เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 332 เมื่อเปิดโลงศิลาออก

 

“นี่คือการต่อสู้ของสุดยอดฝีมืองั้นหรือ ? ช่างน่ากลัวยิ่งนัก” ผู้คนต่างก็พากันมองไปยังทั้งสี่คนที่คล้ายดั่งภาพมายา จนอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวขึ้นมา

 

“ยังไม่ต้องพูดถึงพลังทำลายเลย เพียงแค่อัตราความถี่กับระดับความเร็วของการโจมตีขนาดนี้ จะให้คนมีปฏิกิริยาตามทันได้อย่างไร ? ” คนผู้หนึ่งก็ได้กล่าวขึ้นมาด้วยความหวาดผวา

 

ทั้งสี่คนที่ดูคล้ายกับเงาสี่สายกำลังชุลมุนกันอยู่ ที่พวกเขาเห็นได้ชัดเจนก็คือมีคนโดนจู่โจมเข้าแล้ว ยังคิดว่าคนผู้นั้นหากไม่ตายก็คงต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส

 

ทันใดนั้นก็พบว่า ผู้ที่ถูกโจมตีเป็นเพียงแค่เงาสายหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากพวกเขานั้นรวดเร็วจนเกินไป แต่ก็ยังมีโอกาสถูกโจมตีได้สูง

 

พวกเขาก็ได้แต่มองดู ว่าจริงๆแล้วการต่อสู้ของทั้งสี่คนมีความเร็วในระดับใดกันแน่ ?

 

คงมีแต่ผู้อยู่เหนือขอบเขตที่มีความแข็งแกร่งจึงจะทราบได้ ว่าการโจมตีและป้องกันของการต่อสู้เช่นนี้แสดงว่าได้เข้าใกล้อีกระดับหนึ่งไปแล้ว

 

เพราะสมองแทบไม่อาจจะใช้ระยะเวลาสั้นๆตัดสินใจอย่างชัดเจนได้ทัน เพราะเมื่อจะตัดสินใจขึ้นมา การโจมตีของอีกฝ่ายก็ได้มาถึงตัวแล้ว

 

ไม่เพียงแต่ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ ต่อให้เป็นผู้อยู่เหนือขอบเขตก็ได้รับการสั่งสอนเช่นนี้มา เพราะต้องมีสักวันที่พวกเขา สามารถเลื่อนขึ้นสู่ระดับของผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศได้

 

การเพิ่มพูนพลังการต่อสู้ของพวกเขาจะได้รับมาจากการต่อสู้เท่านั้น หากต่อสู้ไปเรื่อยๆจะสะสมกลายเป็นประสบการณ์ที่มีค่าเป็นอย่างยิ่งขึ้นมา

 

ไม่เพียงแต่การต่อสู้ในระดับเดียวกัน ในบางครั้งผู้อาวุโสภายในสำนักยังได้ลงมือชี้แนะพวกเขาด้วยตัวเอง เพื่อที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจถึงกลวิธีในการต่อสู้เช่นนี้

 

ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีเช่นไร พวกเขาก็สามารถจะใช้ช่วงเวลาตั้งแต่แรกเพื่อจดจำสภาวะเช่นนี้เอาไว้ วิธีที่เรียกได้ว่าได้ผลมากที่สุดก็คือการโจมตีสวนกลับนั่นเอง

 

ความแข็งแกร่งของผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ นอกจากมีพรสวรรค์ที่แกร่งกล้า นอกจากความแน่วแน่ที่ไร้ผู้ต้าน สำคัญที่สุดก็เป็นการเลี้ยงดูของสำนักจึงจะสามารถสร้างพวกเขาขึ้นมาได้

 

อีกอย่างก็เป็นเพราะความขยันหมั่นเพียรของตัวเอง ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศแม้จะเป็นผู้ที่เจิดจรัสเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าความเจิดจรัสที่ได้มานั้นหาใช่จะได้มาอย่างง่ายดาย

 

วันใดที่ความเจิดจรัสนี้ถูกทำลายจนป่นปี้ ก็เป็นเหมือนทำลายหลักวิถีแห่งจิตใจของพวกเขา ดังนั้นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศจึงไม่อาจจะพ่ายแพ้ได้ โดยเฉพาะการพ่ายแพ้ให้แก่ยอดฝีมือที่ระดับต่ำกว่า

 

เหตุที่เจียงอี้ฟ่านเกลียดชังหลงเฉิน ก็เป็นเพราะเขาได้พ่ายแพ้ให้แก่หลงเฉิน จนทำให้วิถีแห่งจิตใจของเขาได้รับความบอบช้ำเป็นอย่างยิ่ง

 

ถ้าหากเขาไม่สามารถฆ่าหลงเฉินด้วยตัวเองได้ ก็จะทำให้กลายเป็นจิตมารจนไม่อาจเข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูกได้อีกตลอดกาล นี่ถือเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่าการถูกฆ่าเสียอีก

 

หลงเฉินเป็นถึงสุดยอดฝีมือผู้หนึ่ง ที่ภายในจิตใจของเขาแข็งแกร่งแน่วแน่จึงไม่ส่งผลกระทบอะไรมากมายนัก

 

รวมไปจนถึงหยินหลอ แม้จะถูกหลงเฉินฟันจนขาขาด ทว่าหยินหลอที่มีสภาวะจิตใจที่แน่วแน่อยู่แล้ว นอกจากนั้นครั้งที่เขาพ่ายแพ้ยังเป็นเพราะม่อเนี่ยนกับหลงเฉินได้ร่วมมือกัน จึงไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขา

 

ดังนั้นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ จึงต้องรักษาสถิติความไร้พ่ายของตนเองเอาไว้ หากเผชิญหน้ากับผู้มีพรสวรรค์ในระดับเดียวกัน ก็ต้องเข้าใจกันเป็นอย่างดี จึงหาได้เกิดการลงมือกันอย่างง่ายดายไม่

 

ศิษย์สายตรงเหล่านั้นรวมไปจนถึงผู้อยู่เหนือขอบเขต เมื่อเกิดการต่อสู้ของผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศนั้นถือได้ว่าน้อยนักที่จะได้พบเจอ ดังนั้นจึงตั้งใจมองจนตาแทบจะไม่กระพริบตาเลยทีเดียว เพื่อที่ว่าจะมีบางสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้แก่ตนเองได้บ้าง

 

แต่เมื่อได้ชมการต่อสู้ของทั้งสี่ ศิษย์สายตรงแม้จะดูจนตาลาย จนผ่านไปหลายกระบวนท่าก็ยังไม่อาจที่จะเห็นได้อย่างชัดเจน นั่นยิ่งอย่าได้เอ่ยถึงความเข้าใจเลย

 

มีแต่เพียงผู้อยู่เหนือขอบเขตเหล่านั้น ที่มีใบหน้าเคร่งเครียดมองไปที่การต่อสู้ จากกระบวนท่ามากมายของพวกเขา รวมไปถึงกลยุทธ์การต่อสู้

 

ทว่าเหล่าผู้อยู่เหนือขอบเขตเหล่านั้น เมื่อดูไปดูมาก็เกิดหน้าเปลี่ยนสี เขาพบว่าวิธีการลงมือของหลงเฉินนั้น แทบไม่อาจจะใช้หลักเกณฑ์อะไรมาอธิบายได้เลย

 

ภายในสำนักเหล่าผู้อาวุโสได้เคยเตือนพวกเขาอย่างเคร่งครัดมาก่อน ถ้าพลังฝีมือของทั้งสองฝ่ายมีพอๆกัน หากคิดที่จะล้มอีกฝ่ายก็มีแต่จะต้องหาจุดอ่อนของอีกฝ่ายออกมาให้ได้

 

และหากคิดที่จะหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย ก็ยังจำเป็นที่จะต้องควบคุมวิถีการโจมตีและหลักเกณฑ์ของพวกเขามาให้ได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่อาจจะแก้กระบวนท่าได้ ก็มีแต่ต้องทำลายกระบวนท่า จึงจะสามารถจะล้มอีกฝ่ายได้

 

เมื่อทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสภาพเดียวกัน ต่างก็ถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือการคิดที่จะจัดการอีกฝ่ายให้ตายก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

 

ทั้งยังจำเป็นจะต้องคิดหาจุดอ่อนของอีกฝ่ายให้ได้ หากอีกฝ่ายลงมือตามความเคยชิน ก็สามารถที่จะมองออกได้แล้วก็ค่อยปล่อยให้เข้ามาติดกับดักเอง ก็จะถือได้ว่าเป็นการเผยช่องว่างที่อาจจะจบชีวิตลงได้ภายในกระบวนท่าเดียวเลยด้วยซ้ำ

 

ถึงแม้ทั้งสี่คนจะรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง แต่หากกล่าวถึงความแข็งแกร่งของผู้อยู่เหนือขอบเขตเหล่านี้ ก็ยังคงที่จะมองเห็นกระบวนท่าที่ใช้กันอย่างชัดเจนอยู่

 

เมื่อมองเห็นอย่างชัดเจนแล้วพวกเขาก็รู้สึกหวาดผวาขึ้นมา ผู้อยู่เหนือขอบเขตทั้งหมดต่างก็ได้ถูกกลยุทธ์การต่อสู้ของหลงเฉินกดดันเอาไว้แล้ว

 

สุดยอดฝีมือทั้งสามคนนั้น ถึงแม้จะลงมือได้รวดเร็ว เผ็ดร้อน ทั้งยังรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่มองก็ทราบได้ว่าฝึกฝนกันมาเป็นพิเศษ

 

ถึงแม้พวกเขาจะซ่อนเร้นได้อย่างยอดเยี่ยมจนไม่อาจมองเห็น แต่ความคุ้นเคยจากการต่อสู้หรือพลังปราณ พวกเขาก็ยังพอที่จะสามารถสัมผัสได้อยู่บ้างเล็กน้อย

 

แต่วิธีการต่อสู้ของหลงเฉินนั้นกลับทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาได้เลย หรือจะกล่าวได้ว่าเด็กน้อยผู้นี้แทบจะไม่มีหลักเกณฑ์ในการต่อสู้เลยก็ว่าได้

 

ดาบยาวเล่มหนึ่งก็ได้ลอยขึ้นมาดั่งมือดาบระดับพระกาฬ จู่โจมได้ตรงจังหวะ ฉวยโอกาสปรับวิกฤติให้เป็นประโยชน์ จนเกิดเป็นพลังทำลายที่รุนแรง แม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไม่อาจที่จะเล็ดรอด

 

แต่ว่าทันใดนั้นเองก็ได้เกิดแปรเปลี่ยนหลุดออกจากสภาวะเช่นนั้นขึ้นมา ดาบยาวที่ถูกใช้ดุจกระบี่ คล้ายดั่งมีวิญญาณของมือกระบี่เข้าสิงสู่

 

หากมีเพียงเท่านี้ก็ยังแล้วไป ในบางครั้งยอดฝีมือก็ยังจำเป็นที่จะต้องแปรเปลี่ยนสภาวะไม่หยุด ทั้งยังต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายมองวิชาของตนเองออกได้ นี่ต่างก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติอย่างยิ่ง

 

แต่บางเวลาหลงเฉินก็คล้ายกับเป็นคนบ้า ที่ไม่มีหลักวิชายุทธ์เลยด้วยซ้ำ ทั้งยังได้ใช้ทั้งสองมือกุมไปที่ดาบใหญ่ กวาดฟันออกไปอย่างวุ่นวาย ทั้งยังได้หันเข้าไปโจมตีในมุมที่ไร้กฏเกณฑ์อีกด้วย

 

หากหลงเฉินเอาแต่ใช้ความเคยชินเหล่านี้ ผู้อยู่เหนือขอบเขตเหล่านั้นก็คงจะมีแต่ความแตกตื่นเท่านั้นหาได้หวาดกลัวกันไม่

 

ที่ทำให้พวกเขาต้องหวาดผวามากที่สุดคงจะเป็น หลงเฉินในขณะที่กำลังฟันไปฟันมาอยู่นั่นเอง ก็ได้มีก้อนอิฐก้อนหนึ่งฟาดออกไป จนทำให้ผู้คนไม่อาจที่จะป้องกันเอาไว้ได้เลย

 

ไม่แต่เพียงแค่ก้อนอิฐที่ฟาดออกไป ทั้งยังมีการเตะตัด ทุบเข้าไปที่หว่างขา บ้องเข้าไปที่ใบหู ต่างๆนาๆจนเรียกได้ว่าไม่ซ้ำซากจำเจเลยทีเดียว

 

สิ่งที่แทบจะทำให้ทุกคนต้องกระอักเลือดออกมาก็คือ ขณะที่หลงเฉินสู้อยู่ก็ได้มีน้ำลายลอยออกมา

 

เนื่องจากเป็นเพราะจ้าวหมิงซานหลบเลี่ยงน้ำลาย ใบหน้าจึงได้ถูกก้อนอิฐของหลงเฉินประทับเข้าให้ จนจมูกถูกทุบจนยุบลงไป ให้ใบหน้าคล้ายกับเกิดหลุมโพรงขึ้นมา

 

จ้าวหมิงซานไม่เพียงแต่เป็นสุดยอดฝีมือ ทั้งยังเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาเป็นอย่างยิ่ง ก้อนอิฐขนาดหนึ่งฉื่อสองชุ่น แม้ว่าจะไม่ได้มีขนาดที่พอดิบพอดี แต่นับจากคางไปจนถึงหน้าผาก ก็ยังคงทิ้งร่องรอยของก้อนอิฐเอาไว้ได้พอดี

 

เมื่อมองไปยังเหล่าผู้คน ที่มองดูเขาทั้งรู้สึกตกใจทั้งรู้สึกขบขัน ศิษย์ของฝ่ายอธรรมที่อยู่ในที่ห่างไกล กลับยิ่งฮาหัวเราะฮาฮาขึ้นมายกใหญ่

 

จ้าวหมิงซานมีโทสะจนแทบคลั่ง ได้ข่มความเจ็บปวดเอาไว้ แต่ความอัปยศเช่นนี้เขาไม่อาจที่จะทนเอาไว้ได้ ถึงกับไม่อาจจะรักษาสภาวะภายในร่างกายเอาไว้ได้ จนต้องระเบิดความบ้าคลั่งขึ้นมาอีก

 

“ครืนครืน”

 

เมื่อได้สัมผัสพลังสภาวะจากจ้าวหมิงซาน ทั่วทั้งห้องเก็บโลงศพก็ได้เริ่มเกิดการสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง กำแพงรอบด้านก็เริ่มเกิดรอยแตกขึ้นมา บนเพดานก็ได้มีหินและดินขนาดใหญ่ร่วงลงมา

 

“เจ้าโง่ อย่าได้มุทะลุไป คิดที่จะทำลายสุสานไปเลยหรือไง เช่นนั้นทุกคนก็คงมีแต่ต้องตายกันแล้ว” สุดยอดฝีมือของฝ่ายอธรรมอดไม่ได้ที่จะต้องด่าทอออกมา

 

ในช่วงเวลาที่ต่อสู้กันก่อนหน้านี้ได้พบว่า สุสานโบราณที่ผ่านห้วงกาลเวลามาอย่างเนิ่นนานแห่งนี้ อาจไม่สามารถรับแรงกระทบอะไรได้มากนัก คงจะต้องถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดายแน่แล้ว

 

ต่อให้พวกเขาที่เป็นสุดยอดฝีมือ หากถูกฝังอยู่ในสุสานโบราณ ก็อย่าหวังจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปได้อีก

 

พวกเขาต่างก็ได้หารือกันมาก่อนแล้ว จึงหาได้ใช้พลังการต่อสู้ที่รุนแรงออกมา ในขณะที่หลงเฉินยังไม่ทันเห็น นั่นก็พอที่จะสามารถฝังหลงเฉินให้ตายในที่แห่งนี้ได้แล้ว

 

จ้าวหมิงซานที่กระตุ้นพลังทั้งหมดออกมา เพียงครู่เดียวก็ได้สะเทือนสุสานโบราณจนสั่นไหว ต่อให้หลงเฉินเป็นตัวโง่งม ก็ยังสามารถมองออกได้ว่าเขาจำเป็นที่จะต้องเก็บออมพลังทั้งหมดเอาไว้

 

เมื่อถึงเวลาหากว่าหลบหนีออกไปไม่ได้ ก็ยังสามารถที่จะทำลายสุสานโบราณ ลากทุกคนให้ถูกกลบฝังไปด้วย ที่จ้าวหมิงซานทำเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นความโง่เขลาที่ไม่ต่างอะไรไปจากหมูตัวหนึ่ง จนทำให้สุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้นมีโทสะจนใบหน้าเขียวคล้ำ หมายจะใช้กระบี่ปลิดชีพตัวโง่งมผู้นี้ภายในกระบี่เดียว

 

“เจ้าสิจึงเป็นไอ้หน้าโง่ บัดซบ ข้าเองก็ทนมานานแล้ว เจ้าลองโดนก้อนอิฐฟาดหน้าดูบ้างไหม ? ข้าจะดูว่าเจ้าจะทนได้ซักกี่น้ำกัน ? ”

จ้าวหมิงซานทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว จนสูญเสียสภาวะความเป็นสุดยอดฝีมือไปโดยสิ้นเชิง ทั้งยังได้เริ่มด่าทอออกมายกใหญ่

 

ในความคิดของจ้าวหมิงซาน ตัวโง่งมผู้นี้เอาแต่กล่าวออกมาโดยหาใช่ตนเองเป็นผู้เจ็บตัวไม่ การที่เป็นถึงสุดยอดฝีมือ หากต้องถูกชาวบ้านตบเข้าที่ใบหน้า แล้วจะยังมีผู้ใดที่ยังทนต่อไปได้อีกกัน ?

“อย่าได้ทะเลาะกันเลย ฆ่าหลงเฉินแล้วค่อยว่ากัน”

 

สุดยอดฝีมืออีกทางด้านหนึ่งกล่าวโน้มน้าวขึ้น ถึงแม้จ้าวหมิงซานกับสุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้น จะต่างก็มีเพลิงไฟลุกโชนอยู่ภายในจิตใจ ทว่าพวกเขาก็ทราบ ว่าตอนนี้ยังมิใช่เวลาที่จะมากระทำเรื่องเช่นนี้ ยังไงเสียก็ยังจำเป็นที่จะต้องอดกลั้นเอาไว้ก่อน

 

“ซูม”

 

สุดยอดฝีมือผู้นั้นที่กำลังกล่าววาจา ก็ถูกหลงเฉินเห็นช่องว่างแล้ว ก้อนอิฐก้อนหนึ่งก็ได้ตบเข้าไปที่ศีรษะของเขาทันที

 

หลงเฉินรู้สึกชื่นชมตนเอง เขาพบว่าตนเองได้ใช้ก้อนอิฐที่ถือได้ว่าเป็นพรสวรรค์อันสูงล้ำเลยทีเดียว แทบไม่ต่างอะไรจากการตบกรอกหน้า หลังจากตบไปหลายครั้งก็ยิ่งลึกล้ำมากขึ้น จนเข้าขั้นยอดเยี่ยมที่สุด

 

เมื่อคนผู้นั้นมีสติคืนมา ก้อนอิฐก็มาถึงตรงหน้าแล้ว ทั้งยังรวดเร็ว ทั้งยังมาได้ในองศาที่เหมาะเจาะ ทำให้ไม่อาจป้องกันได้สำเร็จ จนอดไม่ได้ที่จะต้องเกิดอาการตกใจขึ้นมา จึงได้รีบเร่งหันหน้าไปอีกทางด้านหนึ่ง

 

“ผัวะ”

 

ประกายโลหิตก็ได้ซ่านกระเซ็น แม้จะเลี่ยงการบาดเจ็บจากส่วนหัวไปได้ แต่ก็ยังคงเกิดเป็นรอยประทับขึ้นที่ใบหน้า ทิ้งร่องรอยยาวตรงเข้าไปจนถึงใบหูเลยทีเดียว

 

อวัยวะบนใบหน้าทั้งห้าถือได้ว่าเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดของผู้ฝึกยุทธ์ ต่อให้แข็งแกร่งมากกว่านี้ ก็ยังไม่อาจที่จะฝึกให้ดวงตาแข็งราวกับเหล็กได้อยู่ดี

 

ถึงแม้อวัยวะอย่างใบหู จมูก จะมิใช่จุดที่อ่อนที่สุด แต่ว่าเมื่อต้องประสบกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายในพริบตา ก็เกิดเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่งอยู่ดี

 

ในขณะที่หลงเฉินใช้ก้อนอิฐเพียงก้อนเดียว ก็สามารถที่จะไล่ต้อนไปได้แล้ว ทั้งยังทำให้ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยโลหิตไปกว่าครึ่งหน้าแล้ว รวมถึงใบหูที่หลุดไป

 

“หลงเฉิน ข้าจะฆ่าเจ้า”

 

สุดยอดฝีมือผู้นั้นเกิดโทสะขึ้นในทันทีด้วยแววตาแดงซ่าน ทั้งยังมีโทสะพวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง

 

“ใจเย็น ใจเย็น……”

 

จ้าวหมิงซานกับสุดยอดฝีมือฝ่ายอธรรมผู้นั้นก็อดไม่ได้ที่จะตกใจขึ้นมา จึงกล่าวขึ้นมาอย่างเร่งร้อน

 

“ใจเย็นหามารดาเจ้าเถอะ ใบหูของข้าไม่มีแล้ว ยังจะให้ใจเย็นได้อย่างไรกัน ผู้ใดก็จงอย่าได้ขวางข้า ต่อให้ต้องตายไป ข้าก็ต้องฆ่าเขาให้จงได้”

 

ผู้อยู่เหนือขอบเขตระดับสูงสุดผู้นั้น ต่อให้สามารถที่จะระงับโทสะไปได้ แต่หากเรื่องนี้ถูกลือออกไป เขาก็ต้องกลายเป็นตัวตลกของทุกหมู่ตึก

 

การที่เป็นถึงสุดยอดแห่งรุ่นแห่งยุค กลับต้องมาถูกตัดใบหูเช่นนี้ แม้เมื่อกลับไปแล้วจะสามารถใช้วิชาลับเพื่อทำให้งอกขึ้นมาใหม่ได้ก็ตาม

 

แต่การที่ต้องอยู่ในแดนลับช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขากลับใช้หูได้เพียงแค่ข้างเดียว แล้วจะให้เขาไปพบผู้คนได้อย่างไรกัน ?

 

จ้าวหมิงซานถึงแม้จะถูกทุบจนใบหน้ายุบ แต่ว่าอวัยวะยังคงอยู่ไม่นานก็ฟื้นคืนกลับมาได้ แต่เขาเองใช่จะทนไหว จึงทำให้เขาต้องปะทุขึ้นภายในพริบตา

 

ในขณะที่สุดยอดฝีมือผู้นั้นระเบิดพลังออกมาจนหมดสิ้น ทั่วทั้งสุสานถึงกับต้องสั่นสะเทือน ในยามที่หมายจะสังหารหลงเฉิน ก็ได้เกิดความเคลื่อนไหวที่ดังสนั่นขึ้นมา

 

“ตูม”

 

ทันใดนั้นฝาโลงก็เกิดการขยับขึ้นมาด้วยตัวเอง ทุกคนต่างก็ได้มองไปยังโลงศพอย่างพร้อมเพรียง !

 

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset