เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 81.2 พ่ายแพ้อย่างสาหัสกันทั้งสองฝ่าย

เมื่อยิงฮวาหันหลังกลับไปก็ไม่เห็นเงาร่างของหลงเฉินแล้ว จึงเกิดความลิงโลดขึ้นมาอย่างมาก ร่างกายและพลังของหลงเฉินช่างแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทว่าพลังสังหารทั้งหมดได้ใช้ไปกับกระบี่หนักแล้ว

อีกทั้งคงจะถูกกระบี่หนักเล่มนั้นสร้างภาระที่หนักอึ้งจนไม่อาจไล่ตามเขามาได้อีก ยิงฮวาผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่าที่เขายังตระหนักไม่ถึงก็คือหลงเฉินนั้นไม่ได้มีพลังที่ไร้ขีดจำกัด ทว่าที่เขาเห็นเป็นเพียงพลังเฮือกสุดท้ายเท่านั้น หลงเฉินต้องการเดิมพันออกไปเพื่อดูว่าจะสามารถทำให้ยิงฮวาตกใจจนหนีไปได้หรือไม่ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือยิงฮวาติดกับเข้าแล้วจริงๆ

หลังจากที่ได้ตะบึงออกมาจากก้นบึ้งของป่าลึกลับ ทันใดนั้นยิงฮวาก็เกิดความแตกตื่นขึ้นมาเสียยกใหญ่ พลังลมปราณของเขาก็ไม่อาจใช้หยุดพิษเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว

พลันก็ใช้มือข้างหนึ่งล้วงเอาโอสถจำนวนมากออกมาใช้ เขายัดโอสถเข้าไปในปากอย่างวุ่นวาย ฤทธิ์โอสถของโอสถคางคกหิมะเริ่มเสื่อมคลายลงแล้ว ทว่าพิษที่หลงเฉินประทับเอาไว้ในร่างของเขากลับลดทอนลงไปเพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้น

ถ้าหากขจัดพิษไม่ทันเวลา เขาต้องตายไปอย่างแน่นอน ในเวลานี้ยิงฮวาจึงเลิกหันเหความสนใจไปที่หลงเฉิน อย่างไรเสียชีวิตของเขาย่อมสำคัญยิ่งกว่าความแค้นเคืองในใจอยู่แล้ว

เขาออกเดินทางไปในเส้นทางกว่าห้าร้อยกว่าลี้โดยใช้เวลาเพียงวันเดียว จนกระทั่งในตอนนี้ได้ออกมาจากผืนป่า ที่เบื้องหน้าของเขามีกระโจมใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ เมื่อพบเห็นกระโจมที่คุ้นเคยนั้น ยิงฮวาก็ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

เมื่อทหารลาดตะเวนนับสิบคนพบเห็นร่างที่ชโลมไปด้วยโลหิตสีแดงชาด อีกทั้งเจ้าของร่างนั้นยังเป็นถึงใต้เท้ายิงฮวา สายตาของพวกเขาก็แทบจะถลนออกมาจากใบหน้าที่แสนโง่งมในทันที นั่นเป็นหนึ่งในสามของสุดยอดฝีมือแห่งจักรวรรดิอย่างนั้นหรือ?

ยิงฮวาเซไปทางพลทหารนายหนึ่งที่อยู่หน่วยลาดตะเวน ผู้ที่มียศสูงส่งกว่าคนอื่นอยู่ขั้นหนึ่ง แล้วกล่าวออกมาอย่างขึงขังว่า “สั่งการให้ทัพใหญ่ปิดล้อมภูเขาและผืนป่าแห่งนี้ให้หมด หากพบเจอหลงเฉินให้สังหารได้เลยโดยไม่ต้องลังเล แล้วพาข้า……ส่งกลับไปยังจักรวรรดิ……”

หลังจากสิ้นเสียงการสั่งการแล้ว ยิงฮวาที่ไม่สามารถฝืนทนความเจ็บปวดได้อีกก็สลบลงไป พลทหารหน่วยนั้นจึงค่อยมีปฏิกิริยากลับคืนมา รีบแบกร่างกำยำของยิงฮวาเข้ากระโจมไป แล้วออกเดินทางไปรายงานแก่เบื้องบนที่จักรวรรดิในทันที

……

“หลงเฉิน เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ”

องค์ชายสี่วางสาส์นลับที่อยู่ในมือลงไปเบาๆ ก่อนจะยกแก้วชาบนโต๊ะที่ส่งกลิ่นหอมหวนขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ ทันใดนั้นที่ประตูห้องก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่ง

เมื่อเห็นการมาเยือนของชายหนุ่มชุดขาว องค์ชายสี่ก็ส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย “ฉู่เซี่ยได้เตรียมชาหอมเอาไว้แล้ว รอคอยท่านอยู่เนิ่นนาน ทว่าท่านกลับมาช้าไปเสียหน่อย ข้าจึงลิ้มลองไปคำหนึ่งแล้ว หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”

ชายหนุ่มชุดขาวที่กำลังทอประกายแววตาอันเยือกเย็น อีกทั้งยังแผ่รังสีสังหารออกมา เมื่อได้ยินคำพูดขององค์ชายสี่ก็ได้เปลี่ยนสีหน้าให้ผ่อนคลายลง

“เจ้าทราบว่าข้าเป็นผู้ใด?” ชายหนุ่มชุดขาวถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ทราบมาส่วนหนึ่ง”

“เช่นนั้น เจ้าก็คงทราบว่าข้ามายังที่แห่งนี้เพื่อการอันใด?”

“ฆ่าข้า” องค์ชายสี่เอื้อนเอ่ยออกไปอย่างเย็นชา

“ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าข้ามาเพื่อฆ่าเจ้า ยังจะเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้อีกหรือ?” ชายหนุ่มชุดขาวหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมทั้งจ้องมองไปที่ใบหน้าเฉยชาขององค์ชายสี่

“เพราะข้ารู้ว่าเจ้าฆ่าข้าไม่ได้”

“ฮาฮา ข้าโล้วฟางต้องการจะฆ่าเจ้า ต่อให้คนทั้งจักรวรรดิเข้ามาพร้อมกันก็ไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้” ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไม่ใช่ปัญหาว่าจะต้านได้หรือไม่ได้ เพราะข้าไม่จำเป็นที่จะต้องต้านทานกับเจ้า ข้าว่าเจ้าไม่ฆ่าข้าหรอก” องค์ชายสี่ยังคงมีน้ำเสียงเย็นชา

“ออ? เช่นนั้นข้าก็คงจะต้องขอฟังเสียหน่อยแล้ว” ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยออกไปราวกับถูกองค์ชายสี่กระตุ้นความสนใจขึ้นมาบางอย่าง

“ข้อแรก ข้าคิดว่าเซี่ยฉางเฟิงไม่ใช่ตัวเลือกที่ท่านสมควรจะร่วมมือด้วยที่สุด ความโง่เขลาของเขาก็เป็นที่ประจักษ์อยู่เต็มสองตา และเขาก็ตายไปแล้ว…”

“ต่อสิ”

“ข้อสอง ท่านมีคนที่ดีกว่าที่สมควรจะร่วมมือด้วย อีกทั้งยังทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม สามารถทำให้ท่านประสบผลสำเร็จขึ้นมาได้เป็นเท่าตัว”

“ที่เจ้ากำลังกล่าวอยู่นั้นคงไม่ได้หมายถึงตัวเองสินะ?” ชายหนุ่มชุดขาวถามหยั่งเชิงออกไป

“ไม่เลว”

“เหตุผล?”

“เหตุผลก็เพราะว่าข้านั้นเข้าใจแผนการของพวกเจ้า อีกทั้งยังทะลุปรุโปร่งอย่างมากด้วย ข้าทราบว่าสมควรที่จะทำเช่นไรกับ ‘คนผู้นั้น’ โดยที่อาวุธทหารไม่แปดเปื้อนคราบโลหิต” องค์ชายสี่ยังคงมีน้ำเสียงราบเรียบ อีกทั้งยังกล่าวได้อย่างลื่นไหล

เมื่อชายหนุ่มชุดขาวไม่ได้กล่าวอันใด เขาจึงกล่าวต่อว่า “พวกท่านได้วางแผนการเอาไว้มากว่ายี่สิบปีแล้ว นับตั้งแต่มารดาของข้าได้ตบแต่งกับจักรพรรดิเฟิงหมิง พวกเราได้เริ่มดำเนินการอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด และไม่สร้างความเคลื่อนไหวที่มากจนเกินไป

การใช้พวกเราสองแม่ลูกมีโอกาสครอบครองจักรวรรดิเฟิงหมิงได้สำเร็จ ไม่มีอันใดที่ดีไปกว่าวาจาของข้าได้อีกแล้ว อีกทั้งไทเฮาเองก็ได้ถูกมารดาของข้าควบคุมเอาไว้อยู่

ผู้คนที่ทราบความลับนี้ก็คือคนของฝ่ายพวกเราโดยทั้งสิ้นนอกเสียจากหลงเทียนเซียวเพียงผู้เดียว ฉะนั้นคนที่จะต้องรีบจัดการก็มีแต่เพียงหลงเทียนเซียวผู้เดียวเท่านั้น

หลายปีมานี้หลงเทียนเซียวยังไม่ยินยอมที่จะสวามิภักดิ์ต่อข้าแม้แต่น้อย เขาคล้ายกับตรวจพบกับเงื่อนงำขึ้นมาได้ คงจะเตรียมการบางอย่างเอาไว้พร้อมแล้วเช่นกันถึงได้ปฏิเสธในการหวนคืนสู่จักรพรรดิมาโดยตลอด

ด้วยเหตุนี้หลงเทียนเซียวจึงเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่สุด ข้ากล่าวได้ไม่ผิดเลยใช่หรือไม่”

ชายหนุ่มชุดขาวขมวดคิ้วเข้าชนกันแล้วกล่าวออกมาว่า “เจ้ากล่าววาจาไร้สาระเหล่านี้ออกมาก็เหมือนกับไม่ได้กล่าวอันใด”

องค์ชายสี่ยิ้มเล็กน้อยแล้วแล้วตอบกลับไปว่า “ถ้าหากข้าจะบอกว่าข้าสามารถคลี่คลายสิ่งกีดขวางอย่างหลงเทียนเซียวได้ ท่านยังจะคิดว่าข้ากำลังกล่าววาจาไร้สาระอยู่อีกหรือไม่?”

“จริงหรือ?” ชายหนุ่มชุดขาวจ้องเขม็งไปยังองค์ชายสี่

“ข้ายังไม่เคยกระทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้มาก่อน นับตั้งแต่กำเนิดมาก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง ข้าคิดว่าชีวิตที่คล้ายกับไม่เคยจะเห็นเดือนเห็นตะวันควรจะหยุดได้แล้ว ข้าจึงปรารถนาที่จะร่วมมือกับท่าน ข้าจะช่วยท่านจัดการกับหลงเทียนเซียว ส่วนท่านก็ช่วยให้ข้าได้รับตำแหน่งจักรพรรดิ” องค์ชายสี่กล่าวอย่างหนักแน่น อีกทั้งยังเกิดความร้อนรนขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง

ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นถึงองค์ชาย ทว่ากลับต้องมีชีวิตที่ถูกควบคุมมาโดยตลอดในฐานะผู้สอดแนมผู้หนึ่ง เขาไม่ต่างจากภูตพรายที่ไร้ตัวตนและไม่อาจพบเห็นดวงตะวันที่ส่องแสงมา

จนวันหนึ่งการควบคุมได้รับการคลี่คลายออกไปเมื่อพบเห็นตัวโง่งมอย่างเซี่ยฉางเฟิง เขาจึงตัดสินใจที่จะจัดการคนผู้นั้นทิ้งไปเสียเพื่อให้ตัวเองกลายเป็นผู้ร่วมแผนการของชายหนุ่มชุดขาวได้

ชายหนุ่มชุดขาวมองไปยังองค์ชายสี่ กล่าวย้ำเสียงขึ้นมาทีละคำว่า “แล้วตัวหมากของเจ้าเล่า?”

เมื่อพบว่าชายหนุ่มชุดขาวไม่ได้ปฏิเสธอันใด ภายในจิตใจจึงบังเกิดความปิติยินดีขึ้นมาอย่างยิ่ง พร้อมกับยื่นสิ่งของชิ้นหนึ่งให้แก่ชายหนุ่มชุดขาว

ชายหนุ่มชุดขาวเบิกตาอ้าปากเมื่อจดจำสิ่งของชิ้นนั้นขึ้นมาได้ . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset