เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 346 ไม่คิดแค้น แต่ยังมอบผลประโยชน์ให้

 

“ผู้ใดกัน ?”

 

หานเทียนเฟิงส่งเสียงขึ้น แล้วก็หันมองไปทางด้านหนึ่ง

 

หานเทียนเฟิงส่งเสียงตะโกนขึ้นมาอย่างเย็นเยือก ทำให้จ้าวหมิงซานกับสุดยอดฝีมืออีกผู้หนึ่งตกใจขึ้นมา จนต่างก็ได้ชักอาวุธออกมาพร้อมสีหน้าที่ร้อนรน

 

ถึงแม้จะรออยู่นาน แต่บรรยากาศที่อยู่โดยรอบก็มีเพียงแค่สายหมอกที่ปกคลุมอยู่ทั่วไปเท่านั้น หาได้มีเสียงอะไรดังขึ้นมาอีก

 

ทันใดนั้นหานเทียนเฟิงก็กล่าวขึ้นมาด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ “คงจะเป็นเพราะข้ามีประสาทสัมผัสที่ไวจนเกินไป นอกจากพวกเราสามคนแล้วภายในหุบเขาเมฆหมอกแห่งนี้ ก็ไม่มีบุคคลอื่นอีกแล้ว”

 

เพียงแต่ก่อนหน้านี้หานเทียนเฟิงรู้สึกได้ถึงรังสีสังหารที่เกิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ อีกทั้งยังเป็นความรู้สึกของยอดฝีมือ เขาจึงได้ตะโกนร้องออกมา

 

เมื่อมองไปยังจ้าวหมิงซานและพวก จึงทำให้เขาเกิดความเคอะเขินขึ้นมา รู้สึกได้ว่าตนเองกระทำสิ่งที่ไม่สมควรที่จะกระทำขึ้นมาแล้ว

 

“ฮาฮา ไม่มีอะไร เช่นนี้ก็บอกได้แล้วว่าพี่เทียนเฟิงเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย นี่เป็นสิ่งที่ยอดฝีมือสมควรที่จะต้องมี” ทั้งสองคนก็ได้หัวเราะฮาฮาออกมา เพื่อจะลบล้างบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนนี้ไป

 

ทว่าภายในจิตใจก็ยังคงเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมาอยู่เล็กน้อย ภายในสถานที่แห่งนี้ ที่เป็นส่วนลึกของหุบเขาเมฆหมอก ยังมีผู้ใดอีกที่จะกล้ามาหาที่ตายในสถานที่แห่งนี้

 

ในขณะที่ทั้งสามคนสบตามองกันราวกับเห็นผี หลงเฉินที่ได้ถอยร่นออกไปหลายลี้แล้ว ก็ยังอดไม่ที่จะเกิดอาการตกใจขึ้นมา หานเทียนเฟิงผู้นี้ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน

 

เขาพยายามที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเองมาโดยตลอด เพื่อไม่ให้รังสีฆ่าฟันของตนเองพวยพุ่งขึ้นมา แต่ว่าเมื่อได้ยินจนถึงตรงนี้ อีกทั้งยังคิดที่จะมุ่งเป้าไปที่ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวอีก จึงทำให้เขาเกิดรังสีฆ่าฟันขึ้นมาเล็กน้อย

 

ทั้งที่เป็นเพียงแค่ความเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หานเทียนเฟิงกลับรู้สึกตรวจพบได้ เมื่อหลงเฉินเห็นความแข็งแกร่งของเด็กน้อยผู้นี้ก็เรียกได้ว่าอยู่เหนือการคาดเดาไปเลย

 

ไม่แปลกใจเลยที่ถูกเล่าขานกันว่าเป็นรองเพียงแค่พี่ชายของเขา ต่อให้มีพลังฝีมือเทียบกับพี่ชายเขาไม่ได้ แต่ก็เรียกได้ว่าอยู่ในอีกระดับหนึ่งแล้ว เมื่อเทียบกับสุดยอดฝีมือตามปกติยังถือได้ว่าแข็งแกร่งกว่าเป็นอย่างมาก

 

“จะออกไปจัดการกับพวกเขาตอนนี้เลยอย่างงั้นหรือ ?”

 

มือของหลงเฉินกุมไปที่ด้ามดาบของทลายมาร เขาอยู่ในสภาพพร้อมที่จะพุ่งเข้าไปเปิดการต่อสู้ได้อยู่ตลอดเวลา

 

หลงเฉินส่ายหน้าไปมา “จิตวิญญาณแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ย่อมไม่หวาดเกรงศัตรู ก่อนหน้านี้ข้าได้เคยสาบานเอาไว้ จะขอเป็นสุดยอดตัวบัดซบผู้หนึ่ง หากจะฆ่าคนด้วยวิธีเช่นนี้ย่อมไม่ถูกต้องนัก

 

ข้าจำเป็นที่จะมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่านี้ ข้าต้องทำลายศัตรูของข้าเอง นี่จึงเป็นเกียรติยศของข้า ข้าจำเป็นที่จะต้องตอบแทนกลับไปบ้างแล้วละ

 

ถึงแม้ข้าจะทราบว่ามันยาก ทว่าข้ายังจำเป็นที่จะต้องลอง เพื่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ ยังไงก็ต้องรวบรวมกำลังพลให้สมบูรณ์ให้ได้”

 

หลงเฉินกัดฟันขึ้นพร้อมกับในมือที่ได้มีหินปราณวายุปรากฏขึ้นมา เมื่อได้คำนวณกระแสลมดีแล้วจึงปามันออกไป

เดิมทีทั้งสามคนที่กำลังเสาะหายาล้ำค่าอยู่อย่างช้าๆ ทันใดนั้นก็ได้รับรู้ถึงพลังสภาวะประหลาดหลั่งไหลเข้ามา จึงมองไปยังทางด้านหน้า แต่กลับพบเพียงหินก้อนหนึ่งลอยเข้ามา

 

“ผัวะ”

 

หานเทียนเฟิงได้ยื่นมือรับหินก้อนนั้นเอาไว้ จากนั้นก็ได้หันหน้ามองไปกลับเห็นแต่เพียงกลุ่มหมอกสายหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ไม่อาจที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน

 

“ผู้ใดกัน ถึงได้มาทำตัวลับๆล่อๆ”

 

จ้าวหมิงซานรวบรวมความกล้าพร้อมกับเอ่ยขึ้นมา ถึงอย่างไรการมองภายในหุบเขาก็มองออกไปได้เพียงแค่ร้อยจั้งเท่านั้น จึงได้เกิดความรู้สึกขนลุกขึ้นโดยเฉพาะกับคนที่กระทำเรื่องเลวทรามเหล่านั้น

 

“ไม่ต้องตะโกนแล้ว หาใช่มนุษย์โยนมาไม่” หานเทียนเฟิงส่ายหน้าแล้วกล่าว

 

“มิใช่มนุษย์ ที่แท้เป็นผีสางงั้นหรือ” ทั้งสองคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป

 

หานเทียนเฟิงคร้านที่จะสนใจทั้งสองคน เพียงมองก้อนศิลาในมืออย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจขึ้นมา

 

“หินปราณวายุ”

 

หานเทียนเฟิงที่มาจากหมู่ตึกที่หนึ่ง เรียกได้ว่ามีความรู้กว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง ย่อมมองออกถึงที่มาของหินก้อนนี้ได้ในทันที

 

จ้าวหมิงซานและพวก ก็ได้ถูกสีหน้าของหานเทียนเฟิงชักนำเข้า ในขณะที่กำลังมองไปที่หินปราณวายุภายในมือด้วยอาการสงสัย

 

“เหตุใดสถานที่แห่งนี้ถึงได้มีหินปราณวายุกัน ?”

 

บนใบหน้าของหานเทียนเฟิงปรากฏความลิงโลดพร้อมกับกล่าวขึ้นมา “หินศิลาก้อนนี้ หาใช่คนที่เป็นผู้ปาออกมา แต่เป็นมันที่ส่งตัวของมันออกมาเอง”

 

ที่แท้จริงแล้วหลงเฉินที่ได้โยนหินปราณวายุก้อนนั้นไป ก็ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเพื่อกระตุ้นให้มันเข้าไปใกล้ จนเข้าถึงระดับความเร็วคงที่แล้ว ก็ได้ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณรั้งมันกลับมา

 

เดิมทีหินปราณวายุก็มีพลังแห่งวายุอยู่แล้ว มันสามารถที่จะลอยอยู่ท่ามกลางอากาศได้ในระยะหนึ่ง ถ้าหากไม่มีวัตถุคอยกีดขวางมันเอาไว้ ก็จะสามารถที่จะลอยออกไปได้อีกหลายพันลี้ แต่เพราะเหตุใดในเวลาที่อยู่ภายนอก ฉู่หยางถึงได้ชนเข้ากับหินปราณวายุอีกก้อนได้

 

หลังจากที่หินปราณวายุได้ลอยอยู่ในวิถีของแรงลมแล้ว ก็สามารถที่จะพึ่งพาพลังในตัวของมันเองเพื่อให้ลอยต่อไปได้ หานเทียนเฟิงย่อมเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ว่านี้ย่อมมิใช่ฝีมือของมนุษย์ จึงคร้านที่จะตอบทั้งสองคน

 

“สถานที่แห่งนี้ถึงกับได้มีการดำรงอยู่ของหินปราณวายุ ทุกคนระวังเอาไว้หน่อย เบิกพลังแห่งจิตวิญญาณออกมา แล้วทำการค้นหาเพื่อเก็บหินมาซะ” หานเทียนเฟิงกล่าว

 

“ตรงนี้ก็มีอีกชิ้น”

 

ถึงแม้ว่าทุกผู้คนต่างก็มิได้เป็นผู้เชี่ยวชาญโอสถที่มีพลังแห่งจิตวิญญาณแข็งแกร่งเช่นนั้น ทว่าการที่เป็นถึงสุดยอดฝีมือ พลังแห่งจิตวิญญาณจึงไม่อ่อนด้อยจนเกินไปอยู่แล้ว ย่อมสามารถที่จะทำการครอบคลุมบริเวณโดยรอบในระยะหลายจั้งได้อยู่บ้าง

 

“ใต้ดินตรงจุดนี้ก็ยังมีอีกก้อน สวรรค์ เป็นหินปราณวายุจริงๆด้วย” จ้าวหมิงซานได้ถือหินปราณวายุเอาไว้ชิ้นหนึ่ง ด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

 

“เอ๊ะ คิดไม่ถึงว่า ภายในหุบเขาแห่งนี้จะมีการปรากฏของหินปราณวายุขึ้นมา ก่อนหน้านี้พวกเรายังไม่ทันจะสังเกต นี่คงจะต้องพลาดสมบัติล้ำค่าไปมากมายแล้วอย่างแน่นอน” สุดยอดฝีมือผู้นั้น กล่าวขึ้นมาด้วยความเสียดาย

 

การค้นพบในครั้งนี้ทำให้ทั้งสามคนเกิดความเสียดายเป็นอย่างยิ่ง แต่การจะเดินย้อนกลับไปย่อมไม่มีความหมายอะไรอยู่แล้ว สู้มุ่งหน้าเดินต่อไปจะดีเสียกว่า

 

“เอ๊ะ มีสายลมด้วย ทั้งยังเป็นสายลมที่ประหลาดยิ่งนัก”

 

ทั้งสามคนที่เดินทางต่อไปอีกหลายลี้ ก็ได้เก็บหินปราณวายุมาได้อีกหลายก้อน แต่ทันใดนั้นเองก็รู้สึกได้ว่าเริ่มจะเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมาแล้ว

 

“ซูม”

 

แล้วก็ได้มีหินปราณวายุลอยเข้ามาท่ามกลางอากาศอีกก้อน ทว่าในครั้งนี้กลับลอยได้สูงเป็นอย่างยิ่ง จ้าวหมิงซาน จึงเร่งรีบที่จะเหินลอยขึ้นเพื่อทำการคว้าหินปราณวายุมาไว้ในมือ

 

“ข้าเข้าใจแล้ว หินปราณวายุเหล่านี้ เป็นหินที่ถูกพัดมาจากแรงลมภายในหุบเขานั่นเอง ไป ไปดูทางด้านนั้นกัน ! ” หานเทียนเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าตกใจระคนดีใจ แล้วก็นำทั้งสามคน มุ่งหน้าเข้าไปยังบริเวณส่วนลึกของหุบเขา

 

หลงเฉินที่เข้าไปยังส่วนลึกของหุบเขามาตั้งแต่แรกแล้ว เขาใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเพื่อสำรวจ และทำการฝังหินปราณวายุเอาไว้ เมื่อพบว่าในที่สุดพวกเขาก็ติดกับเข้าแล้วจึงรู้สึกวางใจขึ้นมา

 

หินปราณวายุทั้งหมดสามสิบกว่าชิ้นนั้นก็มีไว้เพื่อให้สุนัขอยู่แล้ว ไม่ใช่ กล่าวเช่นนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เสี่ยวเสว่ยรู้สึกไม่ดีขึ้นมาก็ได้

 

ช่างเถอะ การเป็นคนจำเป็นที่จะต้องมีจิตใจที่เมตตา คิดเสียว่าเป็นการทำบุญก็แล้วกัน เมื่อพบว่าทั้งสามคนได้เดินตามเส้นทางที่วางไว้ หลงเฉินก็ไม่เสียดายที่จะสร้างบุญของตนเองต่อ ทั้งยังได้เริ่มทำการฝังต่อไปอย่างรวดเร็ว

 

จนกระทั่งมาถึงที่ด้านหลังของหุบเขาหินปราณวายุ ที่เป็นก่อตัวขึ้นมาจากหินปราณวายุก้อนนั้น หลงเฉินได้กวาดสายตามองไปรอบด้าน พบว่าบริเวณที่ไม่ไกลออกไปนักได้มีสุดปลายขอบอยู่ ทั้งยังมีรอยต่อที่ก่อตัวขึ้นมาจากหินศิลาขนาดเล็กชิ้นหนึ่ง ช่องว่างของหินก้อนนั้นที่ด้านหลังยังมีโพรงอยู่อีก หากมีผู้คนเดินเข้ามา ย่อมไม่ทันที่จะสังเกตเห็นแน่นอน

 

“สวรรค์ช่างเข้าข้างข้าจริงๆเลย”

 

หลงเฉินดีใจขึ้นมา แล้วก็เดินเข้ามายังด้านของหินลาดยาวอย่างระมัดระวัง เมื่อได้เดินเข้าไปทางด้านหลัง หลงเฉินก็เกิดความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

 

สถานที่แห่งนี้แอบแฝงสิ่งนี้เอาไว้ ทั้งยังสามารถที่จะทำการแอบดูได้ จนเข้ามาสู่บริเวณที่เป็นตำแหน่งทางเข้า ก็จะพบเห็นด้านหลังของสัตว์ร้ายแห่งวายุที่น่าหวาดกลัวตนนั้นได้

 

สัตว์ร้ายแห่งวายุที่ในเวลานี้ ยังคงอยู่ในสภาพหลับตาราวกับว่าอยู่ในสภาวะของการหลับใหล จนแทบไม่เห็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น

 

หลงเฉินที่เพิ่งจะหลบเข้าไปที่ซอกหิน จ้าวหมิงซานก็ได้ตามเข้ามาจากการชี้นำของหลงเฉิน เมื่อพวกเขามาถึงยังปากทางเข้า ก็ได้มองไปยังด้านบนของภูเขาหินปราณวายุลูกนั้น ที่บนยอดเขาเต็มไปด้วยหินปราณวายุขนาดใหญ่ ทั้งสามคนก็เกิดอาการตกตะลึงกันขึ้นมา

 

“ผลึก……ผลึกปราณวายุ”

 

หานเทียนเฟิงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ภายในแววตาทั้งคู่ก็ได้ฉายอาการลิงโลดขึ้นมา แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังเกิดสั่นเครือขึ้น

 

หลงเฉินเกิดความคิดขึ้น แท้จริงแล้วสิ่งนี้เรียกว่าเป็นผลึกปราณวายุนั้นเอง ให้ตายเถอะ สมกับที่มาจากชาติกำเนิดที่ยิ่งใหญ่เลยจริงๆ ช่างมีความรอบรู้เสียเหลือเกินนะ

 

“นี่ก็คือสมบัติสูงสุดในตำนาน ผลึกปราณวายุงั้นหรือ ?”

 

จ้าวหมิงซานกับสุดยอดฝีมืออีกคนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยความลุ่มหลง พวกเขาเหมือนอยู่ภายในความฝันเลยก็ว่าได้

 

“ผลึกปราณวายุก้อนนี้ แฝงเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัว ขอเพียงไม่ไปกระตุ้นพลังอันมหาศาลของมันเข้า ก็จะสามารถที่จะเก็บมันมาได้แล้ว ไป ไปเก็บสมบัติล้ำค่านั้นมาแล้วค่อยว่ากัน”หานเทียนเฟิงกล่าว

 

“พี่เทียนเฟิง ให้พวกเราสองคนได้รับใช้เถอะ”

 

เมื่อจ้าวหมิงซานกับสุดยอดฝีมืออีกคนหนึ่งได้มองไปที่สมบัติชิ้นนั้น ก็ทราบได้ในทันทีว่าผลึกปราณวายุก้อนนี้ จะต้องมีความข้องเกี่ยวกับหานเทียนเฟิงอย่างแน่นอน

 

สมบัติแห่งยุคเช่นนี้ ถ้าหากพวกเขากล้าแตะต้อง หานเทียนเฟิงจะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน อาจจะถึงขั้นฆ่าพวกเขาเลยก็ว่าได้

 

ทั้งสองคนต่างก็เป็นคนฉลาด แน่นอนว่าย่อมไม่กระทำเรื่องเช่นนี้แน่ ต่อให้เป็นสมบัติที่ล้ำค่ามากกว่านี้ ยังไงก็จำเป็นที่จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อใช้มันสิ

 

เมื่อเห็นว่าไม่อาจที่จะได้สมบัติมาอย่างแน่นอน ก็ทำได้แต่เก็บไว้ในใจเท่านั้นจึงจะสามารถได้รับประโยชน์อันมหาศาลได้ และจะได้รับความเชื่อใจจากหานเทียนเฟิง นี่ถือเป็นเป้าหมายที่แท้จริง

 

เมื่อพบว่าทั้งสองคนต่างก็เข้าใจเหตุผลอย่างชัดเจนเช่นนี้ หานเทียนเฟิงก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ การที่ได้ลูกน้องที่ฉลาดมาถึงสองคน ทั้งยังมีสายตาที่แหลมคมย่อมเหมาะต่อการส่งเสริมแน่นอน

แต่เพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิด เขายังคงติดตามอยู่ทางด้านหลังของทั้งสองคน ทว่าก็ยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้ เป็นการสร้างความเชื่อใจให้แก่ทั้งสองคนได้เล็กน้อยอยู่บ้าง

 

เมื่อทั้งสามคนได้เข้ามาถึงในระยะห่างจากภูเขาลูกนั้นได้ร้อยจั้ง แม้ว่าจะชักอาวุธหนักออกมากันแล้ว ก็ยังไม่อาจที่จะต้านพายุคลั่งอันน่าหวาดกลัวไว้ได้ จ้าวหมิงซานและสุดยอดฝีมือผู้นั้นต่างก็พากันระเบิดพลังออกมาจนสิ้น

 

หลังจากที่ระเบิดพลังขึ้นมาแล้ว จึงสามารถที่จะพยุงตัวต้านพายุอันน่าหวาดกลัวได้ แต่หานเทียนเฟิงหาได้เคลื่อนไหวอันใดไม่ แต่กลับก้าวเดินเข้าไปอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร

 

“ช่างแข็งแกร่งเสียจริง อีกทั้งเขายังมีวิชาทักษะที่พิเศษอยู่”

 

หลงเฉินที่คอยจ้องมองอย่างตั้งอกตั้งใจจากที่ห่างออกไป ถึงแม้หานเทียนเฟิงจะมิได้แสดงพลังออกมา ทว่าก็ยังคงไหลเวียนพลังลมปราณภายในร่างอย่างรวดเร็วอยู่

 

หลงเฉินสามารถจะสัมผัสได้ว่าใต้ฝ้าเท้าของหานเทียนเฟิง ได้มีสภาวะพลังอันมหาศาลที่แสนประหลาดขุมหนึ่งขึ้นมา ทำให้ฝ่าเท้าของเขาดึงดูดพื้นดินเอาไว้ ราวกับเป็นเข็มเล่มหนึ่งเจาะลงไป จึงทำให้พายุคลั่งไม่อาจที่จะสั่นคลอนเขาได้

 

หลงเฉินจ้องมองไปที่สัตว์ร้ายแห่งวายุขนาดใหญ่ตนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ที่ต้องทำให้หลงเฉินต้องคลั่งขึ้นมาก็คือ แม้แต่ตอนนี้เจ้าเศษเนื้อก้อนนี้ก็ยังไม่ตื่นจากการหลับไหลอีก

 

“ให้ตายเถอะ นี้มันเวลาอะไรกัน ยังจะมัวหลับอีก ถ้าเจ้ายังจะมัวแต่หลับสมบัติก็คงจะต้องถูกช่วงชิงไปแล้วนะ” หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะร้อนรนขึ้นมา

 

เมื่อพบว่าทั้งสองคนนั้นเดินเข้าไปจนถึงตีนภูเขาที่ถูกก่อขึ้นมาจากหินปราณวายุแล้ว แต่สัตว์ร้ายแห่งวายุตนนั้นกลับยังคงสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างไร

 

ข้าจะบ้าตาย เจ้านะเจ้าทำไมถึงได้เอาแต่หลับได้ลึกถึงเพียงนี้นะ เหตุใดถึงยังไม่ตื่นขึ้นมาอีก หากทราบว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก ข้าก็คงจะเข้าไปขโมยเองแล้ว

 

“อย่าได้รีบร้อนไปเก็บหินปราณวายุเหล่านั้นก่อน แต่จงรีบไปจัดการกับผลึกปราณวายุก่อนเถอะ”

 

เมื่อพบว่าจ้าวหมิงซานและพวกทั้งสองคน ทำการเก็บหินปราณวายุกันอย่างขยันขันแข็งในสภาพที่ลิงโลด โดยหาได้ขึ้นไปบนภูเขาน้อยลูกนั้นไม่ และมัวแต่เก็บหินปราณวายุเหล่านั้นเพียงอย่างเดียว

 

หินปราณวายุเหล่านั้นราวกับถูกฝังจนกลายเป็นภูเขาขนาดเล็ก จึงจำเป็นที่จะต้องค่อยๆที่แงะมันออกมาทีละชิ้น นั่นเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเวลาเป็นอย่างยิ่ง หานเทียนเฟิงจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดความรำคาญขึ้นมา

 

ทั้งสองหาได้ยินดีด้วยไม่ เพราะพวกเขาเองก็ทราบว่าผลึกปราณวายุขนาดใหญ่นั้น หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับพวกเขาไม่ มีแต่เพียงหินปราณวายุเหล่านี้ที่เป็นถึงวัตถุพลังในการต่อสู้ของพวกเขา ทว่าในเวลานี้หานเทียนเฟิงกลับควบคุมเอาไว้ ไม่อาจที่จะปล่อยโอกาสในการเก็บหินปราณวายุไป เพื่อปีนขึ้นไปยังบริเวณที่สูง

 

หลงเฉินกำลังมองทั้งสองคนที่กำลังปีนป่ายขึ้นสู่ภูเขาขนาดเล็กลูกนั้น โทสะที่อยู่ภายในจิตใจก็เดือดขึ้น จึงล้วงเอาบันทึกสีทองออกมาอย่างช้าๆ หมายที่จะทำการปลุกเจ้าตัวขี้เซาตนนี้ให้ตื่นขึ้นนั้นเอง

 

ในขณะที่จ้าวหมิงซานกับสุดยอดฝีมือผู้นั้น กำลังปีนป่ายขึ้นไปยังยอดเขาทั้งยังต้องพยายามต้านทานกระแสลมอันน่าหวาดกลัวที่พัดมาจากภายในผลึกปราณวายุอย่างยากลำบาก และในขณะที่หลงเฉินเตรียมไหลเวียนพลังจิตวิญญาณขึ้นมานั้นเอง

 

ดวงตาคู่หนึ่งที่มีขนาดใหญ่เทียบเท่าห้องหับหลังหนึ่ง ก็ได้ค่อยๆเบิกขึ้นมา รูม่านตาที่อยู่ภายในดวงตาก็ได้เกิดอาการตื่นตัวขึ้นในทันที พร้อมทั้งสาดประกายอันคมกล้าขึ้น

 

 

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset