เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 319 เสน่ห์กระชากวิญญาณ

 

ท่ามกลางความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด ก็ได้มีเสียงดังขึ้นมา

 

“ไม่มีเวลาแล้ว”

 

เสียงที่ดังขึ้นนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยสภาวะอับจนปัญญา

 

หลงเฉินสามารถที่จะได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน เขาอยากจะลืมตาขึ้นมาเพื่อที่จะดูต้นตอของเสียง

 

กระนั้นหนังตาของเขากลับรู้สึกหนักอึ้งนับพันชั่ง ภายใต้ความพยายามเขาก็ลืมตาขึ้นมาได้ในที่สุด

 

“เจ้าเป็นผู้ใดกัน ? ”

 

เสียงนั้นกลับหาได้ตอบเขาไม่ เพียงแต่บ่นพึมพำกับตัวเองขึ้นมา “วันแห่งการสิ้นโลกก็คือยามที่สิ่งมีชีวิตทั่วทั้งสิบโลกาต้องดับสูญ เจ้ายังไม่รีบตัดสินใจอีกอย่างงั้นหรือ ? ”

 

หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด “เจ้าเป็นผู้ใดกัน ที่กล่าวออกมาคืออันใด ข้าไม่เข้าใจ”

 

เสียงนั้นก็ได้แต่เพียงถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว “ข้าเองก็มิอาจที่จะได้ยินในสิ่งที่เจ้ากำลังกล่าวอยู่เช่นกัน พวกเราหาได้อยู่ในมิติเดียวกันไม่ จงรีบเติบใหญ่ขึ้นมาเถอะ พวกเราต้องการเจ้า

 

ผู้สืบทอดเก้ากายานวดาราอันยิ่งใหญ่ รีบตื่นขึ้นมาเถอะมิเช่นนั้นก็จะไม่ทันกาลแล้ว”

 

หลงเฉินรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้รับแรงกดดันอันมหาศาลเอาไว้ จึงกล่าวขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด “ที่แท้เจ้ากำลังกล่าวถึงอะไรกันแน่ ? ”

 

หลงเฉินเมื่อตะโกนจนสิ้นประโยค ความมืดมิดไร้อนันต์ก็ได้สลายหายไปแล้ว ทั้งยังได้ลืมตาขึ้นมา ที่เบื้องหน้าสายตากลับปรากฏสตรีนางหนึ่งขึ้น

 

หญิงสาวผู้นั้นมีรูปร่างที่สูงเพรียว ทั้งยังอ่อนช้อย ถึงแม้ว่าจะมีผ้าคลุมปกปิดใบหน้าอยู่ แต่ยังคงเห็นแววตาที่สว่างไสวทั้งคู่ได้ แววตาที่สามารถจะดูดวิญญาณได้เลย

 

เมื่อไม่อาจที่จะมองเห็นใบหน้าทั้งหมดของนางได้อย่างชัดเจน แต่ว่าเพียงแค่ประกายแววตาจากทั้งสองข้าง ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนแทบลืมหายใจกันแล้ว

 

ไม่เพียงแค่ดวงตาทั้งคู่เท่านั้น ทั้งยังมีความงามที่ผู้คนไม่อาจที่จะต้านทานได้อยู่ นับตั้งแต่กำเนิดเกิดมาหลงเฉินยอมรับเลยว่านางเป็นคนที่งดงามที่สุดเท่าที่เคยได้พบพานมา

 

หลังจากที่ได้บังเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้น ตัวหลงเฉินเองก็เกิดอาการตกใจ ความงามของสตรีผู้นั้น กลับเปิดเผยความประหลาดออกมาชนิดหนึ่ง ที่ทำให้ผู้คนไม่อาจต้านทานได้

 

แต่ว่าหลงเฉินเองก็สามารถที่จะแน่ใจได้ว่า สตรีผู้นั้นหาได้ใช้วิชามายาแต่อย่างไร ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นสิ่งที่เขาสามารถเห็นได้ด้วยตาตัวเอง

 

“เจ้าได้สติแล้ว”

 

เสียงที่ดังออกมานั้นคล้ายดั่งนกกระจิบท้องเหลือง ไพเราะเสนาะหูทั้งยังให้ความรู้สึกที่หวานฉ่ำอีก ทำให้ผู้คนรู้สึกได้คลายความเหนื่อยล้า จนหลงเฉินไม่อาจที่จะควบคุมจิตใจที่เต้นระรัวเอาไว้ได้

 

บนร่างสตรีผู้นั้น ราวกับมีมนต์สะกดที่เฉพาะตัวอยู่ชนิดหนึ่งที่มีผลต่อมนุษย์ ไม่สิ สมควรที่จะกล่าวว่าต่อบุรุษเพศต่างหาก เป็นดั่งเสน่ห์ที่ไม่อาจจะต้านทานได้เลย

 

เพียงแค่การขยับปากเบาๆ หลงเฉินก็รู้สึกเลือดลมทั่วร่างสูบฉีดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้แต่ลมหายใจก็ยังแปรเปลี่ยนจนกลายเป็นหนักหน่วงขึ้นมา

 

“เป็นอะไรไป ? เพิ่งจะรอดชีวิตมาได้ กลับยังคิดถึงเรื่องใต้ผ้าห่มอีกอย่างงั้นหรือ ? ” สตรีผู้นั้นราวกับมองทะลุจิตใจของหลงเฉินได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาของนาง หลงเฉินกลับรู้สึกว่าทุกสิ่งที่ตนเองครุ่นคิด ต่างก็ต้องถูกเปิดเผยอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

 

หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะตกใจ สตรีผู้นี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว หลงเฉินได้แต่บอกกับตัวเองว่าสตรีผู้นี้น่าสงสัยยิ่งนัก

 

“เป็นเจ้าที่ช่วยข้าไว้อย่างงั้นหรือ ? ” หลงเฉินพยายามจะข่มความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นมาเอาไว้ เพราะหากไม่ข่มความรู้สึกเอาไว้ เขาคงจะต้องเกิดความรู้สึกด้านลบขึ้นมาอย่างแน่นอน

 

“เจ้าคิดว่าไงละ ? ” สตรีนั้นหรี่ตาลงจนคล้ายเดือนเสี้ยว พร้อมทั้งปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา

 

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อได้เห็นแววตาของสตรีผู้นั้น ภายในจิตใจของหลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะต้องเต้นระรัวอยู่หลายครา

 

ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว บนโลกใบนี้เหตุใดถึงได้มีสตรีที่น่าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้กัน แค่การขยับเพียงเล็กน้อย ก็สามารถที่จะดึงดูดจิตวิญญาณผู้คนไปได้แล้วอย่างงั้นหรือ ?

 

ภายใต้ความคิดของหลงเฉิน สตรีที่สามารถมีเสน่ห์ได้เช่นนี้ มีแต่เพียงแค่ม่งฉีเพียงผู้เดียว

 

ม่งฉีเป็นความงดงามที่ประดุจนางฟ้านางสวรรค์ ไม่ว่าจะขยับหรือเคลื่อนไหว ก็ไม่ต่างอะไรไปจากรู้สึกว่าอยู่ในแดนสรวงสวรรค์ จนทำให้อดที่จะรู้สึกชื่นชมไม่ได้

 

ถึงแม้จะไม่อาจมองเห็นรูปโฉมของหญิงสาวเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ได้ชัดเจน แต่ว่านางกลับมีความงดงามที่คล้ายดั่งมารร้ายก็มิปาน

 

แม้จะทราบดีว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังเกิดความคิดที่จะเด็ดดมความงดงามนี้ของนาง ราวกับว่าต่อให้ต้องทิ้งชีวิตไปเช่นนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

 

เรียกได้ว่าเป็นความงดงามที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง สตรีผู้นี้คล้ายกับกุหลาบพิษดอกหนึ่ง ที่เมื่อแตะต้องก็จำต้องสิ้นชีวาวาย แต่ก็ยังทำให้ผู้คนไม่อาจที่จะข่มใจไว้ได้

 

หลงเฉินพยายามที่จะสงบให้ถึงที่สุด จนกระทั่งสามารถทำให้ตนเองสงบลงได้ จากนั้นก็ได้ลอบไหลเวียนเคล็ดวิชากายานวดาราขึ้นมา จึงทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น

 

“ถ้าหากเป็นแม่นางช่วยชีวิตไว้ น้ำใจครั้งนี้ หลงเฉินจะขอจดจำเอาไว้” หลงเฉินก็ได้ยกมือขึ้นมาผสานกันเล็กน้อย

 

สตรีผู้นั้นก็คิดไม่ถึง ว่าหลงเฉินจะสามารถสงบลงได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ ภายในดวงตาคู่งามก็ได้ปรากฏความสงสัยขึ้นมา ทว่าไม่นานนักก็ได้ถูกนางเก็บซ่อนเอาไว้

 

“เจ้ามีนามว่าหลงเฉินงั้นหรือ ? เป็นนามที่ไม่เลวเลยทีเดียวทั้งยังหล่อไม่เบา ไม่เช่นนั้นแม่นางอย่างข้าก็คงจะไม่ลงมือแล้ว” สตรีผู้นั้นกล่าว

 

หลงเฉินทอสีหน้าดำคล้ำขึ้น รู้สึกเหมือนกับว่าครั้งนี้ตนเองรอดชีวิตมาได้เพราะหน้าตาเลยจริงๆ ทว่าไม่ว่าจะกล่าวเช่นไร การที่มีชีวิตรอดมาได้ก็ย่อมถือเป็นเรื่องที่ดี

 

“เจ้าบอกว่าติดค้างน้ำใจของงั้นหรือ ? ”

 

“มิผิด”หลงเฉินกล่าวขึ้นด้วยความหนักแน่น

 

“ขนาดไหนกันละ ? ”สตรีนั้นคล้ายกับกำลังหยอกเย้า แล้วก็ได้มองไปที่หลงเฉินแล้วเอ่ยถามขึ้นมา

 

หลงเฉินที่มีประสบการณ์จากก่อนหน้านี้ไปแล้ว การที่ถูกสตรีผู้นั้นจ้องมอง จึงหาได้สบตามองไปที่สตรีนั้นอีก

 

ทว่าหากมองไปทางอื่น ก็คงจะเสียมารยาทไป จึงได้ทิ้งสายตาลงมาเล็กน้อย จนท้ายที่สุดเขาก็พบว่ามีความใหญ่โตถึงเพียงไหน

 

ใหญ่ ช่างใหญ่จริงๆ ! ช่างใหญ่โตเกินไปแล้ว ! ทำให้ผู้คนตาลายได้เลย ทั้งยังทำให้หลงเฉินรู้สึกลำบากใจขึ้นมา

 

สตรีผู้นั้นเมื่อพบเห็นหลงเฉินไม่กล่าววาจา ทั้งยังเอาแต่มองไปยังหน้าอกของตนเองจนแทบจะไม่กระพริบตา ภายในแววตาทั้งคู่ก็ได้ปรากฏความแง่งอนขึ้น

“ดูพอแล้วหรือยัง ? ”

 

หลงเฉินสะดุ้งขึ้น เมื่อมีสติกลับคืนมา ใบหน้าก็แดงจนชาด้านแล้ว จนแทบอยากที่จะมุดแผ่นดินหนีกันเลยทีเดียว

 

เติบใหญ่มาจนปานนี้ หลงเฉินเองก็เคยได้รับความอับอายอยู่ไม่น้อย แต่การที่ต้องมาตกอยู่ในสภาพที่ลำบากใจเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้พบ

 

เดิมทีเมื่อได้พบเห็นหลงเฉินเอาแต่จ้องมองไปที่หน้าอกของตนอย่างไม่ละสายตา แววตาทั้งคู่ก็ได้ปรากฏรังสีสังหารขึ้นมา ทว่าเมื่อเห็นหลงเฉินใบหูแดงระเรื่อ ราวกับคล้ายจะมีเลือดไหลออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะต้องขบขันขึ้นมา

 

เช่นนี้ก็บอกได้ว่า หลงเฉินหาใช่บุคคลที่คนมากราคะไม่ ทำให้โทสะภายในจิตใจของนางลดทอนลงไปได้อยู่ไม่น้อย

 

เมื่อพบเห็นหลงเฉินก้มหน้าก้มตา ไม่กล่าววาจาซักคำ นางจึงกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ที่ข้าช่วยชีวิตเจ้า ความจริงแล้วข้ารู้สึกว่าเจ้าจะต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง

 

แต่กระนั้นเจ้าก็อย่าได้ตื้นตันมาเกินไป คำสัญญาของเจ้าเมื่อครู่นี้ข้าก็จะจดจำไว้ ถือว่าเจ้าติดค้างน้ำใจข้าครั้งหนึ่งก็แล้วกัน”

 

ในยามนี้หลงเฉินรู้สึกไม่ค่อยจะถูกต้องนัก จึงรีบกล่าวออกมาว่า “ข้าติดค้างน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว เจ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือ ข้าจะทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือเจ้าอย่างแน่นอน ทว่าขอบอกเอาไว้ก่อน ว่าไม่อาจจะเป็นเรื่องที่ทำร้ายสหายข้านะ”

 

“หึหึ วางใจเถอะ ข้าหาใช่คนเลวร้ายไม่ จึงไม่ได้สนใจที่จะไปทำร้ายสหายของเจ้า ! ” สตรีนั้นหัวเราะหึหึแล้วกล่าว

 

ขนคิ้วที่คล้ายจันทร์เสี้ยว แววตาที่หยาดเยิ้ม แม้แต่หลงเฉินเองก็อดไม่ได้ที่จะจิตใจสั่นระรัวขึ้นมาอีก นี่คิดที่จะเอาชีวิตกันเลยหรือไง

 

สตรีผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นปีศาจอะไร หากเผยรูปโฉมทั้งหมดออกมา มิใช่แม้แต่วิญญาณก็ยังต้องถูกชิงไปด้วยหรอกหรือ

 

“จะว่าไปที่ข้าช่วยเจ้าก็คิดแค่ว่า หากคนอย่างเจ้าต้องมาตายด้วยเงื้อมมือของคนเช่นนั้น มันก็ช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย” สตรีผู้นั้นก็ได้กล่าวต่อ

 

“เจ้าฆ่าเจ้าหนูนั่นไปแล้วงั้นหรือ ? ” หลงเฉินกล่าวถามออกมา

 

“คนเช่นนั้นหากข้าสังหารไป ก็เกรงว่าจะมีแต่ทำให้มือของข้าต้องมาแปดเปื้อน” สตรีผู้นั้นส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว

 

หลงเฉินพยักหน้าไปมา เช่นนี้ก็ดีตัวบัดซบผู้นี้ ฉวยโอกาสยามที่ตนเองอ่อนแอหมายที่จะจัดการอย่างรวบรัดจนทำให้หลงเฉินมีโทสะจุกอยู่ในอกเลยทีเดียว

 

ถ้าหากเพียงแค่ลงมือก็ยังแล้วกันไป แต่ที่ทำให้หลงเฉินเดือดดาลก็คือวิธีการวางท่า แค่ลองนึกดูก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา ราวกับว่าเขานั้นได้ทำให้หลงเฉินพ่ายแพ้จนหมดรูปแล้ว

 

หากว่าถูกหญิงสาวผู้นี้ฆ่าไป หลงเฉินคงต้องรู้สึกเสียใจขึ้นมา บุคคลเช่นนี้มีแต่ต้องทำให้ตายทั้งเป็นสถานเดียว ไม่อาจจะปล่อยให้ตายอย่างสบายได้อย่างแน่นอน

 

“เอาเถอะเจ้าในเมื่อตื่นแล้วข้าก็สมควรที่จะไป แต่เจ้าจงจำไว้ละ ว่าเจ้าติดค้างน้ำใจเจี่ยเจียอยู่นะ

 

หากว่าวันหนึ่งเจี่ยเจียต้องการเจ้า เจ้าย่อมไม่อาจที่จะกลับคำได้นะ ไม่เช่นนั้นแล้วเจี่ยเจียจะรู้สึกเจ็บปวดใจด้วย” สตรีผู้นั้นก็ได้ยิ้มแล้วกล่าว

 

“วางใจเถอะ ชั่วชีวิตของข้าหลงเฉินไม่เคยกล่าววาจาเพียงแค่ลมปากมาก่อน” หลงเฉินได้กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

เกี่ยวกับผู้มีบุญคุณช่วยชีวิต ไม่ว่านางจะมีเป้าหมายในการช่วยตนเองคืออะไร เขาก็ถือได้ว่าติดค้างหนี้ชีวิตของนางครั้งหนึ่งแล้ว

 

ขอเพียงมิใช่เป็นเรื่องที่ทำร้ายคนข้างกายของตนเอง หลงเฉินก็สามารถรับปากนางได้ไม่ว่าจะต้องเสี่ยงอันตรายมากเพียงใด นี่ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ชายชาตรีพึงกระทำ

 

“หึหึ ได้ยินมาว่าบุรุษที่มีรูปโฉมหล่อเหล่า ในด้านความเชื่อถือก็ไม่แตกต่างกันนัก เจี่ยเจียเองคงต้องไปก่อนแล้วละ”

 

สตรีนั้นอมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็ได้มีดอกบัวโผล่ขึ้นมาจากเท้า เมื่อย่างก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้หายไปจากเบื้องหน้าของหลงเฉิน ในยามที่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง ก็ได้อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้แล้ว ด้วยการประเดี๋ยวหายประเดี๋ยวโผล่เพียงแค่ไม่กี่ครา ก็ได้หายไปจากเบื้องหน้าของหลงเฉินแล้ว

 

“ช่างเป็นวิชาตัวเบาที่รวดเร็วยิ่งนัก”

 

หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะตกใจขึ้นมา ท่าร่างของหญิงสาวผู้นี้มีความคล้ายคลึงกับท่าร่างที่ม่อเนี่ยนใช้ก่อนหน้านี้ ด้วยระดับความเร็ว แทบจะเรียกได้ว่าเป็นดั่งการใช้ปาฎิหาริย์เลยทีเดียว

 

“ก็ยังดี ข้าเองก็ยังมีท่าร่างภูตมืดสงัด เมื่อฝึกสำเร็จก็น่าจะไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาอยู่แล้ว”

 

ในมือหลงเฉินก็ได้มีวิชาลับอีกอย่างที่ได้หลอกลวงมาจากยอดฝีมือฝ่ายอธรรม ทว่าเนื่องจากหลงเฉินมีพลังการฝึกปรือที่ไม่เพียงพอ จึงไม่อาจที่จะใช้วิทยยุทธ์ได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ลองฝึกฝน กลับทำให้เส้นลมปราณเกิดความเจ็บปวดจนแทบจะระเบิดออกมาเลยทีเดียว

 

ตอนนี้เขายังไม่อาจที่จะใช้วิทยายุทธ์นี้ได้จึงทิ้งเอาไว้ก่อน จากนั้นก็ได้ตรวจสอบร่างกายของตนเอง อาการบาดเจ็บยังค่อยๆสมานกันอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าตนเองจะสลบไปได้ไม่นานนัก

 

เมื่อได้เปิดแผนที่ดูสภาพแวดล้อมโดยรอบอยู่ครู่หนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะต้องตกใจขึ้นมา สตรีผู้นั้นถึงกับนำพาเขาออกห่างมากว่าเจ็ดแปดหมื่นลี้เลยก็ว่าได้

 

ทว่าในที่แห่งนี้กลับหาใช่ส่วนลึกของแดนลับ ทั้งยังถือได้ว่าเป็นสุดขอบปลายอีกแห่งหนึ่ง ที่นี่แทบจะไม่มีวาสนาอะไรให้แสวงหาเลยด้วยซ้ำ เหล่าผู้คนจึงไม่มาสถานที่แห่งนี้กัน

 

“ช่างเป็นสถานที่ดีเหลือเกิน”

 

เพราะหลงเฉินสัมผัสได้ว่า พลังการฝึกปรือของตนเองกำลังเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อีกไม่นานก็จะสามารถที่จะสลายพันธนาการ เพื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นแล้ว

 

ทว่าหลงเฉินตอนนี้ต่อให้ไม่ฝึกยุทธ์ แต่จากสภาวะที่พิเศษเฉพาะของสถานที่แห่งนี้ ก็ได้ทำให้การฝึกปรือของเขาเกิดการพัฒนาขึ้นไม่หยุด

 

“ไม่ได้ ยังไงก่อนที่จะทะลวงพลัง ก็ยังจำเป็นจะต้องฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้ได้ก่อน ไม่เช่นนั้นก็คงต้องตายขึ้นมาจริงๆแล้ว”

 

หลงเฉินนึกถึงทัณฑ์สวรรค์ที่น่ากลัวในครั้งแรกขึ้นมา ถ้าหากก่อนหน้าที่จะทะลวงพลัง ร่างกายของเขายังไม่ฟื้นฟูขึ้นมา เขาก็คงจะต้องจบสิ้นแล้ว

 

เมื่อได้มองเสี่ยวเสว่ยที่อยู่ภายในช่องว่างแห่งจิตวิญญาณ ที่ในขณะนี้กำลังทำการดูดซับยาโอสถที่หลงเฉินป้อนให้มันอยู่อย่างช้าๆ

 

ครั้งนี้เสี่ยวเสว่ยเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวสักพัก จึงจะสามารถคืนสู่สภาพเดิมได้

 

จากการต่อสู้ที่ผ่านมาในครั้งนี้ หลงเฉินก็มองออกถึงข้อเสียของเสี่ยวเสว่ย ว่ามีพลังการโจมตีที่สูงแต่พลังในการป้องกันต่ำ อีกทั้งจุดแข็งของมันยังเป็นการทำลายล้างและกินอาณาบริเวณกว้าง จึงเหมาะสมในการสู้กันเป็นกลุ่ม

 

หากเป็นการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งย่อมต้องพลาดเป็นอย่างมาก หลังจากนี้ตนเองต้องวิเคราะห์การโจมตีผสานกับเสี่ยวเสว่ยดูบ้างแล้ว

 

หลงเฉินได้ใช้โอสถคืนลมปราณไปหนึ่งเม็ด เพื่อที่จะทำให้ระดับพลังของตนเองเพิ่มสูงขึ้นโดยเร็ว หลังผ่านไปได้สามวันหลงเฉินจึงค่อยได้ลืมตาขึ้น

 

เมื่อได้ลองขยับเขยื้อนร่างกาย กระดูกภายในร่าง ก็ได้เกิดเสียงเปรี้ยงปังดังขึ้นมาเป็นระลอก ในที่สุดหลงเฉินก็ได้ฟื้นคืนกลับมาอยู่ในระดับพลังสูงสุดแล้ว

 

กล่าวได้ว่าเคล็ดวิชากายานวดารานั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมีพลังการฟื้นฟูที่แข็งแกร่ง จนทำให้ผู้คนต้องรู้สึกตื่นตะลึงขึ้นมากันได้เลยทีเดียว

 

ทว่าท่ามกลางห้วงความคิดของหลงเฉิน ตลอดมานี้มีเสียงเปี่ยมไปด้วยพลังดังสะท้อนขึ้นมา พร้อมทั้งสะท้อนถึงความรู้สึกที่ร้อนรนขึ้น ไม่มีเวลาแล้ว

 

หลงเฉินเองก็ไม่เข้าใจมาโดยตลอด ว่าภายในความทรงจำของจักรพรรดิโอสถภายในห้วงความทรงจำของตนเอง ที่แท้แล้วเกิดขึ้นได้อย่างไรกันแน่

 

แต่ว่ากลับมีอยู่ข้อหนึ่งที่ทำให้เขาเข้าใจได้ นับตั้งแต่ที่ผนวกเข้ากับความทรงจำของตนเองกับจักรพรรดิโอสถ แนวทางการดำเนินชีวิตของตนเองก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆนาๆ คล้ายกับเป็นเรื่องราวที่เขาต้องค่อยๆคลี่คลายออกทีละก้าว

 

แต่ว่าปมที่มีอยู่นี้กลับกระจุกเป็นก้อนใหญ่ ทั้งยังอยู่นอกเหนือความคาดหมายของหลงเฉิน จนนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งขึ้นมา ไม่มีเวลาแล้ว ภายในจิตใจของเขาก็คล้ายกับได้รับแรงกดดันขึ้นมา คล้ายกับว่ามีภยันอันตรายที่ไม่อาจที่จะกล่าวขึ้นมาได้ เข้ามาในจิตใจของเขามากขึ้นเรื่อยๆ

 

“ตูม”

 

ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นภายในร่างกายก็ได้มีเสียงระเบิดดังขึ้น ร่างกายคล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างแตกออกมา แล้วก็ได้มีพลังสภาวะที่แข็งกล้าเพิ่มพูนขึ้นมาจากภายในร่างกายของหลงเฉิน

 

“ข้าจะทะลวงพลังแล้ว” หลงเฉินเกิดยินดีขึ้นมา

 

“ครืนครืน”

 

ทันใดนั้นสายลมระหว่างฟ้าดินก็ได้เปลี่ยนสี ทั่วทั้งแปดด้านเกิดการสั่นคลอน จนเกิดการก่อตัวของหมอกอัสนีขึ้นมาไม่หยุด

 

 

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset