เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 284 เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว

 

หลงเฉินยืนอยู่บนยอดเขาที่เต็มไปด้วยประกายแสงเจิดจ้า เป็นอีกครั้งที่เขามายังสถานที่แห่งนี้ ท้องฟ้าด้านบนปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆาที่ปลดปล่อยสายฟ้าออกมาตลอดเวลา สายฟ้านั้นทำให้เกิดแสงเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ สายตาของหลงเฉินเหม่อมองไปยังม่านหมอกสายฟ้านั้นแล้วถอนหายใจ

 

ในเวลานี้พลังของเขาติดอยู่ในขอบเขตก่อรวมขั้นสูงสุด ไม่อาจที่จะพัฒนาต่อไปได้ ผลกิเลนก็ยังไม่ได้มาครอบครอง เขาจึงต้องเพียรพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อจะหาวิธีที่จะทำให้พลังฝีมือของตนเองพัฒนาขึ้น

 

ครั้งที่แล้วในการต่อสู้กับหยินหลอ การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำให้พลังอัสนีของหลงเฉินลดทอนลงไปจนหมดสิ้น ตัวเขาในช่วงเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่ศึกสิ้นสุดลง ก็ยุ่งอยู่กับการ ‘รวบรวม’ วัตถุดิบมาโดยตลอด จึงไม่มีเวลาที่จะฟื้นคืนพลังแต่อย่างใด

 

ในที่สุดตอนนี้ก็ว่างแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องฟื้นฟูพลังอัสนีบาตของตนเองเสียที หลงเฉินจึงขึ้นมาบนยอดแห่งเขานี้ เพื่อเก็บเกี่ยวสายฟ้า รับเอาพลังอัสนีบาตแห่งฟ้าดิน

 

เพราะพลังแห่งอัสนีบาตของหลงเฉิน หลอมละลายอยู่ภายในกระแสโลหิตของเขา ดังนั้นแล้วเพื่อบ่มเพาะอักขระแห่งอัสนีบาตเหล่านั้น เขาจึงจำเป็นต้องใช้เวลามากมายในการดูดกลืนอัสนีบาตแห่งฟ้าดิน เพื่อให้พลังแก่อักขระเหล่านั้น และเมื่อทำให้อักขระแห่งอัสนีบาตเหล่านั้นถึงจุดอิ่มตัว พวกมันก็จะสามารถอาศัยอยู่ได้ ซึ่งก็จะสามารถฟื้นฟูพลังแห่งอัสนีบาตขึ้นมาได้

 

สิ่งที่เสียเวลามากมายทำมาก่อนหน้านี้ก็สูญเปล่าไปแล้ว หลงเฉินจึงตัดสินใจว่า จะต้องทำการเก็บเกี่ยวอัสนีให้ได้มากที่สุด เช่นนี้ก็จะไม่ถือว่าสิ้นเปลืองที่ได้ลงแรงแล้ว

 

ในความคิดของหลงเฉิน หากเป็นเรื่องที่สามารถนอนแผ่แล้วกระทำได้ ย่อมต้องไม่นั่งกระทำอย่างแน่นอน ทั้งประหยัดแรงประหยัดเวลา ทำให้สำเร็จได้ โดยที่ทั้งรวดเร็วทั้งสะดวกปลอดภัยเลย เช่นนี้จึงถือว่าเป็นจ้าว

 

หลงเฉินล้วงว่าวที่มีความยาวเกือบสามเชียะออกมาตัวหนึ่ง ว่าวนั้นมิใช่ว่าวปกติธรรมดา แต่เป็นว่าวชนิดพิเศษที่ถูกตีขึ้นจากเหล็กกล้า

 

สิ่งนี้คือสิ่งที่หลงเฉินขอให้กัวเหรินสร้างขึ้น ซึ่งกัวเหรินนั้นต้องทุ่มเทกำลังมหาศาล กว่าจะสามารถสร้างว่าวชนิดนี้ได้สำเร็จซักชิ้น สิ่งพิเศษที่สุดของว่าวนี้คือ ส่วนปีกของมันติดตั้งเอาไว้ด้วยลวดขดเป็นเกลียว*ทั้งหมดสามสิบหกชิ้น เมื่อมีสายลมพัดผ่านตัวว่าว ลวดขดเกลียวเหล่านั้นจะเกิดการหมุน จนทำให้ว่าวนี้สามารถลอยคว้างอยู่บนอากาศได้และลอยสูงขึ้นไปได้เอง ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่แปลกเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว

*สปริง

 

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของว่าวนี้คือ เมื่อขึ้นไปลอยอยู่บนท้องฟ้าได้แล้วมันก็จะสามารถลอยอยู่อย่างนั้นได้ไม่ตกสู่พื้น แตกต่างจากว่าวโดยทั่วไปที่จะต้องอาศัยทั้งความแรงและทิศทางของกระแสลมช่วยพยุงไม่ให้ร่วงลงสู่พื้น

 

โดยกัวเหรินนั้นออกแบบว่าวเหล็กนี้ให้มีเชือกผูกติดอยู่อีกด้านหนึ่งของตัวว่าวด้วย เพื่อไม่ให้ว่าวลอยสูงลับหายไป ดังนั้นเมื่อนำเชือกนั้นผูกไว้กับพื้น และขอเพียงบนท้องฟ้ามีสายลม ว่าวเหล็กนี้ก็จะลอยอยู่ในจุดที่ต้องการเช่นนั้นไม่มีวันร่วงหล่นลงมา

 

ยิ่งไปกว่านั้น เชือกว่าวของหลงเฉินก็มีความพิเศษอยู่ด้วย นั่นคือมีคุณสมบัติที่แข็งแรงดุจลวดเหล็ก ทั้งละเอียดทและทนทาน

 

หลงเฉินปล่อยว่าวกลางอากาศ ว่าวนั้นลอยสูงขึ้นไป และเพียงแค่ครู่เดียวอยู่สูงกว่าหนึ่งพันจั้งได้สำเร็จ

 

พื้นที่ตรงจุดที่ปล่อยว่าวขึ้นไปนั้น คือจุดที่มีหมอกอัสนีรวมกลุ่มกันอยู่ ดังนั้นในเวลานี้ ว่าวที่เป็นเหล็กกล้าจึงถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่อยู่ตลอดเวลา และไฟฟ้านั้นก็ไหลตามเชือกว่าวที่ทำจากเหล็กลงมาสู่ตัวหลงเฉิน ให้เขารับเอาพลังแห่งอัสนีบาตมหาศาลไว้

 

ทว่าพลังแห่งอัสนีบาตเหล่านั้น ไม่ได้สร้างอาการบาดเจ็บให้แก่หลงเฉินเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันกลับทำให้ร่างกายของเขาเกิดความเบาสบายขึ้นมา

 

เพราะการหลั่งไหลเข้ามาของอัสนีบาตแห่งฟ้าดินนั้นเสมือนปลุกอักขระแห่งอัสนีบาตที่อยู่ภายในโลหิตของหลงเฉินให้ตื่นขึ้น อักขระเหล่านั้นดูดกลืนพลังอันมหาศาลที่ไหลเข้ามานั้นอย่างบ้าคลั่ง คล้ายกับหมาป่าหิวโหยก็มิปาน

 

และตัวว่าวนั้นถูกปกคลุมเอาไว้อยู่ท่ามกลางม่านหมอกอัสนี ไม่ว่าพลังทำลายจากอัสนีเหล่านั้นจะรุนแรงมากเพียงใด ก็เพียงแต่ทำให้ตัวว่าวเกิดการสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด นี่ทำให้หลงเฉินวางใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

“ของที่กัวเหรินสร้างขึ้นมา ไว้ใจได้จริงๆ”

 

หลงเฉินนึกชมเชยกัวเหรินขึ้นมาในใจ ความสามารถในด้านการประดิษฐ์คิดค้นของพี่น้องของเขาคนนี้นั้น ถือได้ว่าพึ่งพาได้เป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว

 

หลงเฉินเสาะหาก้อนสะอาดศิลาขนาดใหญ่ได้ก้อนหนึ่ง จากนั้นก็นำเชือกของว่าวผูกเอาไว้ที่เอว ก่อนจะล้วงเอาโถใบหนึ่งออกมา ภายในโถนั้นบรรจุน้ำผึ้งที่มาจากราชีนีผึ้งหยก

 

หลงเฉินล้มตัวลงนอนแผ่บนก้อนศิลา จิบน้ำผึ้งที่อยู่ในโถ กลิ่นหอมหวนของน้ำผึ้งตลบอบอวลอยู่ภายในปาก ในเวลาเดียวกันช่วงเอวก็ได้เกิดความรู้สึกชาด้านขึ้นมาเป็นระยะ ซึ่งนั่นทำให้หลงเฉินก็รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง

 

“วิถีแห่งยุทธ์เช่นนี้ แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากเทพเซียนเลยจริงๆ”

 

หลงเฉินรำพึงรำพันขึ้น พลังแห่งอัสนีบาตบนท้องฟ้า ไหลเข้ามาตามเชือกว่าวไม่หยุด ไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา

 

พลังแห่งอัสนีบาตภายในหยาดโลหิตของเขา กำลังเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว และอักขระแห่งอัสนีบาตที่ถูกใช้พลังไปจนหมดไปเมื่อครั้งก่อน ก็คล้ายกับว่าได้ขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว ทั้งนี้เนื่องจากอักขระเหล่านั้นได้ดูดกลืนอัสนีบาตแห่งฟ้าดินเข้าไปปริมาณมากมหาศาล ตัวของมันเองจึงเติบโตขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว

 

วิธีการฝึกยุทธ์ที่เกียจคร้านได้ถึงเพียงนี้ ทั่วทั้งบนโลกใบนี้ คงจะมีเพียงแต่คนอย่างหลงเฉินเท่านั้นจึงสามารถที่จะคิดขึ้นมาได้

 

หลงเฉินในขณะนี้นั้น นอกเสียจากพลังแห่งอัสนีบาตแล้ว โดยส่วนมากก็ไม่มีพลังด้านไหนที่พัฒนาเพิ่มขึ้นอีก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก สิ่งที่พอจะทำได้ และควรจะทำมากที่สุดในตอนนี้ก็มีเพียง เตรียมการรอเวลาที่ขอบเขตแดนลับนพเก้าเปิดขึ้นมา เท่านั้น

 

ถึงแม้ตำแหน่งศิษย์ระดับชั้นเลิศจะยื่นขอมาไม่ได้ แต่ว่าสถานภาพของศิษย์สายตรง นั้นย่อมไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงแล้ว เพราะอย่างไรเสียก็ย่อมเหมาะสมอยู่แล้ว

 

ที่หมู่ตึกนั้น ต้องเห็นคนอื่นๆฝึกปรือกันอย่างหนักทุกวัน และแต่ละคนก็สามารถพัฒนาก้าวหน้ากันได้ไม่หยุด ทำให้หลงเฉินรู้สึกหดหู่ใจอยู่ไม่น้อย ดังนั้นแล้ว มิสู้ดูดกลืนสายฟ้าอยู่ที่นี่ ไม่กลับไปเห็น ยังจะดีเสียกว่า

 

เวลาผ่านเลยไปเช่นนี้ถึงหนึ่งเดือนเต็ม หยาดโลหิตในร่างกายหลงเฉินเกิดเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง อักขระแห่งอัสนีบาตแบ่งตัวสะสมในกระแสโลหิตเพิ่มขึ้นมานับไม่ถ้วน และมีพลังมหาศสาลที่ถือได้ว่าเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเลยทีเดียว

 

ในหนึ่งเดือนมานี้ หลงเฉินได้รับการชำระจากพลังอัสนีแห่งฟ้าดินอยู่ทุกเช้าค่ำ อักขระแห่งอัสนีบาตใจกลางหยาดโลหิต ก็ได้เสริมสร้างก่อเกิดเป็นพลังแห่งอัสนีบาตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ในระหว่างที่อักขระแห่งอัสนีบาตนับไม่ถ้วนเหล่านั้นเติบโตขึ้นมา หลงเฉินก็รู้สึกได้ว่าพลังแห่งอัสนีบาตภายในร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งจนน่ากลัวมากขึ้นด้วย

 

ครั้งก่อนที่หลงเฉินต่อสู้กันหยินหลอ เขาปลดปล่อยพลังแห่งอัสนีบาตทั้งหมดออกไปภายในกระบวนท่าเดียว ทว่าเขาไม่สามารถควบคุมการปล่อยพลังนั้นได้อย่างสมบูรณ์ สุดท้ายจึงสูญสลายไปอย่างรวดเร็ว

 

แต่ถึงอย่างนั้น พลังทำลายที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ก็ยังน่าหวาดกลัวยิ่งนัก แต่ถ้าหากในตอนนั้นมิใช่ช่วงเวลาคับขัน และหยินหลอสามารถใช้สมบัติของเขาได้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าหยินหลอจะสามารถสังหารเขาให้ตายได้

 

ขณะนี้อักขระแห่งอัสนีบาตเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ หลงเฉินที่สามารถใช้พลังแห่งอัสนีบาตได้ ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นตามไปด้วย

อักขระแห่งอัสนีบาตเหล่านั้น ก็คล้ายกับเป็นสัตว์เลี้ยงของหลงเฉิน ขอเพียงหลงเฉินต้องการ พวกมันก็สามารถคายพลังอันมหาศาลมาออกมาได้

 

และในระหว่างที่พลังอักขระเหล่านั้นเติบโตแข็งแกร่งขึ้น พลังแห่งอัสนีบาตที่หลงเฉินควบคุมเอาไว้ได้ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น การควบคุมการปลดปล่อยพลังก็จะมั่นคงขึ้น นับจากนี้คงจะไม่มีปรากฏการณ์ ที่เมื่อออกกระบวนท่าไปแล้วกลายเป็นสะเปะสะปะได้อีกแล้ว

 

“ตูม”

 

บนท้องฟ้าเกิดเสียงดังสนั่นขึ้น ในที่สุดหมอกอัสนีกลุ่มสายท้ายก็ถูกดูดกลืนไปแล้ว ทั่วทั้งผืนฟ้าที่แต่เดิมเป็นสีดำทมิฬก็ได้กลายเป็นเมฆสีขาว แทบจะไม่แตกต่างอะไรกับท้องฟ้าปกติ

 

“เยี่ยม เพียงแค่หนึ่งเดือนก็ดูดกลืนพลังอัสนีบาตได้จนหมดแล้ว”

 

หลงเฉินมองไปยังกลุ่มเมฆบนฟ้าคราม ก็อดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้

 

เขาที่แทบจะไม่ต่างอะไรจากชาวประมงที่มาจับปลา เพียงแต่ที่เขาจับกลับเป็นพลังแห่งอัสนีบาตเหล่านั้น ทั้งยังได้ทำให้หมอกอัสนีที่มีอยู่แต่เดิมเหล่านั้น หายไปจนหมด ไม่อาจกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีกแล้ว

 

ครั้งที่แล้วเขาดูดกลืนหมอกอัสนีบนผืนฟ้าจนมอดไปกว่าครึ่ง ในครั้งนี้เขาใช้เวลาตั้งแต่เช้าถึงค่ำขโมยเอาสายอัสนี และทำเช่นนี้เป็นเวลานับเดือน ในที่สุดพลังแห่งอัสนีบาตที่อยู่ภายในหมอกอัสนี ก็หายไปจนหมดสิ้น

 

หลงเฉินคาดว่าหากคิดที่จะทำให้เมฆหมอกอัสนี เพิ่มจำนวนขึ้นจนมีปริมาณเท่าเดิม อย่างน้อยก็คงจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน หรือไม่ก็เป็นปี ซึ่งตัวเขาไม่สามารถทนรอให้นานขนาดนั้นได้อยู่แล้ว

 

หลงเฉินลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เกาะอยู่ตามตัวออก แล้วผสานมือเข้าหากันพร้อมหันหน้าไปยังด้านที่เคยมีหมอกอัสนีอยู่ เขามองไปบนท้องฟ้า แล้วกล่าวขึ้นมาว่า ขอบคุณมากนะ !

 

หลังจากหลงเฉินกลับถึงหมู่ตึก เขาก็มุ่งหน้าไปที่หอพลิกสวรรค์ในทันที เพื่อที่จะเลือกสรรค์ทักษะยุทธ์สำหรับป้องกันตัวซักสองสามอย่างมาฝึกฝน

 

ตามปกติหลงเฉินมักจะเลือกฝึก กายาศึกกักวายุและเบิกสวรรค์ แม้จะค่อนข้างสิ้นเปลืองพลังไปบ้างก็ตามที โดยเฉพาะเบิกสวรรค์ ไม่ว่าตัวเขาจะมีพลังมากน้อยแค่ไหน ก็ยังสามารถทำให้พลังมหาศาลของเขาเหือดแห้งได้ภายในพริบตาเลยทีเดียว

 

เมื่อครั้งที่ต่อสู้กับหยินหลอ ฉู่เหยาแบ่งพลังปราณพฤษามาให้ ทำให้เขามีพลังมากมายมหาศาลเหนือกว่ายามปกตินับสิบเท่า

 

แต่ทว่าพลังที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น ก็ยังถูกเบิกสวรรค์สลายหายไปได้ในพริบตา ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าการใช้กระบวนท่าเบิกสวรรค์นั้น จะต้องสิ้นเปลืองพลังไปอย่างน่าหวาดกลัวเพียงใด

 

แต่ถึงอย่างนั้น พลังเบิกสวรรค์ก็ยังไม่เคยทำให้เขาผิดหวังมาก่อน เพราะในตอนที่สู้กับหยินหลอนั้น ถึงแม้จะมีพลังลูกศรของม่อเนี่ยนช่วยต้านทานพลังที่หยินหลอซัดออกมาไว้บ้าง แต่ก็ยังคงมีพลังทำลายอีกมากถึงเจ็ดส่วนพุ่งเข้าใส่หลงเฉิน ในตอนนั้นหลงเฉินที่หยิบยืมพลังเบิกสวรรค์ ก็สามารถทำลายพลังนั้นไปได้ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ตอนที่ยังไม่สามารถเบิกดาราแปรแสงได้ เบิกสวรรค์ก็คือไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแล้ว

 

อีกทั้งเบิกสวรรค์นั้น ยังเสมือนเป็นห้วงมิติที่ไร้ที่สิ้นสุดก็ว่าได้ ซึ่งหลงเฉินเองก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าแท้จริงแล้วทักษะยุทธ์ชุดนี้จัดอยู่ในระดับใดกันแน่

 

ทักษะยุทธ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้กลับสามารถใช้ยาโอสถขยะเพียงเม็ดเดียวแลกเปลี่ยนมาได้ นี่ถือได้ว่าทำให้หลงเฉินได้กำไรมากมายมหาศาลมาเลยทีเดียว จึงทำให้มีอยู่หลายครั้งหลายคราที่แม้แต่เขาก็ยังอดนึกชมเชยสมองในการทำการค้าของตนเองไม่ได้

 

ทว่าไม่ว่าจะเป็นกายาศึกกักวายุ หรือว่าจะเป็นเบิกสวรรค์ กระบวนท่าทั้งสองนั้นต่างก็เป็นกระบวนท่าที่ใช้สำหรับการเอาตัวรอด จึงไม่เหมาะสมที่จะมีไว้เพื่อใช้ต่อสู้ในระยะยาว ที่เขาต้องการก็คือวิชาทักษะยุทธ์ที่จะลดทอนพลังได้น้อยลง แต่สามารถแสดงผลให้เป็นที่ประจักษ์ได้เร็วขึ้น เช่นนี้ เมื่อเขาเบิกวงแหวนแห่งเทพขึ้นมา ก็จะสามารถพึ่งพาตนเองได้แล้ว ทั้งยังไม่สูญเสียพลังมากจนเกินควร ทำให้สามารถต่อสู้เป็นเวลานานได้

 

ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นครั้งที่สองที่หลงเฉินมายังหอพลิกสวรรค์ ในครั้งแรกเขามาพร้อมกับถังหว่านเอ๋อ เพื่อที่จะขอเบิกวัตถุดิบส่วนหนึ่ง ครั้งนั้นหลงเฉินใช้ทองก้อนหนึ่งซื้อทักษะลับอย่างช่องว่างแห่งการเบิกจิตวิญญาณ เขาในตอนนั้นเรียกได้ว่าถูกหลอกลวงจนแทบกระอักเลือดเลยทีเดียว

 

ภายหลังหลงเฉินก็มิได้มายังสถานที่แห่งนี้อีก เหตุผลข้อหนึ่งนั้นเป็นเพราะไม่มีเวลา อีกข้อหนึ่งก็คือเขาไม่อยากจะเข้ามา เพราะหากเขามาแล้วทำได้แต่มองสิ่งที่อยากได้ แต่ไร้ซึ่งเงินทองในการจับจ่ายซื้อหา นั่นนับว่าเป็นเรื่องที่ทรมานอย่างหนึ่งเลยทีเดียว

 

ต่อให้เป็นยามที่หลอมโอสถ และจำเป็นที่จะต้องใช้วัตถุดิบอะไร ก็จะให้ถังหว่านเอ๋อเป็นผู้ที่มาจับจ่ายหาซื้อให้แทน นี่ถือว่าดีกว่า เพราะถึงแม้ไม่ได้เลือกดูเลือกชมด้วยตนเอง อย่างน้อยก็ไม่ทำให้จิตใจวุ่นวายขึ้นมา

 

ภายในห้องโถงใหญ่ของหอพลิกสวรรค์ทักษะยุทธ์ มียอดฝีมือระดับชั้นศิษย์พี่มากกว่าสามสิบคน กำลังเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ ทันทีเห็นหลงเฉินเดินเข้ามา ก็รีบเดินขึ้นมาทางด้านหน้าแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยมารยาท

 

“ศิษย์พี่หลงเฉิน”

 

หลงเฉินตะลึงลาน “ศิษย์พี่ทั้งหลาย พวกท่านคงจะเข้าใจผิดแล้ว เป็นข้าต้องเรียกพวกท่านว่าศิษย์พี่นะ”

 

“ศิษย์พี่หลงเฉิน ท่านน่าจะยังมีบางส่วนที่ไม่ทราบ ศิษย์ของหมู่ตึกนอกเสียจากผู้อาวุโสแล้ว ต่างก็มีความสัมพันธ์เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน

 

ศิษย์พี่ถือเป็นคำเรียกขานชนิดหนึ่ง ขอเพียงเป็นคนที่มีความสามารถที่แข็งแกร่งกว่าตนเอง ก็สามารถเรียกคนผู้นั้นว่าศิษย์พี่ได้

 

เหอะเหอะ ศิษย์พี่หลงบนสนามรบครั้งที่แล้ว ท่านช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก การต่อสู้ที่ผ่านนี้ นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ทำให้เลือดในกายของพวกข้าเดือดพร่านขึ้นมาเช่นนี้”

 

เหล่าผู้คุมกฎเหล่านั้น ในเวลานี้ต่างก็ทอแววตาเป็นประกาย หวนนึกถึงช่วงเวลาครั้งที่ได้ร่วมรบในศึกครั้งใหญ่ระหว่างธรรมะและอธรรมกันขึ้นมาแล้ว

 

“ศิษย์พี่หลงเฉิน ผู้อาวุโสถู่ฟางเคยออกคำสั่งมาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างภายในหอพลิกสวรรค์ ให้ท่านหยิบเอาไปได้ ท่านต้องการสิ่งใด ก็เชิญเลือกไปได้เลย” ผู้คุมกฎผู้นั้น มีสายตาที่เฉียบคมอย่างยิ่ง เขาทราบว่าหลงเฉินนั้นมีธุระมัดตัวอยู่มากมาย จึงได้เร่งเอ่ยถึงประเด็นหลัก

 

“เหอเหอ เช่นนั้นก็ต้องของคุณมากแล้ว ข้าขอดูก่อนก็แล้วกัน”

 

เมื่อครั้งได้สนทนากับหลิงหวินจื่อที่หน้าถ้ำที่พักของเขานั้น หลิงหวินจื่อเองก็ได้รับปากเอาไว้ว่า ทรัพยากรของหมู่ตึก หลงเฉินสามารถหยิบมาใช้ได้เลยตามที่ต้องการ

 

เดิมทีหลงเฉินคิดที่จะรวบรวมวัตถุดิบส่วนหนึ่งจากหอพลิกสวรรค์ ภายหลังก็คิดได้ว่าตนเองช่างโง่งมเสียจริง เมื่อผู้อาวุโสซุนมีทรัพยากรที่ดีถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่ใช้เขาดูเล่า

 

ดังนั้นเกี่ยวกับเรื่องของวัตถุดิบที่เขาต้องการ จึงถูกจัดการสะสางไปได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ความแค้นที่มีอยู่แต่เดิม หลงเฉินก็ยังคิดว่า ถือว่าได้ชำระกันแล้ว และทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ผลประโยชน์ และตอนนี้ผู้อาวุโสซุนก็ได้ตายไปแล้ว ต่อให้เขาจะเห็นด้วยหรือไม่ นั้นก็เป็นเรื่องที่หลงเฉินไม่จำเป็นจะต้องคิดแล้ว

 

เมื่อได้เดินดูโดยรอบหอพลิกสวรรค์นานกว่าครึ่งค่อนวัน หลงเฉินก็เจอสิ่งที่มีความเหมาะสมกับตนเองอยู่สองอย่าง——‘วิชาดาบวายุคลั่ง’ และ ‘เคล็ดผันอัสนี’

 

ในส่วนแรกนั้นคือทักษะยุทธ์ ในส่วนหลังนั้นเป็นวิชาทักษะ แต่ต่างก็ถือได้ว่าเป็นทักษะยุทธ์ขั้นสูงหนึ่งในใต้หล้า ถ้าหากต้องใช้แต้มคะแนนเพื่อแลกมาแล้วละก็ มูลค่าคงจะมากถึงสองร้อยกว่าหมื่นแต้มคะแนนเลยทีเดียว

 

หลงเฉินที่รักดาบ ทว่ายังไม่เคยได้ฝึกวิชาดาบอย่างจริงจังมาก่อน ดังนั้นเมื่อยามเขาใช้ดาบต่อสู้ ก็แทบไม่ต่างจากการฟาดฟันจากท่อนฟืนเท่านั้น ไม่ต้องกล่าวถึงความพิสดารอะไร เพราะหาได้มีความพิสดารอะไรไม่

 

ดังนั้นวิชาดาบคลั่งวายุชุดนี้ น่าจะมีส่วนช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้ได้มากขึ้น และทำให้เขาเข้าใจวิชาดาบได้กว้างไกลมากยิ่งขึ้นด้วย

 

และเคล็ดผันอัสนีนั้น ทั่วทั้งหมู่ตึก เคล็ดวิชานี้ถือเป็นวิชาทักษะสายอัสนีเพียงวิชาเดียวเท่านั้น นั่นเพราะทั่วทั้งใต้หล้า ผู้ที่มีพลังแห่งอัสนีบาต มีอยู่น้อยแทบนับจำนวนได้ และคนผู้นั้นยังถือว่าน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่งด้วย

 

เมื่อมองดูเคล็ดผันอัสนีนี้ หลงเฉินก็เกิดความตื่นเต้นขึ้นมา ที่ผ่านมานั้น หลงเฉินยังไม่สามารถควบคุมพลังแห่งอัสนีบาตของเขาได้อย่างมั่นคง ทำให้ไม่อาจแสดงพลังแห่งอัสนีบาตที่แท้จริงออกมาได้เลย

 

เมื่อเปิดอ่านบทเริ่มต้นของเคล็ดผันอัสนีอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าในเคล็ดวิชา มีการอธิบายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพลังแห่งอัสนีบาตมากมาย ทั้งยังละเอียดเป็นอย่างยิ่ง ช่วยเติมเต็มความรู้ความเข้าใจที่ขาดหายไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ของหลงเฉินให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้

 

อ่านไปซักพัก หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนใจออกมา พลางคิดว่า : หมู่ตึกก็ยังคงเป็นหมู่ตึก แม้แต่ความลับที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ก็ยังสามารถมีได้ เมื่อได้ม้วนคัมภีร์ทั้งสองเล่มมาแล้ว หลงเฉินก็เดินออกมาจากหอพลิกสวรรค์ด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น

 

แต่หลังจากออกมาแล้วนั้น หลงเฉินก็ไม่ได้กลับไปอ่านทำความเข้าใจทักษะยุทธ์ของหมู่ตึกทั้งสองชุดที่พรรคฟ้าดิน แต่กลับเดินทางออกไปจากสำนักอีกครั้ง และครั้งนี้ไปนานกว่าครั้งที่แล้วมาก ผ่านไปนานกว่าสองเดือนจึงกลับมาที่หมู่ตึกอีกครั้ง

 

เมื่อหลงเฉินกลับมาถึงหมู่ตึก บนร่างเขาก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง สองเดือนที่ผ่านมานี้ เขาไม่ทราบว่าได้ทำการสังหารสัตว์มายาไปแล้วมากน้อยเท่าไหร่ แต่อย่างไรเสียก็ดีกว่าอยู่ว่าง ไม่มีอะไรทำไปวันๆอยู่ดี

 

ทว่าเมื่อหลงเฉินกลับไปถึงพรรคฟ้าดิน ก็พบว่าบรรยากาศนั้นเงียบสงัดไปทั้งหุบเขา อดจะประหลาดใจไม่ได้ คนอื่นหายไปไหนกันหมดแล้ว ?

 

“ศิษย์พี่หลงเฉิน ท่านกลับมาแล้ว รีบตามข้ามาเถอะ ทางหมู่ตึกเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาแล้ว”

.

.

ช่องทางการจัดจำหน่าย : https://novelrealm.com/detail.php?novel=22 <<< (ถึงตอนที่ 820 แล้วครับ)

ฝากแฟนๆกดติดตามหรือกดLikeเพจเคล็ดกายานวดาราด้วยครับ >>> 9 ดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset