เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 304 พลังจากต้นตระกูลของอาหมาน

 

นับตั้งแต่ครั้งนั้น ที่สามารถไล่ตะเพิดหมู่ตึกที่สามสิบหกที่บุกเข้ามาท้าทายถึงถิ่น ให้หนีเตลิดกลับไปได้ ก็ทำให้บรรยากาศภายในหมู่ตึกเต็มไปด้วยความชื่นมื่นเปรมปรี

 

ถึงแม้ว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นจบลง ทางหมู่ตึกจะพยายามปกปิดเรื่องนี้ให้เงียบที่สุด เพราะเกรงว่าศิษย์คนอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ร่วมเหตุการณ์ เมื่อทราบเรื่องจะทำให้จิตใจย่ำแย่กันขึ้นมา แต่ทว่าก็ยังคงมีศิษย์อยู่จำนวนไม่น้อย ที่ทราบถึงข้อเท็จจริงของเรื่องที่เกิดขึ้น

 

แท้จริงแล้ว เรื่องนี้หาได้ทำให้เกิดความรู้สึกย่ำแย่เกิดขึ้น ในทางกลับกันกลับยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่พวกเขาได้มากยิ่งขึ้น เพราะ ณ เวลานี้ลำดับหมู่ตึกของพวกเขาอาจเรียกได้ว่าดีขึ้นแล้ว

 

ความสำเร็จครั้งที่พึ่งผ่านพ้นไป ที่สามารถโค่นล้มยอดฝีมือที่อยู่ในอันดับที่สามสิบหกไปได้อย่างหมดจด เพียงแค่นี้ก็ถือเป็นเกียรติภูมิอย่างสูงยิ่งแล้ว

 

เช่นนี้ จึงมีแต่จะช่วยทำให้จิตใจของพวกเขามั่นคงมากขึ้นด้วย การฝึกวิทยายุทธ์นั้นไม่มีทางลัด ต่อให้มีทรัพยากรอยู่อย่างล้นเหลือ แต่หากไม่มีความมั่นคงในจิตใจ มีใจที่ไม่ตั้งมั่น ก็ไปต่างอะไรไปจากเสือไร้ลาย

 

ในเหตุการณ์นั้น พวกเขากล่าวออกมาได้อย่างภูมิใจว่า พวกเขานั้นได้ใช้อ่อนแอสยบความแข็งแกร่ง ทว่าหลงเฉินกลับแก้ไขคำกล่าวของพวกเขา ด้วยการบอกว่า : พวกเจ้าเองต่างหากที่เป็นผู้แข็งแกร่ง

 

ความเก่งกล้าหาใช่จะดูได้จาก มีการฝึกปรือมามากแค่ไหน มีคนหนุนหลังดีเช่นไร หรือมีทักษะยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพียงใด แต่ต้องดูว่าเจ้านั้นมีจิตใจของยอดฝีมืออยู่หรือไม่ ก็เท่านั้นเอง

 

ผ่านไปสามวัน ถู่ฟางที่เดินทางไปยังสาขาหลักเพื่อแลกเอาโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็น ก็กลับมายังหมู่ตึก ศิษย์ทุกคน ต่างก็ได้รับแจกโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นที่ล้ำค่าไปคนละเม็ด

 

โอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นนั้น เป็นยาโอสถขั้นสามระดับกลาง ซึ่งจะแจกจ่ายให้เฉพาะหมู่ตึกห้าสิบอันดับแรกเท่านั้น ดังนั้นหากเป็นไปตามปกติแล้ว หมู่ตึกของพวกเขาไม่มีทางที่จะได้รับสวัสดิการเช่นนี้อย่างแน่นอน

 

บรรดาลูกศิษย์ล้วนทราบดี นี่คือการดูแลเอาใจใส่ของหลงเฉินที่มีต่อพวกเขา ตามธรรมเนียมแล้วยาโอสถที่ล้ำค่ามากถึงเพียงนี้ สมควรที่จะมอบให้แก่ศิษย์สายตรงกันก่อนจึงจะถูกต้อง

 

ดังนั้นจึงมีศิษย์บางคนเอ่ยขึ้นมาว่าตนเองไม่ต้องการโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็น เพราะระดับของตนนั้นยังไม่คู่ควรที่จะครอบครองโอสถล้ำค่านี้ ถู่ฟางก็ได้แต่บอกพวกเขาไปว่านี่เป็นการตัดสินใจของหลงเฉิน ทำให้มีศิษย์จำนวนไม่น้อย ที่อดที่จะน้ำตาคลอด้วยความตื้นตันไม่ได้

 

จิตใจที่เป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นของหลงเฉินนั้น ทำให้ของพวกเขารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก นี่ก็คือหลงเฉิน คือสิ่งที่เขาเป็นมาโดยตลอด ‘ขอเพียงมีสิ่งดีดี ย่อมไม่เคยที่จะลืมเลือนคนข้างกายแม้แต่คนเดียว’

 

หากมีพรสวรรค์เช่นเดียวกับที่หลงเฉินมีอยู่ ใครบ้างที่จะไม่หยิ่งผยอง ลำพองตน ทอดสายตาท้าทายไปทั้งสี่คาบสมุทรกัน ? เมื่อลองมองดู เหล่ายอดฝีมือหมู่ตึกลำดับที่สามสิบหกนั้น อย่าว่าแต่แค่ศิษย์สายในเลย ศิษย์แทบทุกคนต่างก็ยกตนว่าเป็นผู้สูงส่งทั้งนั้น

 

ทว่าหลงเฉินนั้น กลับไม่เคยกระทำเฉกเช่นนั้นมาก่อน เขาไม่เคยวางกล้าม อวดเบ่ง ทำตนว่าอยู่เหนือกว่าใคร ไม่ว่าจะอยู่กับผู้ใดก็สามารถที่จะเป็นเสมือนดั่งพี่น้องได้

 

เมื่อได้รับโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นไปแล้ว ศิษย์ทั้งหมดต่างก็กลับที่ถ้ำของตนเองเพื่อฝึกปรือ พวกเขาทราบว่า หากต้องการเพิ่มพูนพลังฝีมือให้มากขึ้น มีแต่ต้องทำเช่นนี้ เพราะพวกเขานั้นไม่อาจที่จะปล่อยให้หลงเฉินผิดหวังไปได้

 

ขอเพียงไม่ถูกหลงเฉินทิ้งให้ห่างจนไกลเกินเอื้อม พวกเขาก็ยังพอที่จะมีโอกาสสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลงเฉินได้ เพื่อโอกาสเช่นนี้ที่พวกเขาต้องชิงมาให้ได้ การฝึกปรือเพื่อเพิ่มพูนพลังนั้นจึงถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องกระทำ

 

การแสดงออกของบรรดาศิษย์ในตอนนี้ ทำให้ถู่ฟางปลาบปลื้มใจไม่น้อยเลย ลองถามไถ่ไปทั้งใต้หล้าผู้ใดบ้างที่ไม่มีความโลภ ? ในกลุ่มที่ยิ่งมีคนมากขึ้น ก็ยิ่งควบคุมได้ยากขึ้น

 

ทว่าหลงเฉินกลับไม่จำเป็นต้องใช้ฝีมืออื่นใด ยังสามารถที่จะผนึกกำลังของศิษย์ทั้งหมดจนเป็นปึกแผ่น ถู่ฟางเองก็ยังสัมผัสได้ว่า ศิษย์เหล่านั้นในเวลาที่ได้รับโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นแล้ว เกิดความตื้นตันขึ้นภายในใจได้มากมายเพียงใด

 

ในช่วงระยะเวลาไม่นาน เหล่าศิษย์ของหมู่ตึกก็ได้ทำการซึมซับโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นเข้าสู่ร่างกาย เพื่อเพิ่มพูนความทนทานของเส้นลมปราณให้แข็งแกร่งขึ้น และยังช่วยเพิ่มพูนพลังการต่อสู้ของพวกเขาขึ้นมาด้วย

 

โอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็น อยู่ในหมู่ยาโอสถระดับสาม ถือได้ว่าเป็นยาโอสถที่หาได้ยาก สามารถใช้ขยายเส้นลมปราณได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถช่วยเพิ่มขีดจำกัดของเส้นลมปราณได้ในทันที

 

ยาโอสถที่มีสรรพคุณในการขยายเส้นลมปราณนั้น เดิมทีก็มีจำนวนน้อยมากอยู่แล้ว และยาโอสถตัวอื่นๆ โดยส่วนมากมักจะทำให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา

 

ได้มีคำกล่าวถึงยาโอสถบนโลกหล้านี้ว่า ‘ใช้ได้สามขั้น’ หรือจะกล่าวก็คือ การพัฒนายาโอสถขึ้นมาชนิดหนึ่ง โดยส่วนมากแล้วจะสามารถใช้ได้เพียงแค่สามครั้งเท่านั้น

 

การใช้ในครั้งแรก จะได้รับผลลัพธ์เต็มร้อยส่วน การใช้ในครั้งที่สองผลลัพธ์ที่ได้จะลดทอนไปครึ่งหนึ่ง การใช้ครั้งที่สามก็ยังลงทอนลงอีกครึ่งหนึ่ง และในครั้งที่สี่ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ยาจะยิ่งน้อยลงไปอีกจนเสมือนว่าไม่ได้ผลลัพธ์ใดๆจากยานั้นเลย

 

ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่า เพราะเหตุใดโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นถึงได้มีราคาที่แพงลิบลิ่วถึงเพียงนี้ เพราะไม่ใช่แค่เพียงมีสรรพคุณของยาที่แก่กล้า แต่ยังสามารถที่จะขยายขีดจำกัดของเส้นลมปราณได้อย่างต่อเนื่องด้วย

 

ในเวลาที่ศิษย์ทั้งหมดกำลังทำการดูดซึมโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นอยู่นั้น หลงเฉินเองก็ไม่ได้ว่าง เขายังคงทำการหลอมรวมโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นอย่างไม่หยุดไม่หย่อน เพื่อที่จะนำไปแจกจ่ายเพิ่มเติมให้ถังหว่านเอ๋อและเหล่าศิษย์สายตรง

 

แต่เรื่องที่ทำให้หลงเฉินจนปัญญาอยู่ตอนนี้ก็คือ เพลิงโอสถของเขาในขณะนี้ เห็นได้ชัดว่ามีระดับการเติบโตที่ตามเขาไม่ทันเสียแล้ว

 

การใช้เพลิงกาฬกิ้งก่าอัคคีในการหลอมโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นหนึ่งเตานั้น จำเป็นต้องใช้เวลามากถึงหกชั่วยามเต็มๆ การหลอมรวมโอสถชนิดนี้ขึ้นมาในแต่ละครั้งจึงเป็นความจำเจที่น่าเบื่อหน่าย และเสียเวลาเป็นอย่างยิ่ง หลงเฉินคิดว่าถ้าหากสามารถใช้เพลิงสัตว์ที่แข็งแกร่งกว่านี้ เขาก็จะสามารถเพิ่มความเร็วในการหลอมโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นได้มากขึ้นกว่าเดิมได้

 

ในตอนแรกหลงเฉินคิดแผนการที่ดีเยี่ยมอย่างหนึ่งขึ้นมา เขาคิดว่าหากเขาหลอมโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นได้มากประมาณหนึ่ง แล้วนำไปแจกจ่ายให้กับคนรอบข้าง ก็จะทำให้คนเหล่านั้น ได้รับการเสริมสร้างทางร่างกาย จนสามารถฝึกปรือกลายเป็นยอดฝีมือได้สำเร็จ

 

และเมื่อพบเจอกับพวกจอมเสแสร้ง เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลงมือเองอีกต่อไป เพียงแค่บัญชาการกำลังพลในมือ ก็สามารถข่มขู่ศัตรูให้หลบหนีหัวซุกหัวซุนได้แล้ว เช่นนั้น จึงค่อยเรียกได้ว่าเป็นความสะใจได้

 

ทว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เพียงแค่การหลอมโอสถก็ทำให้หลงเฉินเหน็ดเหนื่อยแทบตายแล้ว แต่สิ่งที่น่ายินดีคือ ตอนนี้สามารถหลอมโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นขึ้นมาได้มากถึงสองร้อยกว่าเม็ดแล้ว

 

ซึ่งนั่น ทำให้ถังหว่านเอ๋อและศิษย์สายตรงทุกคน ต่างก็ได้รับโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นกันไปคนละสิบเม็ด หลงเฉินมีความเชื่อมั่นในยาโอสถของตนเองเป็นอย่างยิ่ง เขากล้าที่จะรับประกันกับว่า เมื่อทุกคนซึบซับโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นที่ให้ไปจนครบสิบเม็ดแล้ว จะสามารถขยายเส้นลมปราณได้จนถึงขีดสุดอย่างแน่นอน

 

สำหรับหลงเฉินแล้ว เขามีความเชื่อมั่นในวิชาการหลอมโอสถที่ตนมีอยู่มากกว่าวิชาการต่อสู้ของตนเองเสียอีก เพียงแต่น่าเสียดายที่พลังเพลิงของเขานั้นกลับไม่ได้ดีอะไรมากนัก ไม่เช่นนั้นเขาก็คงสามารถหลอมยาโอสถระดับสี่ขึ้นมาได้แล้ว

 

พลันในมือของหลงเฉินก็ปรากฏแผ่นป้ายขึ้นมาหนึ่งชิ้น เมื่อมองดูแผ่นป้ายชิ้นนี้ หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

 

นี้ก็คือสิ่งที่ปรมาจารย์หวินฉีได้ทิ้งไว้ให้แก่เขา เมื่อนึกถึงปรมาจารย์หวินฉี ก็ทำให้จิตใจของหลงเฉินรู้สึกฝืดเคืองขึ้นมา

 

ถึงแม้ปรมาจารย์หวินฉีจะมีทักษะโอสถที่ธรรมดา แต่ว่าเขาก็ถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าแก่การเคารพยกย่องผู้หนึ่ง เพื่อหลงเฉินแล้ว ยังถึงกับยอมที่จะเสียสละตัวเองได้เลย

 

แม้ว่าท้ายที่สุดหลงเฉินได้สังหารบุรุษชุดขาวไปได้ แต่ว่าเขากลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย

 

“ไม่รู้ว่าหุบเขาโอสถนี้แท้จริงแล้วมีอะไรอยู่กันแน่ ถึงกับถูกเรียกขานว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้หลอมโอสถ ก็น่าจะเป็นสถานที่ที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างแน่นอน”

 

ในส่วนของหุบเขาโอสถ หลงเฉินคิดที่จะไปยังสถานที่แห่งนั้นมาโดยตลอด ถ้าหากหุบเขาโอสถเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ปรมาจารย์หวินฉีได้กล่าวไว้จริง เขาคงต้องไปเยือนซักครั้งแล้ว

 

หลงเฉินเก็บแผ่นป้ายของหุบเขาโอสถเอาไว้ตามเดิม และกำลังชั่งใจว่าจะหลอมโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นต่อดีหรือไม่ ในตอนนี้ศิษย์สายตรงโดยส่วนมากได้รับยาโอสถอย่างเพียงพอแล้ว ส่วนของศิษย์สายนอกและศิษย์สายใน ในช่วงนี้ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องรีบถึงเพียงนั้น ขอเพียงยังไม่เข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูก ก็ยังสามารถที่จะดูดซับโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นได้อยู่ดี

 

และในมือหลงเฉินในขณะนี้ยังมีโอสถสามบุปผาทะลวงเส้นเอ็นเหลืออยู่อีกหลายสิบเม็ด แต่เขาก็ทราบว่า หากถึงเวลาที่เขาเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นไปแล้ว ด้วยเคล็ดวิชากายานวดารานี้ ย่อมต้องทำให้วิทยายุทธ์ของเขาเพิ่มพูนระดับความยากมากขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งความต้องการใช้ยาโอสถของเขาย่อมต้องมีมากกว่าผู้อื่นนับร้อยเท่าอย่างแน่นอน อาจถึงขั้นนับหมื่นเท่าเลยทีเดียว

 

แต่เมื่อได้ลองนึกถึงความน่ากลัวในความเหนื่อยล้าของการหลอมโอสถนี้ หลงเฉินก็รู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาเป็นสาย ขณะเดียวกันนี้เขาก็เกิดความสงสัยด้วยว่า ภายในความทรงจำของจักรพรรดิโอสถนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชากายานวดาราอย่างไร

 

หากไม่มีทักษะการหลอมโอสถที่แข็งแกร่ง การที่จะสำเร็จวิทยายุทธ์เคล็ดวิชากายานวดาราโดยง่ายแทบจะเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น และหลงเฉินในตอนนี้ ต่อให้มีการหลอมโอสถที่แกร่งกล้าก็ยังคงมีแต่ความมืดมนอยู่ทางเบื้องหน้าเท่านั้น

 

หลังจากนี้ ในช่วงระหว่างที่หลงเฉินพัฒนาพลังฝีมือ เขาก็คงต้องเหน็ดเหนื่อยในการแสวงหาวัตถุดิบอีกนับไม่ถ้วนไปพร้อมกัน และนั่นก็หมายถึง จะต้องใช้เงินตรามหาศาล ดังนั้นตอนนี้เขาจึงจำเป็นที่จะต้องคิดหาวิธีในการหาเงินมาให้ได้

 

เมื่อได้ทอดสายตามองเตาโอสถที่อยู่เบื้องหน้า หลงเฉินก็แทบจะถอดใจขึ้นมา เขาไม่ได้เกรงกลัวการหลอมโอสถแม้แต่น้อย แต่ว่าการหลอมแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานถึงหกชั่วยามแทบไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีความเกียจคร้านอย่างหลงเฉินด้วยแล้ว นี่เป็นเรื่องทรมานแทบไม่ต่างอะไรไปจากเอาชีวิตเขาเลยทีเดียว

 

โดยเฉพาะตอนนี้ที่มิใช่หลอมมาเพื่อผู้อื่น แต่เป็นการหลอมขึ้นมาเพื่อตนเอง แค่คิดก็ทำให้รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงขึ้นมาแล้ว

 

“พี่หลง ข้ากลับมาแล้ว”

 

ขณะที่หลงเฉินกำลังอุดอู้อยู่หน้าเตาหลอมนั้น ในเวลาที่กำลังชั่งใจว่าจะอู้งานดีหรือไม่อยู่นั่นเอง ก็มีเสียงแหบห้าวตะโกนดังขึ้น และความรู้สึกต่อมาของหลงเฉินก็คือพื้นถ้ำกำลังสั่นสะเทือน

 

หลงเฉินจึงรีบวิ่งออกมาด้านนอกถ้ำ ก็เห็นอาหมานกำลังวิ่งห้อตะบึงเข้ามา อาหมานที่วิ่งพร้อมแบกกระบองเขี้ยวหมาป่าไว้บนหลังนั่นเองที่เป็นสาเหตุทำให้พื้นดินเกิดการสั่นสะเทือน

 

ทว่ารอบนี้ในที่สุดก็ดูเหมือนว่า อาหมานนั้นสามารถเรียนรู้การควบคุมพลังได้แล้ว เพราะตลอดรายทางที่เขาวิ่งมานี้ ก็ไม่ได้ปรากฏรอยพื้นดินทรุดจากการก้าวย่างของเขา อาหมานไม่ได้เหยียบจนพื้นแหลกลานไปอีกแล้ว

 

“โบร๋วโบร๋ว”

 

ทันใดนั้นเงาร่างขนาดใหญ่สายหนึ่งก็ได้พุ่งเข้าใส่หลงเฉินอย่ารวดเร็ว หลงเฉินที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวจึงถูกพลักจนล้มลงไป

 

“ฮ่าฮ่า เสี่ยวเสว่ย เจ้าซุกซนอีกแล้วนะ”

 

เสี่ยวเสว่ยกระโจนเข้าใส่หลงเฉินแล้วแลบลิ้นเลียไปทั่วใบหน้าของเขา จนทำให้หลงเฉินหัวเราะไม่หยุด

 

การกลับมาในครั้งนี้นั้น เสี่ยวเสว่ยมีรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และดูน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิม มีร่างกายที่ยาวเกือบสิบจั้ง กรงเล็บมีขนาดใหญ่เท่ากับโต๊ะตัวหนึ่ง และมีเล็บที่แหลมคมราวใบมีดแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ที่ด้านบนหัวยังแฝงเอาไว้ด้วยวิถีพลังจากต้นตระกูลสายหนึ่ง

 

เสี่ยวเสว่ยในเวลานี้ มีพลังสภาวะที่น่าหวาดกลัวแผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่าง นี่ถือเป็นแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากสัตว์ในระดับราชา แรงกดดันนี้รุนแรงจนสามารถทำให้จิตวิญญาณของผู้ที่อยู่ใกล้รู้สึกสั่นไหวขึ้นมาได้เลย

 

“เสี่ยวเสว่ย เจ้าเลื่อนขึ้นเป็นราชาหมาป่าแล้ว”

 

หลงเฉินลุกขึ้นมาพินิจดูเสี่ยวเสว่ยอย่างชัดเจน เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงน้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยความลิงโลด

 

ในตอนนี้เสี่ยวเสว่ย ได้เลื่อนขั้นขึ้นสู่ระดับสามสูงสุดไปแล้ว เรียกได้ว่าได้ไปถึงขีดจำกัดของตนเองแล้ว ดังนั้นสภาวะแรงกดดันแห่งราชาจึงยิ่งทวีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

 

หมาป่าหิมะแดงเพลิงเดิมทีก็เป็นราชาในหมู่สัตว์มายาระดับสามอยู่แล้ว ในหมู่สัตว์มายาระดับสามด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นการคงอยู่ที่ไร้ผู้ต้านทานเลยทีเดียว เสี่ยวเสว่ยในขณะนี้ อาจจะนับว่าเป็นระดับสูงสุดของมันแล้ว

 

พลังการต่อสู้ของเสี่ยวเสว่ยที่ผ่านมา ถือได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ในการต่อสู้ครั้งที่แล้ว เสี่ยวเสว่ยที่ยังเป็นเพียงแค่สัตว์มายาระดับสามขั้นกลางเท่านั้น ก็สามารถสังหารศิษย์สายตรงได้ในเสี้ยววินาทีแล้ว

 

ตอนนี้ได้เลื่อนขั้นจนถึงระดับสามสูงสุดแล้ว หลงเฉินคิดว่า พลังการต่อสู้ของเสี่ยวเสว่ย อาจจะสามารถเทียบเคียงได้กับระดับผู้อยู่เหนือขอบเขตหรือแม้แต่ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศแล้ว

 

ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านั้นก็คือการโจมตีที่เฉียบคมเป็นอย่างยิ่งของเสี่ยวเสว่ย ที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดก็คือ การโจมตีของมันหนึ่งครั้งสามารถแผ่ขยายอนุภาพการทำลายออกเป็นวงกว้างได้ ซึ่งทำให้มันสามารถสังหารศัตรูทั้งกลุ่มให้ตายได้ในคราวเดียว

 

“พี่หลง ข้าได้ยินว่าพวกท่านทะเลาะกันยกใหญ่ในหมู่ตึก น่าเสียดายข้ากลับมาช้าไป ไม่ทันเข้าร่วม” อาหมานกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหดหู่

 

ทำให้หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันขึ้นมา ขณะนี้อาหมานนั้นถือว่าได้กลายเป็นคนที่ชมชอบการต่อสู้ขึ้นมาแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เด็กน้อยผู้นี้ แม้จะถูกผู้อื่นทุบตีอย่างไรก็ไม่เคยตอบโต้อีกฝ่าย มาโดยตลอด

 

“ไม่เป็นไร รอคอยจนไปถึงแดนลับ ย่อมต้องมีคู่มือให้แน่ เอ๊ะ อาหมานพลังจากต้นตระกูลของเจ้าถูกปลุกขึ้นมาแล้วงั้นหรือ ? ”

 

ทันใดนั้นหลงเฉินก็สังเกตเห็นว่าบนหน้าผากของอาหมาน ปรากฏรอยตราสีแดงเข้มขึ้น ที่ดูคล้ายกับเป็นปานแดงวงหนึ่ง

 

รอยตรานั้น มีรูปร่างลักษณะเป็นแปดแฉก ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก ภายในรอยตรานั้นยังคล้ายกับเป็นรูปอะไรบางอย่างอีกด้วย

 

เมื่อหลงเฉินกำลังคิดที่จะวิเคราะห์ดูรอยตรานั้นให้ละเอียดขึ้น ฉับพลันก็มีสภาวะความรุนแรงขุมหนึ่งพุ่งเข้าใส่จิตสำนึกของหลงเฉิน

 

หลงเฉินตื่นตระหนกขึ้นมายกใหญ่ เขาถึงกับถอยออกไปโดยไม่รู้ตัวถึงสองก้าว พลังน่าหวาดกลัวที่พุ่งเข้ามาในการรับรู้ของเขาสายนั้น ทำให้เขารู้สึกราวกับได้พบกับสัตว์ประหลาดจากบรรพกาลตนหนึ่ง สัตว์ประหลาดที่มีพลังรุนแรงถึงขั้นทลายสวรรค์ได้เลยทีเดียว

 

“พี่หลง ท่านเป็นอะไรไป ? ”อาหมานถามขึ้นมา

 

“ไม่มีอะไร”

 

หลงเฉินส่ายหน้าไปมา ในตัวของอาหมานคล้ายกับซ่อนความลับอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งหลงเฉินเชื่อว่า แม้แต่ตัวของอาหมานเองก็ยังไม่ทราบ

 

ถึงแม้พลังชีวิตขุมนั้นจะน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหลงเฉินกลับไม่ได้สัมผัสถึงความเป็นศัตรูแม้แต่น้อย นี่จึงทำให้เขาวางใจขึ้นมาได้

 

หลงเฉินถามไถ่สภาพการณ์ช่วงนี้ของอาหมาน อาหมานเล่าว่าตาแก่พาเขากับเสี่ยวเสว่ย ไปยังสถานที่ที่ห่างไกลยิ่งนัก ภายในสถานที่แห่งนั้นมีสัตว์มายาที่แข็งแกร่งอยู่นับไม่ถ้วน เขากับเสี่ยวเสว่ยในทุกๆวันจึงกินได้อิ่มเป็นอย่างยิ่ง

 

ในส่วนของการฝึกปรือของสัตว์มายาเหล่านั้น อาหมานจดจำไม่ได้ เขาทราบแต่เพียงว่า เนื้อของสัตว์มายาเหล่านั้นเหนียวยิ่งนัก จึงต้องเปลืองแรงในการกินเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำให้ฟื้นพลังกายได้รวดเร็ว

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อมีประสบการณ์จากครั้งที่แล้ว ชางหมิงจึงได้เตรียม ‘เสบียง’ ไว้ให้แก่อาหมานอีกมากมาย

 

หลงเฉินพยักหน้ารับรู้ ร่างกายของอาหมานในตอนนี้นั้น คล้ายกับมีบางอย่างถูกปลุกขึ้นมา ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตอนที่ได้ระเบิดพลังที่แข็งแกร่งออกมาได้ ยามที่เขาต่อสู้กับฝ่ายอธรรมเมื่อครั้งที่แล้ว

 

ทว่าไม่ว่าอย่างไร นี่ก็ถือเป็นเรื่องดี หลงเฉินกำชับอาหมานอยู่หลายประโยค ก่อนจะพาเสี่ยวเสว่ยออกไปจากหมู่ตึก

 

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset