เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 295 สุดยอดต้นแบบ

 

“ครอบพิรุณสังหาร”

 

ระหว่างที่เสียงของถังหว่านเอ๋อดังออกมา คมวายุที่อยู่ทางด้านหลัง ที่คล้ายดั่งคมกระบี่แห่งสวรรค์ ก็เริ่มฟาดฟันไปในห้วงสภาวะอากาศ ปลดปล่อยพลังพุ่งตรงเข้าใส่ก้อนลูกหนังทรงกลม

 

เมื่อได้เห็นการโจมตีของถังหว่านเอ๋อในยามนี้ ที่รวบรวมพลังขึ้นถึงระดับสูงสุด โล่วปิงและชายหนุ่มผู้นั้นที่อยู่ทางด้านหลังของนาง ก็ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด

 

แม้แต่ถู่ฟางเองก็ยังมีสีหน้าแตกตื่นขึ้นมา หลงเฉินนั้น ตอนนี้ไม่อาจที่จะติดนั่งเก้าอี้ได้แล้ว ถึงกับต้องลุกขึ้นมาจ้องมองภาพเหตุการณ์ระทึกตรงหน้า ภายในดวงตาทั้งคู่มีแววยินดีอยู่ต็มเปี่ยม

 

“พลังความแน่วแน่”

 

ถึงตอนนี้หลงเฉินรู้สึกได้ว่าใจเขากำลังเต้นรัวอย่างลิงโลด มิผิด! นี่ก็คือความแน่วแน่ การโจมตีของถังหว่านเอ๋อแฝงเอาไว้ด้วยความแน่วแน่ของนาง

 

ที่เรียกกันว่า ‘ความแน่วแน่’ เป็นการเรียกขานถึงสิ่งที่มีความลี้ลับที่ยิ่งกว่าลี้ลับ สิ่งนั้นนับว่าเป็นบ่อเกิดแห่งพลังมหาศาลอันเกิดจากความเชื่อมั่น ซึ่งถือเป็นขอบเขตสูงสุดอีกระดับหนึ่งได้เลยทีเดียว

 

การโจมตีที่แฝงเอาไว้ด้วยความแน่วแน่ เป็นการโจมตีที่ชัดเจน หนักแน่น และทรงพลัง แฝงเอาไว้ด้วยจิตสำนึกโดยใช้พลังในการควบคุมทั้งลมปราณทั้งใจไปพร้อมกัน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการโจมตีแห่งชีวิต

 

เหตุผลที่ทำให้หลงเฉินตกใจขึ้นมาเมื่อเห็นการโจมตีครั้งนี้ของถังหว่านเอ๋อ ก็คือ ในหมู่คนที่หลงเฉินเคยรู้จักทั้งหมด มีเพียงแค่การโจมตีของม่อเนี่ยนกับหยินหลอสองคนเท่านั้น ที่แฝงสิ่งที่เรียกกันว่าความแน่วแน่เอาไว้

 

และผู้ที่มีพลังความแน่วแน่เช่นนี้ มักจะถูกเรียกขานกันว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ คิดไม่ถึงว่าถังหว่านเอ๋อจะก้าวเข้าสู่ขั้นนี้ได้โดยที่ตัวนางเองยังไม่ทันจะรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ถังหว่านเอ๋อเข้าสู่ขอบเขตอีกแบบหนึ่งไปแล้ว นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลงเฉินทั้งแตกตื่นทั้งยินดีเช่นนี้

 

“ตูม”

 

เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น สายพลังมหาศาลตัดผ่านห้วงสภาวะอากาศ อัดเข้าใส่ด้านบนของก้อนลูกหนังทรงกลมอย่างรุนแรง

 

ก้อนลูกหนังทรงกลมที่เดิมที่มีรูปร่างคล้ายกับเป็นชิ้นเดียวกันก็แตกกระจายออกไปในทันที ปรากฏให้เห็นเป็นเงาร่างสองสายขึ้นมาพร้อมกัน กระเด็นลอยออกไป ดุจว่าวที่สายป่านขาด

 

คู่แฝดทั้งสองคนนั้นถึงแม้จะอยู่ภายในก้อนลูกหนังทรงกลม ทว่ากลับยังคงรับรู้ถึงสภาพภายนอกได้ ทำให้ถังหว่านเอ๋อมีโทสะเพิ่มขึ้นได้ เรื่องนี้ทำให้พวกเขาทั้งสองดีใจกันขึ้นมายกใหญ่

 

พวกเขาหวังผลว่า การโจมตีที่เปี่ยมไปด้วยความโกรธของถังหว่านเอ๋อ จะซัดก้อนลูกหนังทรงกลมของพวกเขาให้ลอยหลุดออกไปได้ รอคอยจนก้อนลูกหนังทรงกลมกลิ้งลอยออกไปนอกเวที พวกเขาก็จะสามารถแสดงสีหน้า ‘หดหู่’ ออกมาจากภายในก้อนลูกหนังทรงกลม แล้วถอนหายใจออกมา พร้อมกับพูดออกมาว่า “อีกแค่นิดเดียวแท้ๆ”

 

พวกเขาแต่เดิมย่อมมีความเชื่อมั่นในอาวุธของตนเองแน่นอนอยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้พบการโจมตีของถังหว่านเอ๋อ ที่แฝงเอาไว้ด้วยพลังความแน่วแน่ที่น่าสะพรึงกลัว กลับทำให้พวกต้องตื่นตะลึงด้วยความหวาดกลัว

 

ในแรกเริ่ม คู่แฝดนั้นไม่ได้เกรงกลัวว่าถังหว่านเอ๋อจะทำลายแผ่นโล่ของพวกเขา เพราะเชื่อมั่นในอาวุธชิ้นนี้เป็นอย่างมาก

 

ถ้าหากแผ่นโล่นี้มิได้เป็นโล่พิเศษ ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิเศษสุด ก็อาจจะถูกทำลายไปได้อย่างง่ายดาย หรือถ้าหากเป็นเพียงโล่ธรรมดา คงจะไม่อาจทนรับการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้ไหว ซึ่งนั่นก็คงจะทำให้พวกเขาถูกกล่าวขานว่าเป็นตัวโง่งม ทว่าก็เห็นได้ชัดว่า สำหรับโล่ของพวกเขานั้นแทบไม่ต้องเป็นกังวลใดๆ

 

ทว่า ในการโจมตีในครั้งสุดท้ายของถังหว่านเอ๋อ พลังรุนแรงที่เข้าปะทะ ก็ได้ทำให้โล่ที่กำลังเป็นเสมือนกระดองเต่าของคู่แฝดแตกออกเป็นเสี่ยงๆในกระบวนท่าเดียว

 

และจากการได้รับแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงถึงเพียงนั้น คนทั้งสองที่อยู่ด้านในก็ลอยกระเด็นออกไปในทันที มองดูคล้ายกับก้อนเนื้อสองก้อนถูกขว้างไปก็มิปาน ทั้งคู่มีโลหิตไหลรินออกมาจากปาก และเมื่อกระอักโลหิตคำหนึ่งก็พบว่า ในกองโลหิตนั้นมีเศษชิ้นส่วนอวัยวะภายในหลุดปนออกมาด้วย

 

“ตุบ ตุบ”

 

เสียงสิ่งของกระทบพื้นดังขึ้นสองครั้ง เป็นเสียงร่างกายของทั้งสองคนกระแทกเข้ากับพื้นดินที่อยู่นอกเวที หากมองดูจากที่ห่างไกลก็คล้ายกับก้อนเนื้อสองก้อน ที่ตกกระทบลงบนพื้นอย่างแรง

 

โล่วปิงหน้าถอดสีอย่างหนัก ขยับร่างกายคราหนึ่ง ก็ได้ทะยานไปอยู่เบื้องหน้าของคู่แฝด สิ่งที่นางเห็นคือใบหน้าของทั้งสองคนที่ซีดขาวราวกับกระดาษ และลมหายใจที่แผ่วเบาคล้ายจะหยุดลงทุกขณะ บนใบหน้าของโล่วปิงก็เริ่มที่จะปรากฏรอยเหี่ยวย่นขึ้นมา

 

พลังจากต้นตระกูลแห่งธรรมชาติก็เริ่มไหลเวียนออกมาจากร่างกายของคนทั้งคู่ แล้วผนึกเข้ากับพลังลมปราณแห่งฟ้าดินที่อยู่ภายนอก ในช่วงเวลาที่ผู้อยู่เหนือขอบเขตกำลังจะตาย พลังจากต้นตระกูลแห่งธรรมชาติก็จะเกิดปรากฏการณ์ไหลเวียนออกไปด้วยตัวของมันเอง มันจะทำการหาเจ้าของคนใหม่ หรือไม่ก็สลายหายไปท่ามกลางฟ้าดิน

 

เมื่อพบว่าลมหายใจของผู้อยู่เหนือขอบเขตทั้งสองคนกำลังโรยริน โล่วปิงก็แตกตื่นจนหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาในบัดดล

 

นางยื่นมือแตะเข้าไปบนหน้าผากของศิษย์ทั้งสองคน ส่งพลังแห่งจิตวิญญาณอันมหาศาลไหลเข้าไปสู่ภายในจิตวิญญาณของคนทั้งคู่ เพื่อทำการช่วยเหลือมิให้วิญญาณเกิดการดับสลาย

 

เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากโล่วปิง พลังจากต้นตระกูลแห่งธรรมชาติบนหน้าผากของทั้งสองคน จึงได้ถอยกลับเข้าไปในร่างกาย คืนสู่สภาพเดิมอย่างช้าๆ นั่นเองทำให้โล่วปิงผ่อนลมหายใจออกมาได้

 

ถ้าหากผู้อยู่เหนือขอบเขตสองคนนี้ตายไป ตัวนางก็คงต้องจบสิ้นแล้ว นางจะต้องถูกพี่ชายที่เป็นถึงเจ้าสำนักของหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหก ด่าทอแทบเป็นแทบตายอย่างแน่นอน

 

หลังจากที่พบว่าจิตวิญญาณของทั้งสองคนถูกตรึงไว้ได้แล้ว ก็ให้โอสถปราณแก่ทั้งคู่ เช่นนี้ ก็พอจะยื้อชีวิตของทั้งสองคนไว้ได้แล้ว ทว่าอาการบาดเจ็บของทั้งสองคนนั้นสาหัสมากเกินไป เกรงว่าเวลาพักเพียงสามเดือนอาจจะไม่เพียงพอที่จะช่วยให้พวกเขาหายเป็นปกติได้

 

ไม่ทราบว่าก่อนหน้าที่ขอบเขตแดนลับนพเก้าจะเปิดขึ้นมา จะสามารถที่จะฟื้นคืนพลังกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ได้หรือไม่ เมื่อคิดจนถึงตรงนี้สีหน้าของโล่วปิงก็ได้เย็นเฉียบขึ้นมาดุจก้อนน้ำแข็ง สาดสายตาคู่คมมองไปยังถังหว่านเอ๋อ

 

“ช่างเป็นทารกหญิงที่โหดร้ายนัก”

 

ถังหว่านเอ๋อไม่คิดที่จะสบตากับโล่วปิงแม้แต่น้อย ทั้งยังกล่าวตอบด้วยท่าทีที่ทั้งไม่แยแสทั้งไม่สนใจ “หากเทียบกับท่านผู้อาวุโสแล้ว ผู้เยาว์ยังต้องพยายามฝึกฝนให้มากกว่านี้อีก”

 

ถังหว่านเอ๋อนั้น ถึงแม้ปากจะมิได้กล่าววาจาด่าทอออกมา ทว่าเนื้อความและน้ำเสียงกลับแฝงเอาไว้ด้วยความดูแคลน ทั้งยังเป็นการบอกกล่าวอย่างชัดเจนอีกว่า ‘ต่อให้พวกเราโหดร้ายกว่านี้ ก็ยังเลวทรามได้ไม่เท่าพวกเจ้าอย่างแน่นอน’

 

กล่าวจนจบ ถังหว่านเอ๋อก็ยังคงไม่หันมองโล่วปิงแม้ซักครา ทำเพียงแต่กระโดดลงจากเวทีประลอง แล้วกลับไปยืนอยู่ข้างกายของหลงเฉิน

 

หลงเฉินทอสีหน้าตื่นเต้น ถ้าหากมิใช่มีคนอยู่มากมาย เขาจะต้องโผเข้าไปโอบกอดถังหว่านเอ๋อแน่นๆ ซักครั้งอย่างแน่นอน

 

“ท่านหัวหน้าช่างสมกับเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์นัก”

 

หลงเฉินยืนตัวตรงขึ้น พร้อมกับทำท่าทางคล้ายกับกำลังทำความเคารพดุจดั่งนายทหารนายหนึ่ง

 

“ท่านหัวหน้าช่างสมกับเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์นัก”

 

หมู่ตึกศิษย์ทั้งหมด เมื่อพบเห็นหลงเฉินทำการสรรเสริญถังหว่านเอ๋อ ก็แสดงท่าทางทำความเคารพขึ้นตาม พร้อมทั้งตะโกนขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงด้วยเสียงดังกังวาน

 

ถังหว่านเอ๋ออับอายจนใบหน้าแดงก่ำ ตัวบัดซบผู้นี้ก็ช่างหยอกล้อผู้คนยิ่งนัก ถึงกับทำตัวไม่ถูก ไม่ทราบว่าจะโต้ตอบกลับไปอย่างไรดีไปชั่วเวลาหนึ่ง

 

“หว่านเอ๋อ ยินดีกับเจ้าด้วย ที่ได้กลายเป็นสุดยอดฝีมือที่เป็นแบบอย่างได้แล้ว ตัวข้าจะขอบันทึกประวัติความไร้พ่ายของเจ้าเอาไว้ให้ เพื่อรักษาจิตใจที่แน่วแน่ของเจ้าไว้ให้ได้ ในอนาคตต่อจากนี่เป็นต้นไปจะต้องสำเร็จจนกลายเป็นสุดยอดฝีมือแห่งความหวังได้อย่างแน่นอน” ถู่ฟางเองก็กล่าวกับถังหว่านเอ๋อด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน

 

ถังหว่านเอ๋อนั้น ยังไม่ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนเอง แต่ทว่าเมื่อได้เห็นสีหน้าที่เคารพยกย่องของทุกคนที่มองมา ก็ได้ทำให้นางทั้งเขินอายทั้งยินดี

 

โดยเฉพาะหลงเฉิน ที่แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมนั้น ทำให้จิตใจของนางอบอุ่นขึ้นมามากทีเดียว สายตาเช่นนี้ของหลงเฉิน ถือได้ว่ายากนักที่จะได้พบเห็น

 

เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามมีการฉลองชัยกันเกิดขึ้น โล่วปิงก็มีสีหน้าปั้นยากอย่างถึงขีดสุด เดิมทีนางคิดที่จะแสดงอำนาจให้หมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดได้เห็น สั่งสอนให้พวกนี้เกิดความอับอาย เพื่อจะได้สร้างสัมพันธไมตรีที่ดีกับหมู่ตึกที่หนึ่ง

 

ทว่าตอนนี้ คล้ายกับไม่ได้ทำให้หมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดเกิดความอับอายขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ในการประลองทั้งเก้ารอบนั้นพวกนางชนะเพียงแค่สองรอบ ซ้ำหนึ่งในสองรอบที่เอาชนะมาได้ ยังได้ชัยชนะมาอย่างหน้าไม่อายอีกด้วย

 

ยิ่งไปกว่านั้น ในการประลองครั้งนี้ ด้วยเจตนาที่จะท้าทายยั่วยุของนาง กลับส่งผลทำให้อีกฝ่ายเกิดสุดยอดฝีมือขึ้นมาได้อีกคนได้เสีย โล่วปิงในตอนนี้ นับว่าเป็นตัวอย่างของคำกล่าวว่า ยิ่งมีโทสะมากเท่าใด ก็จะยิ่งวอดวายมากเท่านั้น ไปแล้ว

 

เมื่อเห็นภาพของถู่ฟางและพวกพ้องที่กำลังล้อมถังหว่านเอ๋อเอาไว้ ในท้องน้อยของนางก็เริ่มที่จะอยู่ในสภาพปกติต่อไปไม่ได้ เสมือนกำลังบิดเป็นเกลียวอยู่ภายใน แววตาทั้งคู่แฝงไว้ด้วยความอาฆาตแทบไม่อาจจะซ่อนเร้นได้ นางโยนแผ่นป้ายในมือไปยังทางด้านของถู่ฟางไปในทันที

 

ถู่ฟางเมื่อได้รับแผ่นป้ายของโล่วปิงมา ก็เอาทาบไว้บนแผ่นป้ายของตน แล้วก็ได้รับแต้มคุณประโยชน์มาอยู่ในมืออีกแปดหมื่นแต้ม

 

ผลการต่อสู้ทั้งหมดเก้ารอบ ทางฝ่ายของเขาชนะไปเจ็ดรอบ อีกฝ่ายชนะไปสองรอบ รวมแต้มคุณประโยชน์ที่ได้มานั้นมีมากถึงสี่สิบหมื่น ทว่ากู่หยางกลับต้องสูญเสียหอกทองคำที่ล้ำค่าไป จึงทำให้ชัยชนะที่ได้มาครั้งนี้ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร

 

“ในรอบสุดท้ายนี้ให้ข้าจัดการเองเถอะ”

 

ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงอันเฉยเมยดังขึ้นมา ชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวออกมาอย่างเชื่องช้า กระโดดขึ้นไปด้านบนของเวทีประลอง

 

ชายหนุ่มผู้นั้นดูไปแล้วน่าจะมีอายุราวๆยี่สิบต้นๆ ทั้งยังมีใบหน้าที่ธรรมดาสามัญ แต่ว่าแววตาทั้งคู่ กลับคมดุคล้ายนัยน์ตาเหยี่ยว สาดประกายเจิดจ้าอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อมองดูให้ความรู้สึกคล้ายกับอาวุธที่คมกริบก็มิปาน ดวงตานั้นทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะสบตาด้วยตรงๆ

 

เดิมทีชายหนุ่มผู้นี้ก้ยืนรวมกลุ่มกับพวกพ้องคนอื่นๆของเขามาโดยตลอด แต่เขาไม่เป็นที่สังเกตและไม่จำเป็นต้องจับตามอง ทว่าเมื่อเขาขึ้นไปบนเวที ตลอดทั่วทั้งร่างก็ได้เปี่ยมไปด้วยพลังสภาวะคมกล้า ทั้งยังเป็นความคมกล้าที่เจิดจ้าอย่างมาก คล้ายกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้เลยทีเดียว

 

บนร่างของคนผู้นั้น แฝงเอาไว้ด้วยสภาวะที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่งอยู่ชนิดหนึ่ง ให้ความรู้สึกราวกับเขาเป็นเหมือนดั่งราชาผู้สูงศักดิ์ ผู้ใดที่ถูกเขาจับจ้องจะต้องสยบอยู่ภายใต้อำนาจของเขา ไม่เกิดความต้องการที่จะโต้แย้ง หรือขัดขืนขึ้นมาเลย

 

แม้แต่ถู่ฟางเอง เมื่อเห็นคนผู้นี้อย่างชัดเจน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองออกว่า เดิมทีแล้วคนผู้นี้ที่แต่เดิมดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ผู้อยู่เหนือขอบเขตปกติธรรมดา

 

ทว่า เพียงเขาก้าวออกมาจากกลุ่ม ยังมิได้ปลดปล่อยพลังสภาวะ ความทระนงภายในเบื้องลึกของคนผู้นั้นก็สาดเป็นประกายขึ้นมา จนทำให้ทุกผู้คนเกิดความหวั่นไหว

 

“ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ”

 

เห็นได้ชัดเลยว่า คนผู้นั้นถือได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศที่แข็งแกร่งผู้หนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่มีพลังสภาวะที่แข็งแกร่งได้ถึงเพียงนั้นแล้ว

 

“เช่นนั้นข้าขอแนะนำตัวสักครู่ เรียกข้าว่าเจียงอี้ฝ่าน ถูกเรียกขานกันว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ พวกเจ้าจงจดจำนามของข้าเอาไว้ให้ดี เพราะนี่จะถือเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับพวกเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ในภายภาคหน้าอย่าแน่นอน” เจียงอี้ฝ่านกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชาพร้อมทั้งกวาดสายตามองทุกผู้คน

 

น้ำเสียงของเขานั้นเรียบเฉยเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้มีความเหยียดหยามและดูแคลนเจืออยู่เลยแม้แต่น้อย แต่ว่า เมื่อได้ฟังกลับให้ความรู้สึกที่ว่าเขานั้นสูงส่งเหนือกว่า จนทำให้เกิดความไม่สบายใจขึ้นมา

 

“ไม่อาจที่จะไม่ยอมรับได้เลยว่า พวกเจ้านั้น แข็งแกร่งกว่าที่ข้าคาดคิดเอาไว้อยู่เล็กน้อย ทว่าก็ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้อยู่ดี

 

ถึงแม้พวกเจ้าจะคิดว่า ในหมู่พวกเจ้ามีคนที่พึ่งจะปลุกสภาวะของสุดยอดฝีมือขึ้นมาได้ แต่นั้นก็ยังเป็นเพียงแค่การสรรเสริญกันเองเท่านั้น หากคิดที่จะเป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศที่แท้จริง ยังถือว่าเร็วเกินไป

 

ในช่วงที่ข้าอยู่ภายในหมู่ตึก เคยได้ยินเรื่องตลกมาเรื่องหนึ่ง ในเวลานั้นทำให้ข้าขำแทบตายเลยทีเดียว ได้ยินมาว่า มีคนคิดที่จะใช้อิทธิพลอันจอมปลอม ลวงเอาตำแหน่งของศิษย์ชั้นเลิศไป ช่างน่าขบขันแท้ๆ เจ้าว่าใช่หรือไม่ หลงเฉินเซียนเซิง?” เจียงอี้ฝ่านยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเช่นเดิม

 

เหล่าศิษย์ของหมู่ตึก ทอสีหน้าหนักใจขึ้นมา ถึงแม้พวกเขาจะไม่ทราบเรื่องที่ทางหมู่ตึกได้ยื่นขอให้สิทธิ์ของศิษย์ชั้นเลิศให้แก่หลงเฉินมาก่อน แต่ว่าคนผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าได้มุ่งเป้ามาที่หลงเฉิน

 

“ข้อแรก อย่าได้มาเรียกข้าว่า*เซียนเซิง เพราะข้ามิได้เคยสอนเจ้าเขียนอ่าน ข้อสอง ข้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เจ้ามิได้ขำจนตายไป ถ้าหากเจ้าขำตายไปแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องมาดูเจ้า แสร้งทำตัวเป็นหมาป่าส่ายหางแล้ว” หลงเฉินส่ายหน้าแล้วกล่าว

*先生เซียนเซิง ในคำภาษาจีนโบราณ มักจะใช้เรียกขานกับอาจารย์ผู้สอนหนังสือ

 

เด็กน้อยผู้นี้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งนั้นไม่ผิด ทว่าฝีมือในการเสแสร้งนั้นกลับเหนือกว่าฝีมือของเขาเสียอีก นี่ทำให้หลงเฉินรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

 

แต่ว่าหลงเฉินนั้น คาดเดาเป้าหมายของคนผู้นี้ได้ ดังนั้นจึงจงใจที่จะเจาะจงดูแคลนอีกฝ่ายกลับไป เจ้ามิใช่หรือ ที่อยากจะทำตัวเด่น เช่นนั้นพี่จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าด้วยก็แล้วกัน

 

“พลังการฝึกปรือยังไม่เท่าไหร่ แต่กลับมีฝีปากที่ร้ายกาจนัก แท้จริงแล้วที่เจ้าฝึกปรือมานั้น ต่างก็ไปจุกอยู่ในปากหรืออย่างไร? ตัวข้าก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว เจ้ายังจะมัวแต่ซุกอยู่ในกระดองไปอีกนานแค่ไหนกัน?” เจียงอี้ฝ่านมองไปที่หลงเฉิน ภายในแววตาก็ได้เกิดความเหยียดหยามขึ้นมา

 

“เจ้ายังไม่ได้กินยาแล้วหนีออกมาหรือไงกัน? หรือจะกล่าวว่ากินยาผิดชนิดไป? เจ้าที่เป็นถึงสุดยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลาง ยังมายืนอยู่บนเวทีอีก แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าเจ้ารอข้าอยู่ ร้องท้าทายข้าที่เป็นแค่คนที่อยู่ในขอบเขตขั้นก่อโลหิตคนหนึ่ง ข้ารู้สึกเสียใจยิ่งนัก เจ้าเหตุใดถึงใฝ่ต่ำ แล้วยังหน้าด้านหน้าทนได้ถึงเพียงนี้กัน?

 

หากเป็นไปตามที่เจ้าได้กล่าวออกมา ข้าขอคืนคำพูดให้ เจ้าสำนักของพวกเรายังคงรอคอยให้ท้าดวลอยู่ที่ด้านบนของยอดเขาอยู่ เจ้าไปเถอะ ข้าขอบอกเลยนะว่าคนอย่างท่านเจ้าสำนัก แค่ผายลมก็ทำให้เจ้าตายได้แล้ว เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ?” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ไม่แยแสเลยด้วยซ้ำ

 

“หลงเฉิน เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว” ถังหว่านเอ๋อแอบดึงหลงเฉินกลับมาพร้อมกับกล่าวขึ้น ตัวบัดซบผู้นี้เหตุใดถึงได้ปากคอเราะร้ายได้ถึงเพียงนี้กันนะ

 

ในระยะหลายร้อยลี้ออกไป หลิงหวินจื่อที่กำลังจับจ้องมองไปยังเวทีประลอง เมื่อได้ยินวาจาของหลงเฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะที่จะส่ายหน้าไปมาพร้อมกับทอสีหน้าอ่อนใจออกมา เฮ้อ! เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยจริงๆ

 

เจียงอี้ฝ่านก็อดไม่ได้ที่จะทอสีหน้าลำบากใจขึ้นมา เขาคิดไม่ถึงว่าหลงเฉินจะไม่ยอมรับการท้าทายจากเขา และยังถากถางกลับมาอย่างเฉียบคมได้ถึงเพียงนี้ นี่ทำให้เขาถึงกับไม่อาจที่จะนึกคำพูดอะไรออกมาได้เลย

 

“เจ้ากล่าวมาเช่นนี้ก็หมายความว่าเจ้าไม่กล้าที่จะขึ้นมาอย่างนั้นหรือ? หลงเฉิน คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสมกับที่เป็นยอดฝีมือแห่งการลวงโลกชั้นยอดจริงๆ ถึงกับยังไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะมาสู้กับข้า ที่แท้ข่าวลือก็เป็นความจริง ที่หมู่ตึกลำดับที่ร้อยแปดของพวกเจ้า ก็เป็นเจ้าพวกบ้าชอบหลอกลวงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น” เจียงอี้ฝ่านยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าววาจาดูแคลน

 

“เก็บลูกเล่นของเจ้ากลับไปได้แล้ว การต่อสู้ก่อนหน้านี้ทั้งสิบรอบ ยังบอกให้สู้ในระดับเดียวกันอยู่ เจ้าคิดว่าข้าจะเป็นตัวโง่งมเช่นเดียวกับเจ้าอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินแทบจะไม่สนใจใยดีเจียงอี้ฝ่านเลย ปล่อยเอาไว้อยู่บนเวทีให้ร้องท้าทายอยู่เช่นนั้น เจ้ามิใช่ว่าชมชอบแสดงนักหรือไง เช่นนั้นก็จงร่ายรำโลดเต้นของเจ้าบนเวทีต่อไปเถอะ

 

“เช่นนั้นก็ดี หากเจ้าไม่รับคำท้าของข้า ข้าก็ไม่คิดจะทำให้เจ้าลำบากใจ สตรีผุ้นั้น ผู้ที่พึ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นสุดยอดต้นแบบนั่นน่ะ ข้าจะขอท้าดวลกับเจ้า แต่ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจไป ขอเพียงเจ้าสามารถรับข้าได้สิบกระบวนท่า เจ้าก็ชนะไปได้เลย แต่ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าก็ต้องติดตามข้า เป็นอย่างไร?” เจียงอี้ฝ่านเมื่อพบเห็นหลงเฉินไม่ยอมขึ้นมา ก็หันกายมุ่งเป้าไปยังทางด้านของถังหว่านเอ๋อแทน

 

ถังหว่านเอ๋อทอสีหน้าเย็นเยียบ กำลังจะกล่าววาจาตอบกลับ พลันหลงเฉินก็ได้ฉุดรั้งนางเอาไว้ หลงเฉินมองดูเจียงอี้ฝ่านอย่างละเอียดแล้วกล่าว :

 

“เจ้าต้องการที่จะท้าสู้กับข้าจริงงั้นหรือ? เช่นนั้นคงต้องมีคนตายแล้วละ เจ้าใคร่ครวญให้ดีละ!”

.

.

ช่องทางการจัดจำหน่าย : https://novelrealm.com/detail.php?novel=22 <<< (ถึงตอนที่ 1006 แล้วครับ)

ฝากแฟนๆกดติดตามหรือกดLikeเพจเคล็ดกายานวดาราด้วยครับ >>> 9 ดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset