถล่มพสุธา แต่ว่าก็ยังสามารถดึงดูดผู้คนนับไม่ถ้วนให้เข้ามาชมได้

 

 

 

 

 

ทั่วจักรวรรดิแห่งนี้ก็ยังมีบ่อนที่มีชื่อเสียงอย่าง——บ่อนการพนันโหยวหลาน ซึ่งได้เปิดโต๊ะพนันต่อแต้มให้นักพนันทั้งหลายเลือกเล่นกัน

 

 

 

 

 

— หลี่เฮ่าชนะสองจ่ายหนึ่ง

 

 

 

 

 

— หลงเฉินชนะหนึ่งจ่ายสิบ

 

 

 

 

 

เป็นเพราะว่าการประลองเป็นตายจะไม่สามารถบังเกิดผลลัพธ์อันเป็นเท็จออกมาได้ (ล้มมวย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองฝ่ายเป็นถึงบุตรขุนนางที่มีสถานะสูงส่ง การใช้เงินทองพนันความเป็นความตายของอีกฝ่ายนับว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อย

 

 

 

 

 

ช่วงเวลานี้แม้แต่ผู้ที่ไม่ใช่นักพนันเองต่างก็เริ่มทยอยเข้าร่วมพนันต่อแต้มกันด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยส่วนมากแล้วต่างก็เดิมพันข้างหลี่เฮ่า

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าครั้งที่แล้วหลงเฉินจะจัดการหลี่เฮ่าได้อย่างไร้ข้อกังขาก็ตาม หลี่เฮ่าในช่วงเวลานั้นแทบจะไม่มีการเตรียมป้องกันหรือโต้ตอบกลับ เขาถูกหลงเฉินจัดการได้ภายในพริบตา เรื่องบังเอิญคงจะไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

ในทางกลับกันมีคนอยู่ส่วนหนึ่งที่ชื่นชอบความตื่นเต้นท้าทาย ชอบอยู่บนความเสี่ยง มุ่งหมายที่จะพลิกชะตาด้วยการลงทุนจำนวนน้อยแต่กอบโกยได้เยอะ จึงได้เดิมพันข้างหลงเฉินทว่าคนพวกนี้กลับมีน้อยนิดดุจหางอึ่ง

 

 

 

 

 

เมื่อมองไปยังสนามประลองไม่ห่างจากเวทีมากนัก ฝ่ายที่เดิมพันข้างหลี่เฮ่ามีล้นหลามจนใกล้จะเต็มบริเวณนั้นแล้ว แต่ฝั่งที่เลือกเดิมพันว่าหลงเฉินจะชนะนั้นมีน้อยกว่ามาก เงียบเหงาเสียยิ่งกว่าป่าช้า

 

 

 

 

 

“ขอเดิมพันด้วยสามสิบหมื่นตำลึงทอง เดิมพันข้างหลงเฉิน”

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งก็ได้ปรากฏตัวขึ้นยังเบื้องหน้าของคนที่ทำหน้าที่รับเดิมพันพร้อมทั้งควักบัตรใสใบหนึ่งยื่นให้

 

 

 

 

 

“ว่าอย่างไรนะ?!”

 

 

 

 

 

คนผู้นั้นมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างแรง เขาเบิกตากว้าง เพราะผ่านไปเกือบค่อนวันเงินที่เขารับเดิมพันมาทั้งหมดกลับมีเพียงแค่หมื่นกว่าตำลึงทองเท่านั้น จนเขานึกว่าตัวเองได้ยินผิดไป

 

 

 

 

 

ชายหนุ่มที่มีร่างสูงใหญ่ก็คือซือเฟิงนั่นเอง หลงเฉินได้นำเงินที่มีทั้งหมดมาเดิมพันข้างตัวเขาเอง

 

 

 

 

 

หลงเฉินคาดเดาได้ว่าตนจะต้องถูกหลี่เฮ่าท้าประลองชี้เป็นชี้ตายอีกครั้งเพราะความข้องเกี่ยวกันด้านสถานะ และด้วยกำลังความสามารถของบ่อนการพนันโหยวหลาน พวกเขาจะต้องเปิดโต๊ะเดิมพันขึ้นอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

การประลองเป็นตายเช่นนี้ บ่อนการพนันโหยวหลานก็ทราบดีอยู่แล้วว่าจะต้องขาดทุน แต่ก็จำเป็นที่จะต้องเปิดเพื่อสร้างบรรยากาศในสนามและดึงดูดผู้คนให้เข้ามาชมนั่นเอง

 

 

 

 

 

พวกเขาได้เงินมากมายภายในบ่อนของตนเองไปแล้ว ในส่วนที่อยู่นอกบ่อนพวกเขาเองก็ต้องคืนกำไรให้แก่ผู้คนบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วคงจะทำให้นักพนันไม่พอใจอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

บ่อนการพนันโหยวหลานนั้นถือได้ว่ามีความมั่งคั่งเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้ต้องขาดทุนก็ขอเพียงเรียกลูกค้าได้ก็พอ พวกเขากล้าได้กล้าเสีย หลงเฉินมองความในข้อนี้ออกตั้งแต่ต้น

 

 

 

 

 

ฝ่ายหนึ่งคือแทงสองจ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นแทงหนึ่งจ่ายสิบ หลงเฉินขอเพียงไม่ได้โง่งมก็ทราบอยู่แล้วว่าควรที่จะทำเช่นไร

 

 

 

 

 

ภายใต้ความช่วยเหลือจากเจ้าอ้วนและพวกพ้องเมื่อวันก่อน เขาระดมมาได้ถึงยี่สิบหมื่นตำลึงทอง แล้วมอบทั้งหมดนั้นให้แก่ซือเฟิง ซือเฟิงที่เห็นว่าหลงเฉินมั่นใจถึงเพียงนั้นจึงกัดฟันเดิมพันเพิ่มเข้าไปอีกจนถึงสามสิบหมื่นตำลึงทอง

 

 

 

 

 

ตระกูลของซือเฟิงไม่ได้ร่ำรวยมั่นคั่งเพราะว่าคนตระกูลซือมีนิสัยซื่อตรงและอารมณ์ร้อน ไม่เข้าใจว่าอันใดคือการประกอบการ ด้านทรัพย์สินเงินทองจึงไม่อาจนำเทียบเท่าตระกูลอย่างเจ้าอ้วนและพวกพ้องคนอื่น

 

 

 

 

 

เพื่อเป็นการระดมเงินให้มากขึ้น เขาจึงได้นำศาสตราวุธและเครื่องป้องกันต่างๆ ไปจำนำ ระดมจนได้เงินมามากพอที่จะใช้วัดใจไปพร้อมกับหลงเฉินสักตั้ง

 

 

 

 

 

หลังจากที่คนผู้นั้นได้รับเงินเดิมพันไปแล้ว ซือเฟิงก็เกิดความรู้สึกตื่นเต้นปนกังวลใจขึ้นมาอยู่หลายครา สหายเอ๋ย เจ้าต้องตั้งใจด้วยนะ สมบัติของเหล่าพี่น้องต่างก็ได้เอาออกมาจนหมดตัวแล้ว

 

 

 

 

 

เพียงไม่นานก็มาถึงช่วงกลางวัน หลี่เฮ่าที่มาถึงก่อนได้ขยับอบอุ่นร่างกายเล็กน้อยแล้วก้าวขึ้นไปบนเวที ทันทีที่ขึ้นไปยืนบนนั้นเขาได้เปล่งเสียงตะโกนดังออกมาจนกลายเป็นที่สนใจ

 

 

 

 

 

ทว่าซุ่มเสียงเหล่านั้นไม่ใช่เพื่อปลุกขวัญกำลังใจให้ตัวเขาเอง เพียงแต่เป็นการร่ำร้องเพื่อโหมโรงเปิดฉากการต่อสู้เช่นว่าเรื่องน่าสนุกที่สุดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

 

 

 

 

 

วันนี้หลี่เฮ่าได้สวมใส่อาภรณ์ที่เลิศหรู ทั่วทั้งร่างกายบนล่างสะอาดสะอ้านเรียบร้อยหมดจด ชวนให้หลงใหลเป็นอย่างยิ่ง บนใบหน้าประทับความภาคภูมิมาอย่างเต็มเปี่ยม: หลงเฉิน เจ้าได้ทำให้ข้าอับอาย ข้าจะขอคืนให้เจ้านับสิบเท่าเอง

 

 

 

 

 

ทว่าหลังจากที่หลี่เฮ่าขึ้นไปบนเวทีแล้วรอเกือบครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ปรากฏแม้แต่เงาของหลงเฉิน เหล่าผู้คนต่างพากันตื่นตูมคิดแต่ว่าคงจะไม่กล้ามาแล้วก็มี

 

 

 

 

 

ผู้คนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดอันวุ่นวาย ชายชราผู้ดูแลเวทีก็ได้กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “พวกเจ้านัดสู้กันตอนยามสาม เจ้ามาเร็วไปครึ่งชั่วยาม เจ้าสามารถเลือกที่จะรอบนเวทีหรือลงมารอด้านล่างก็ได้”

 

 

 

 

 

วินาทีนั้นเองผู้คนทั้งหมดต่างพากันโห่ร้องเสียงดัง หลี่เฮ่าที่เดิมทีอยู่ในอาการคึกคักบนเวที บัดนี้ได้ถอดสีหน้าแทบจะไม่ทัน : เพ่ย เหตุใดถึงได้ลืมดูเวลาได้กัน

 

 

 

 

 

“ไม่เป็นไรข้าจะรอเขาอยู่บนเวทีแห่งนี้ อย่างไรเสียเขาก็แค่คนใกล้ตาย เวลาของเขาย่อมมีค่ามากกว่าข้าอยู่แล้ว”

 

 

 

 

 

หลี่เฮ่ายิ้มอย่างพึงพอใจแล้วลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนเวทีประดุจท่วงท่าอันมั่นคงของผู้เยี่ยมยุทธ์ ทว่าท่วงท่าของผู้เยี่ยมยุทธ์นี้กลับทำได้เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานเขาก็รู้สึกว่าไม่ควรเลย

 

 

 

 

 

เพราะว่าเป็นยามบ่ายที่พระอาทิตย์ร้อนระอุแผดเผาไปหมดทุกสรรพสิ่ง อีกทั้งเวทีประลองยังถูกสร้างมาจากเหล็กศิลาสีดำทั้งหมดจึงได้เกิดความร้อนเดือดพล่านที่สามารถนำไข่มาเจียวได้เลยทีเดียว

 

 

 

 

 

แต่ทว่าหลี่เฮ่าตระหนักได้ว่าไม่ควรลุกขึ้นอย่างทันทีเพื่อที่จะคงท่วงท่าของเยี่ยมยุทธ์เอาไว้ เขาจึงต้องทนรับความรู้สึกอันยากยิ่งจะพรรณนาออกมาได้ในตอนนี้

 

 

 

 

 

มีสายตาอันแหลมคมหลายคู่ต่างก็พบว่าที่บั้นท้ายของหลี่เฮ่าได้เริ่มเกิดกลุ่มควันจางๆ ลอยคลุ้งในอากาศ ผู้คนเหล่านั้นต่างก็มีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจขึ้นมาพร้อมกัน

 

 

 

 

 

“คนผู้นี้ก็ช่างโง่งมเสียจริง ต่อให้ต้องตายก็ยังไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีอีก ยังไม่ทันจะได้เริ่มการต่อสู้ บั้นท้ายคงจะสุกไปเสียก่อน”

 

 

 

 

 

เสียงหัวเราะทรงเสน่ห์ของหญิงสาวนางหนึ่งบังเกิดขึ้น ในบริเวณที่ห่างไกลก็ได้มีหญิงคลุมหน้าอยู่สองนางมองตรงไปยังเวทีอย่างเรียบเฉย

 

 

 

 

 

“จะว่าไป ดูไปก็ไม่มีความหมายอะไร” หญิงสาวนางหนึ่งส่ายหน้าไปมา

 

 

 

 

 

“ม่งฉี พวกเราท่อมาถึงที่แห่งนี้ก็หลายวันแล้ว เจ้าคิดที่จะถอนหมั้นกับเขาเมื่อไหร่กัน” หญิงสาวผู้นั้นก็ได้ถามออกมา

 

 

 

 

 

หญิงสาวที่มีนามว่าม่งฉีย่นคิ้วเรียวเล็กของนางเล็กน้อย กล่าวตอบขึ้นมาด้วยความลำบากใจ

 

 

“ขณะนี้เขายังตกอยู่ในห้วงของความยากลำบากอยู่ ถ้าหากขอถอนหมั้นขึ้นมากะทันหันในเวลาเช่นนี้ ในมุมมองของเขาคงจะเจ็บช้ำเกินไป ข้าเองก็ไม่ทราบว่าควรทำเช่นไร”

 

 

 

 

 

“แต่ว่าจะปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อต่อไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น อาจารย์ก็ได้เตือนพวกเราอยู่หลายครั้งแล้ว หากยังไม่รีบกลับไปที่หมู่ตึกเกรงว่าคงต้องถูกลงโทษเป็นแน่

 

 

 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคุณสมบัติอย่างเจ้า ทั้งชาติกำเนิดอันสูงส่ง ทั้งระดับวาสนา เรียกได้ว่าอยู่คนละภพกับเขาเลยทีเดียว อย่างไรเสียก็คงไม่อาจลงเอยกันได้” หญิงสาวผู้นั้นกล่าวพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

 

 

 

 

 

“แต่ว่าข้ากลับรู้สึกว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ผิดต่อเขายิ่งนัก อืม…อย่างไรก็ตาม รอดูกันต่อไปเถิด” ม่งฉีส่ายหน้าเบาๆ ใบหน้าของนางที่ขาวดุจหยกขาว คิ้วเล็กเรียวงาม บัดนี้เต็มไปด้วยความขมขื่นแสดงออกมา

 

 

 

 

 

หญิงสาวผู้นั้นเมื่อพบว่าม่งฉียังคงลังเลใจจึงคิดจะกล่าววาจาออกไป แต่กลับถูกขัดจังหวะจากกลุ่มผู้คนที่อยู่ห่างออกไปจนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองในทันที

 

 

 

 

 

พบร่างชายหนุ่มสวมชุดรัดรูปสีดำผู้หนึ่งที่ถูกรายล้อมด้วยกลุ่มผู้คน เขาเดินเข้ามาอย่างองอาจเชื่องช้า ขนคิ้วที่คมกล้าดุจกระบี่ เดินเหินดุจเทพเซียน กลิ่นกายแฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายพิเศษเฉพาะอยู่ขุมหนึ่งจนทำให้เกิดความน่าหลงใหลชวนมองเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

เขาคล้ายกับน้ำในบ่อ สีหน้าที่ไม่เหมือนกับวันใดที่เคยผ่านมา ไม่ว่าผู้ใดก็มองความลึกล้ำของเขาไม่ออก แต่บัดนี้เขากลายเป็นจุดสนใจของผู้คนมากมายขึ้นมาแล้ว

 

 

 

 

 

สาวนางนั้นกับม่งฉีรู้ได้ทันทีว่านั่นคือการปรากฏตัวของหลงเฉิน อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกคล้ายสายฟ้าผ่าลงมากลางใจ ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ว่าหลงเฉินในตอนนี้กับช่วงเวลาเมื่อหลายวันก่อนหน้านั้นช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน เขาในตอนนี้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม

 

 

 

 

 

เมื่อได้พบหลงเฉินที่กำลังเดินเข้ามา หลี่เฮ่าก็กระโจนลุกขึ้นมาจากพื้นพร้อมกับเสียง “ชี่” ดังขึ้นตามหลัง ที่บั้นท้ายได้เกิดความปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาเป็นระลอก เฉกเช่นเดียวกับความแค้นเคืองใจในตอนนี้

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน ขึ้นมารับความตายเสียเถิด!” หลี่เฮ่าตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

 

 

 

 

 

หลงเฉินไม่แม้แต่จะปรายตามองไปทางหลี่เฮ่าเลย สายตามองเข้าไปยังกลุ่มผู้คนกลุ่มหนึ่ง พบซือเฟิงที่กำลังยืนพยักหน้าเล็กน้อยให้ตน ดูเหมือนพวกเขาจะอดกังวลใจเป็นไม่ได้

 

 

 

 

 

ไม่เพียงแต่ซือเฟิง เขายังมองเห็นเจ้าอ้วนและพวกพ้อง เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาเพื่อให้กำลังใจแก่เขา

 

 

 

 

 

หลงเฉินส่งยิ้มตอบกลับพวกเขาเล็กน้อยแล้วจึงหันกายเดินขึ้นเวทีไป หลี่เฮ่ากระโดดขึ้นไป แต่หลงเฉินกลับเลือกที่จะเดินขึ้นทางบันไดแทน

 

 

 

 

 

ช่วงเวลานั้นเหล่าผู้คนที่เดิมพันข้างหลงเฉิน จิตใจก็เกิดอาการเย็นวาบขึ้นมากว่าครึ่งซีก รู้สึกว่าเงินทองอันน้อยนิดที่พวกเขาได้ลงทุนไปอาจไม่ย้อนคืนกลับมาแล้ว

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน”

 

 

 

 

 

บัดนี้หลงเฉินได้ก้าวขึ้นมายืนตระหง่านอยู่บนเวที เมื่อเห็นเช่นนั้นหลี่เฮ่าก็อดไม่ได้ที่กัดฟันกรอดพ่นนามของหลงเฉินทั้งสองพยางค์ออกมา

 

 

 

 

 

“เจ้าโง่ บั้นท้ายของเจ้าสุกงอมแล้วหรือยัง?” หลงเฉินแลสายตามองไปทางหลี่เฮ่ากล่าวพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ

 

 

 

 

 

ความจริงแล้วเขาได้มาถึงที่แห่งนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าซ่อนตัวอยู่ในที่ห่างไกลอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด เพียงแต่ไม่มีผู้ใดได้ทันสังเกตเห็นเขาก็เท่านั้น ในทางกลับกันเขากลับมองเห็นทุกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

 

 

 

 

 

“ยามสามได้มาถึงแล้ว โปรดลงนามการประลองชี้ตายระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วย”

 

 

 

 

 

แล้วชายชราผู้นั้นก็ได้นำสมุดบันทึกออกมา หลงเฉินแสยะยิ้มพร้อมลงนามของตนเองไว้ที่ด้านบน

 

 

 

 

 

ครั้งนี้ต่างจากครั้งที่แล้วโดยสิ้นเชิง ไม่อาจที่จะร้องขอยอมแพ้การต่อสู้ได้ ส่วนฝ่ายที่ได้ชัยสามารถตัดสินความเป็นความตายของอีกฝ่ายได้ทันที

 

 

 

 

 

หลังจากที่หลี่เฮ่าลงนามเสร็จ เขาเหลือบตาขึ้นแล้วจ้องไปที่ใบหน้าของหลงเฉิน “เจ้าลูกชู้ วันนี้ข้าจะคืนความอับอายให้แก่เจ้าอย่างสาสม คืนให้แก่เจ้านับร้อยเท่า”

 

 

 

 

 

การลงนามนัดประลองชี้เป็นตายเสร็จสิ้นลงแล้ว จากนี้เป็นต้นไปเวทีประลองแห่งนี้ก็จะกลายเป็นพื้นที่ตัดสินความเป็นความตายของพวกเขาทั้งคู่ ไม่อาจที่จะให้ผู้อื่นเข้ามาแทรกแซงได้

 

 

 

 

 

“การใช้อาวุธแม้จะรวบรัดแต่ก็ไม่เจ็บแสบเท่าการถูกทำร้ายด้วยวาจา และดูเหมือนเจ้าจะยังไม่พอใจ ทั้งยังทำการท้าทายข้าถึงสามครั้งสามคราแล้ว เจ้าบีบบังคับข้าเองนะ”

 

 

 

 

 

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกฟอดหนึ่ง แววตาคู่นั้นปรากฏรังสีอำมหิตขุมหนึ่งนับตั้งแต่ครั้งที่แล้ว หลังจากที่โจวเย่าหยางกล่าวว่าเขานั้นไม่ใช่บุตรของหลงเทียนเซียวก็เริ่มมีผู้คนใช้วาจากล่าวหาเขาเฉกเช่นนั้นไม่ซ้ำหน้า

 

 

 

 

 

“ไปตายซะ เจ้าลูกชู้”

 

 

 

 

 

หลี่เฮ่ายิ้มเยาะเย้ยแล้วตะโกนขึ้นมาเสียงดัง เขาเริ่มไหลเวียนพลังลมปราณไปทั่วทั้งร่าง หากใครจ้องเข้าไปยังแววตาของเขาในตอนนี้ก็จะสามารถเห็นพลังลมปราณที่กำลังไหลเวียนอยู่อย่างบ้าคลั่ง

 

 

 

 

 

ผู้คนที่อยู่ทางด้านล่างเวทีต่างก็ชมดูจนเกิดรอยยิ้มขึ้นมา หลี่เฮ่าผู้นี้เมื่อครั้งที่แล้วได้พลาดท่าครั้งใหญ่ไปเป็นเพราะยังไม่ทันได้ไหลเวียนพลังที่แท้จริงคุ้มครองร่าง ก็ต้องถูกหลงเฉินลอบทำร่ายจนสำเร็จภายในครั้งเดียวไปก่อน ครั้งนี้เขาจึงได้กระตุ้นพลังคุ้มครองขึ้นมาตั้งแต่แรก

 

 

 

 

 

ถึงแม้จะเป็นเพียงขั้นขอบเขตพลังก่อรวม พลังลมปราณไม่อาจที่จะใช้ออกมายังภายนอกร่างกายได้ แต่ว่าการไหลเวียนพลังลมปราณเพื่อคุ้มครองร่างของพวกเขาก็ทำให้คนธรรมดายากที่จะทำอันตรายต่อพวกเขาได้แล้ว

 

 

 

 

 

หลี่เฮ่าได้เริ่มเตรียมการป้องกันเอาไว้แล้ว บนใบหน้าแฝงเอาไว้ด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย ถีบตัวพุ่งตรงไปหาหลงเฉินอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าหมายจะใช้มือทั้งสองข้างคว้าตัวเขาให้สำเร็จ

 

 

 

 

 

เขาเผยกรงเล็บทั้งสองข้างที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังลมปราณอันแข็งแกร่งไม่ต่างไปจากเหล็กกล้า หากเป็นเพียงคนธรรมดาถูกจับคว้าเอาไว้ กระดูกหัวไหล่คงจะถูกบดขยี้จนแตกละเอียด

 

 

 

 

 

“เยี่ยม หลี่เฮ่า รีบล้างความอับอายนี้ไปเสียเถิด”

 

 

 

 

 

ทางด้านล่างของเวทีมีเสียงตะโกนดังขึ้นมา คนผู้นั้นย่อมไม่ใช่ใครอื่น บุคคลที่เคยปรากฏตัวที่ตำหนักฝึกสอนขุนนาง หวังหมางผู้ที่ถูกหลงเฉินตบเข้าไปฉาดหนึ่งจนตัวกระเด็นลอยไปไกล ฟันร่วงหล่นไปกว่าครึ่งนั่นเอง

 

 

 

 

 

หวังหมางที่อายุยังเยาว์นักกลับต้องฟันหายไปกว่าครึ่ง ถึงแม้ว่าจะสามารถเสาะหาโอสถชั้นดีเพื่อช่วยให้กระดูกงอกเงยขึ้นมาใหม่ แต่ด้วยกำลังทรัพย์ทั้งหมดของตระกูลก็ไม่อาจซื้อมาได้ เขาในขณะนี้เรียกได้ว่าเกลียดชังหลงเฉินจนเข้าไส้ เกลียดเสียยิ่งกว่าสัตว์เลื้อยคลาน เมื่อหลงเฉินกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของหลี่เฮ่าทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนว่าเยี่ยมขึ้นมา

 

 

 

 

 

อีกด้านหนึ่งของด้านล่างเวที ซือเฟิง เจ้าอ้วน และพวกพ้องต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปตามๆ กัน นับตั้งแต่เริ่มจนถึงบัดนี้หลงเฉินยังไม่ได้เปิดเผยพลังแห่งการฝึกยุทธ์ออกมาแม้แต่น้อย มันทำให้พวกเขาเกิดความเป็นกระวนกระวายใจขึ้นจนแสดงออกทางสายตา

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นเองหลงเฉินที่เห็นหลี่เฮ่ากำลังพุ่งเข้ามาใกล้ รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว ตลอดทั่วทั้งร่างดุจเป็นเพียงเงาสายหนึ่งพุ่งเข้าไปหาหลี่เฮ่า

 

 

 

 

 

ปัง!

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset