เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 375 ศึกแห่งความตาย

 

เบื้องหน้าของหลงเฉิน ปรากฎเป็นภาพแอ่งกระทะขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าสามร้อยลี้ ที่กล่าวว่าแอ่งกระทะนั้น แท้จริงแล้วคือบึงน้ำกว้าง ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูงใหญ่ ที่มีความสูงหลายพันจั้ง ตั้งตระหง่านราวกับใบมีดที่ปักคาอยู่บนพื้นดิน และมียอดเขาอยู่สูงทะลุฟ้า

 

ภูเขาใหญ่ที่ล้อมรอบอยู่นั้นทำหน้าที่เสมือนขอบของบึงน้ำ มีพื้นที่ลาดชันที่เป็นส่วนหนึ่งของภูเขา ทำหน้าที่เป็นตลิ่งที่กั้นทั้งสี่ด้าน เมื่อมองจากด้านบนภูเขาลงไปจะพบว่า คล้ายกับบึงน้ำนั้น เป็นรูปวงกลม มีเพียงทางเดินคับแคบทอดตัวจากด้านบนลงไปสู่แอ่งน้ำด้านล่าง

 

ทางเดินนั้นทะลุผ่านด้านหนึ่งของภูเขาออกไปสู่ภายนอก ที่ด้านนอกภูเขานั้นมองเห็นเป็นเศษชิ้นส่วนต้นไม้หักพังเสียหาย กระจัดกระจาย แผ่นดินมีรอยแตกร้าว ดินบนพื้นมีลักษณะเป็นกองดินยกตัวขึ้นเรียงต่อกันเป็นระลอก ราวกับผืนน้ำที่กำลังเกิดระลอกคลื่นก็มิปาน เห็นได้ชัดเจนว่าร่องรอยนั้นพึ่งเกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็ช่วยยืนยันได้ว่า มีการต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

 

หลงเฉินให้ม่งฉีและอีกสามคน ทำตามแผนที่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้ นั่นคือหลบซ่อน เฝ้ารออยู่บริเวณปากทางเข้าคับแคบนั้น ในจุดที่ลับจากสายตา หากมีผู้ที่อยู่ด้านในวิ่งออกมา ก็ยากที่จะมองเห็นผู้ที่ซุ่มตัวอยู่ด้านนอก

 

จากช่องแคบนั้นเป็นทางลาดชันลงไป ทำให้สามารถมองเห็นเส้นขอบฟ้าได้ชัดเจน เส้นทางเล็กๆสายนั้นกว้างไม่เกินสามฉื่อ ยาวร้อยลี้ หลงเฉินเดินลงไปในแอ่งกระทะนั้นอย่างระมัดระวัง และพบว่าหลายสิ่งในที่แห่งนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ที่นี้เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่เก่าแก่สูงตระหง่าน ต้นไม้เหล่านั้นขึ้นเรียงกันในลักษณะวนเป็นเกลียวขึ้นไปด้านบน แตกต่างจากด้านนอกอย่างสิ้นเชิง

 

“เกร๊ง”

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากระยะไกล หลงเฉินเบิกทลายมารขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ เขากระตุ้นเร่งเร้าพลังแห่งจิตวิญญาณให้เฉียบคมขึ้นสิบสองส่วน แล้วเพ่งพลังจิตวิญญาณพุ่งตรงไปหาที่มาของเสียงนั้น

 

เมื่อเพ่งพลังมุ่งไปทางด้านหน้า ไกลออกไปกว่าสิบลี้ หลงเฉินก็พบเงาคนผู้หนึ่ง เงานั้นดูคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเขาเร่งเร้าพลังแห่งจิตวิญญาณมากขึ้นก็พบว่าคนผู้นั้นคือหยินหลอ

 

ในขณะนั้นหยินหลอกำลังกวัดแกว่งหอกยาวสีทองอย่างบ้าคลั่ง พื้นที่ด้านหน้าและรอบตัวเขารายล้อมไปด้วยแมลงสีทองขนาดเท่ากำปั้นจำนวนมาก หยินหลอใช้หอกยาวในมือทุบร่างแมลงสีทองเหล่านั้นอย่างรุนแรง และทันทีที่หอกยาวกระทบตัวแมลง ก็เกิดเสียงดังที่คล้ายเสียงปะทะกันของโลหะดังขึ้นมา

 

ทว่าสิ่งที่ทำให้หลงเฉินต้องตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ เดิมทีพลังอันมหาศาลของหยินหลอนั้น สามารถทุบกำแพงศิลาทลายภูผาหินให้แหลกละเอียดได้ในชั่วพริบตา แต่เมื่อทุบไปบนตัวแมลงสีทองเหล่านั้น กลับทำได้แค่เพียงกระตุ้นให้พวกมันลอยสูงขึ้นจากพื้นเท่านั้น

 

“ด้วงทองคำ”

 

หลงเฉินอดที่จะตกใจไม่ได้ เขาทั้งยินดีทั้งแตกตื่น แมลงทองคำขนาดใหญ่เท่ากำปั้น ลำตัวสะท้อนแสงแวววาวสีทองอร่ามทั่วทั้งตัว แมลงเหล่านี้มีปีกที่โปร่งใสทำให้มันสามารถบินขึ้นจากพื้นได้ สัตว์มายาชนิดนี้คือแมลงทองคำ หรือที่รู้จักกันดีในนามของ ‘ด้วงทองคำ’

 

ด้วงทองคำเป็นสัตว์มายาที่แปลกประหลาด เมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดเท่ากำปั้นและจะไม่มีโอสถภายใน ทว่ากลับมีความน่ากลัวเป็นอย่างมาก

 

นั่นเพราะด้วงทองคำที่โตเต็มที่นั้น สามารถสังหารสัตว์มายาระดับสามได้เลยทีเดียว และอาวุธสังหารที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็คือฟันคมของพวกมัน

 

ด้วงทองคำเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากแร่โลหะทอง และไม่เพียงแต่ ร่างกายทั้งหมดจะถูกประกอบขึ้นมาจากแร่ทองคำที่แข็งแกร่งเพียงเท่านั้น แต่ทองคำเหล่านั้นยังมีคุณสมบัติของความยืดหยุ่นที่ทรงพลังอย่างยิ่งอีกด้วย ทำให้การเผชิญหน้ากับพลังโจมตีภายนอกโดยทั่วไป ไม่สามารถฆ่าพวกมันให้ตายได้

 

และสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดก็คือ เมื่อพวกมันรวมกลุ่มกันจู่โจมสัตว์มายา โดยทั่วไปด้วงทองคำจะรวมตัวกันครั้งละหลายหมื่นตัว มันจะเข้ากัดกินร่างของสัตว์มายา โดยบุกเข้าไปในกระแสโลหิต ยึดเส้นเลือด ดื่มกินโลหิตรวมทั้งกัดแทะหลอดเลือด และหลังจากเข้าไปกัดกินหลอดเลือดบริเวณหนึ่งจนหมด พวกมันจะโยกย้ายเข้าไปกัดกินหลอดเลือดที่อยู่ลึกลงไปในร่างกายของสัตว์มายามากขึ้นเรื่อยๆ

 

เมื่อเห็นเช่นนั้น หลงเฉินก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ว่าเหตุใดหยินหลอจึงต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแมลงที่น่าหวาดกลัวเหล่านี้ ทันใดนั้นเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น และมองไกลไปข้างหน้ามากขึ้นกว่าเดิม ก็เห็นสิ่งที่อยู่สูงขึ้นไปบนภูเขาด้านหนึ่ง เป็นต้นไม้ขนาดเล็กต้นหนึ่ง ที่ทำให้หัวใจของหลงเฉินลิงโลดขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างเปล่งประกายอย่างตื่นเต้น จนแทบจะไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้ร้องตะโกนเสียงดังออกมาได้

 

“ผลกิเลน”

 

หลงเฉินอุทานอย่างดีใจ ภายในใจร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง เขาทุ่มเทเสาะหาผลกิเลนมาเนิ่นนาน ในเวลานี้ก็พบมันปรากฎในสถานที่เร้นลับเช่นนี้แล้ว นี่นับว่าเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งเลยทีเดียว หากจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเมื่อได้รับผลกิเลนหลงเฉินก็สามารถหลอมโอสถแปรแสง เพื่อเบิกจุดดาราแปรแสง และพัฒนาพลังฝีมือให้สูงขึ้นไปได้

 

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง เพื่อควบคุมหัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่ง แล้วพิจารณาดูสถานการณ์ข้างหน้าอย่างรอบครอบ

 

ต้นกิเลนสูงประมาณสามจั้งหกฉื่อ บนต้นมีผลจำนวนสิบกว่าผลติดอยู่ตามกิ่งก้าน ผลกิเลนมีรูปร่างแปลกประหลาด เปลือกนอกคล้ายถูกปกคลุมด้วยเกล็ด ดูราวกับเกล็ดของมังกร

 

ผลกิเลนนั้น มีขนาดเท่ากำปั้น เมื่อหลงเฉินเพ่งมองให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ก็พบว่ามีผลกิเลนจำนวนหนึ่งที่กลายเป็นสีทอง และนั่นคือผลที่สุกแล้ว ซึ่งสามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการหลอมโอสถแปรแสงได้ แต่ทว่ากลับมีเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น

 

ในตอนนี้หลงเฉินตื่นเต้นจนแทบอดใจไม่ไหว เขาอยากพุ่งตรงเข้าไปฉกฉวยผลไม้สีทองนั้นในทันที แต่ทว่าเขาต้องยับยั้งความปรารถนานั้นไว้ นั่นเป็นเพราะต้นกิเลนที่เห็นอยู่ในตอนนี้นั้น เจริญเติบโตอยู่บนก้อนหินด้านบนสุดเหนือถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งในถ้ำนั้นมีด้วงทองคำจำนวนมาก อยู่อย่างหนาแน่น และพวกมันกำลังบินออกมาด้วยความโกรธเกี้ยว พุ่งตรงเข้าใส่หยินหลอ

 

นั่นเอง ทำให้หลงเฉินเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาได้ หยินหลอนั้นต้องการที่จะฉกฉวยเอาผลกิเลน แต่ทว่าต้นไม้นั้นขึ้นอยู่เหนือถ้ำ ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของด้วงทองคำ และด้วงทองคำเหล่านั้นไม่ยินยอมให้หยินหลอเข้าใกล้รังของพวกมัน จึงพุ่งโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่ง และหยินหลอนั้น คงจะเกรงกลัวว่าจะทำให้ต้นและผลกิเลนได้รับความเสียหาย จึงไม่กล้าใช้พลังโจมตีที่รุนแรง ทำได้แต่เพียงใช้หอกยาวทุบตีตัวแมลงเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง

 

ถึงแม้ว่าหยินหลอจะไม่สามารถทุบตีด้วงทองคำให้ตายได้ แต่ทว่าเมื่อด้วงทองคำถูกทุบอัดเข้ากำแพงของภูผาหินที่แข็งแกร่งก็ทำให้พวกมันมึนงง และไม่สามารถเข้าจู่โจมเขาได้ เมื่อสังเกตบริเวณพื้นโดยรอบกำแพงที่เป็นหินนั้น จะพบด้วงทองคำจำนวนหลายร้อยตัวนอนแผ่อย่างมึนงงอยู่

 

พลันหลงเฉินก็คิดขึ้นมาในใจว่า : น่านับถือในความอดทนของหยินหลอผู้นี้ยิ่งนัก คิดว่าฉลาดแล้วกับวิธีโง่งมเช่นนี้

 

ในที่สุดภายใต้ความอดทน และความพยายามอย่างไม่ย่อท้อของหยินหลอ เมื่อเวลาผ่านไปด้วงทองคำที่อยู่ในถ้ำก็บินออกมาด้วยจำนวนที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ และหลังจากที่ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม เขาก็สามารถจัดการด้วงทั้งหมดได้

 

หยินหลอถอนหายใจอย่างโล่งอก ด้วงทองคำนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หากถูกฟันคมๆนั้นกัด แม้เพียงเล็กน้อยก็จะเจ็บปวดทรมานอย่างไม่สิ้นสุด

 

การทุบตีด้วงทองคำที่แข็งแกร่งบนก้อนหินทีละตัวเป็นงานที่สิ้นเปลืองพละกำลังและสูญเสียเวลามากยิ่งนัก แม้ว่าจะเป็นผู้มีพลังแข็งแกร่งเช่นหยินหลอ แต่การออกแรงทุบตีสัตว์มายาติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็ยังทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าไม่น้อยเลยทีเดียว

 

แต่ทว่าเพียงแค่มองเห็นต้นและผลกิเลนที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้ ก็ทำให้รู้สึกว่าแรงกายแรงใจที่มุ่งมั่นทุ่มเทลงไปนั้นนับว่าคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่งแล้ว

 

ผลกิเลนนั้นถูกกล่าวขานว่าเป็นผลไม้วิเศษ ผลที่สุกงอมอย่างเต็มที่ สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบสำหรับหลอมเป็นยาโอสถชั้นยอด ที่มีสรรพคุณในการเพิ่มประสิทธิภาพและส่งเสริมพลังแห่งจิตวิญญาณของผู้คนได้

 

ก่อนหน้านี้ หยินหลอมองเห็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศสามคนกำลังเดินทางไปตามเส้นทางที่เล็กและแคบ เพื่อเข้าสู่แอ่งกระทะแห่งนี้ ในเวลานั้นตัวเขาเองยืนมองจากบริเวณที่อยู่ไกลออกไป ในตอนแรกที่เห็นก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจมากนัก แต่ทว่าก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคนเหล่านั้นเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศ และมีถึงสามคน มุ่งมั่นเดินทางเข้าสู่แอ่งกระทะในหุบเขาเช่นนี้ ก็ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าพื้นที่แห่งนั้นอาจมีสมบัติล้ำค่าปรากฎอยู่ ดังนั้นจึงตัดสินใจสะกดรอยตามคนเหล่านั้นไป

 

ระหว่างทางหยินหลอได้ยินสิ่งที่ผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศทั้งสามถกเถียงกัน ทำให้เขาทราบว่าผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศหนึ่งในสามคนนั่น ค้นพบสมบัติล้ำค่าในพื้นที่ของแอ่งกระทะ แต่ไม่สามารถนำกลับออกมาได้ จึงขอให้อีกสองคนมาช่วยเหลือ

 

ไม่นานนักพวกเขาทั้งสามก็สังเกตเห็นว่ามีผู้สะกดรอยตามมา จึงกล่าวท้าทาย หมายจะเปิดศึกสังหารคนผู้นั้น

 

แต่เมื่อพวกเขาพบว่าคนที่ตามมานั้น เป็นหยินหลอ ก็เกิดความหวาดกลัว รีบหลบหนีไป เมื่อหยินหลอเห็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศนั้นหลบหนีไป ในตอนแรกก็คร้านที่จะตามไปฆ่าคนพวกนั้น คิดว่าจะปล่อยพวกเขาไปเสีย แต่ทว่าในตอนนั้นเองเขาก็มองเห็นผลกิเลนที่อยู่ไกลออกไป จึงเปลี่ยนความคิด รีบลงมือสังหารผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศทั้งสามที่กำลังหลบหนีออกจากแอ่งกระทะนั้น

 

ทว่าสิ่งที่หยินหลอคาดไม่ถึงก็คือ หนึ่งในผู้มีพรสวรรค์ชั้นเลิศสามคนนั้น สามารถรอดจากเงื้อมมือของเขาไปได้ และยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อหลบหนีไปได้เพียงครึ่งทางก็ไปพบกลับหลงเฉิน

 

เมื่อหยินหลอเข้าไปใกล้ต้นกิเลนมากขึ้น เขาก็พบว่าต้นไม้นี้ขึ้นอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือนกระถาง และหินก้อนนั้นยังวางอยู่บนยอดของกองหินที่สูงมาก

 

“นี่ช่วยประหยัดพละกำลังได้ไม่น้อย” หยินหลอลอบยิ้มบางๆ ตาเป็นประกาย ทั่วทั้งบนใบหน้าและในแววตาไม่อาจระงับความตื่นเต้นเอาไว้ได้ ในตอนนี้ขอเพียงแค่ยกกระถางหินนั้นมาก็สามารถเก็บต้นกิเลนมาได้ทั้งต้นแล้ว ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงๆหนึ่งดังแทรกขึ้นมาจากทางด้านหลัง

 

“มันช่วยประหยัดพละกำลังข้าได้ไม่น้อยเหมือนกัน”

 

หยินหลอตกใจ เขารีบหันกลับไปดูที่มาของเสียงนั้น

 

“ผลัวะ”

 

พลันหยินหลอก็รู้สึกถึงฝ่ามือข้างหนึ่งปะทะเข้าที่แก้มซีกหนึ่งของเขา พร้อมกันนั้นเขาก็รับรู้ถึงพลังมหาศาลที่ถูกส่งออกมาพร้อมกันด้วย พลังที่รุนแรงนั้นทำให้ตัวเขาถูกซัดลอยห่างออกไป

 

การโจมตีด้วยฝ่ามือนั้นรวดเร็วยิ่งนัก ทำให้หมัดที่หยินหลอซัดออกไป ทำได้เพียงอัดเข้าใส่ความว่างเปล่าเท่านั้น เห็นดังนั้นหลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทักษะการตบหน้าระดับเทพเซียนของเขา ในใต้หล้านี้ล้วนไร้ผู้เทียมทาน นี่นับได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงแล้ว

 

เมื่อมียอดฝีมือหรือคนผู้ใดที่ขวัญกล้ามาทำให้หลงเฉินอารมณ์เสีย สิ่งที่ช่วยระบายอารมณ์ของเขาได้ดีที่สุดคือการได้ซัดใบหน้าคนผู้นั้นด้วยฝ่ามือของเขา โดยไม่ต้องพึ่งพาการไหลเวียนพลังลมปราณหรือเคล็ดวิชาใดๆ ใช้แต่เพียงหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น แต่ถึงแม้ว่า หลงเฉินจะเชื่อมั่นว่าทักษะการตบหน้าของเขาเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่เมื่อใช้กับหยินหลอแล้ว เขากลับไม่มั่นใจถึงผลลัพธ์ที่จะออกมามากนัก ทว่าคาดไม่ถึงว่ามันจะใช้ได้ผล

 

หลงเฉินยิ้มน้อยๆ ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดๆออกมา ทำเพียงแต่รีบเก็บต้นไม้ที่อยู่บนหินนั้นเข้าไปในแหวนมิติแห่งชีวิต ในตอนนี้ตัวเขาอดที่จะรู้สึกโล่งใจไม่ได้ นี่นับว่าเขายังพอมีโชคอยู่บ้าง ที่ไม่ได้สวมแหวนมิติแห่งชีวิต และแหวนมิติวงอื่นๆเอาไว้ที่นิ้วมือ

 

โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนมักจะสวมแหวนมิติไว้บนนิ้วมือ เพื่อใช้ในการเก็บสิ่งของจำเป็นต่างๆ รวมไปถึงเก็บรักษาสิ่งของมีค่าเอาไว้กับตัว แต่เนื่องจากแหวนมิติไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากมายนัก ดังนั้นหากแหวนมิติถูกทำลายไปสิ่งของที่ถูกเก็บอยู่ภายในก็จะถูกทำลายไปด้วย เขาจึงเลือกเก็บแหวนมิติเอาไว้ที่อื่น และการออกแรงตบของหลงเฉินนั้นก็มีความรุนแรงอยู่ไม่น้อย หากเขาสวมแหวนมิติเอาไว้ก็อาจจะทำให้แหวนเกิดความเสียหายได้

 

“หลงเฉิน!”

 

หลังจากถูกตบจนกระเด็นลอยออกไป หยินหลอก็รีบทำให้ร่างกายกลับสู่สภาพเดิม และเมื่อหันกลับไปดู เขาก็อดไม่ได้ที่จะมีโทสะขึ้นมายกใหญ่ เพราะภาพที่เห็นตรงหน้า คือหลงเฉินกำลังฉกฉวยเก็บเอาต้นกิเลนของเขาไปต่อหน้าต่อตา

 

หยินหลอจ้องเขม็งด้วยความโกรธแค้น เพลิงโทสะลุกโชนในดวงตาทั้งสองข้างราวกับสามารถแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในสายตาได้ ตัวเขาเองเพียรพยายามอย่างยากลำบากมานานกว่าสองชั่วยามเพื่อให้ได้วัตถุดิบล้ำค่า แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดที่ต้นไม้นั้นอยู่แค่เอื้อมกลับมีตัวโง่งม เจ้าโจรชั่วช้า กำลังจะเด็ดลูกท้อไป หยินหลอโกรธจัด เขาสูดลมหายใจเข้าออกอย่างแรงจนปอดแทบระเบิด

*เด็ดลูกท้อเป็นสำนวนเปรียบเปรย หมายถึง ชุบมือเปิป

 

“เหวย เหวย เหวย เจ้าอย่าได้โกรธไปเลย ครั้งที่แล้วตอนที่เจ้าตามฆ่าข้า ข้ายังไม่ได้ว่าอะไรเจ้าแม้แต่น้อย ต้นกิเลนนี้ก็ถือซะว่าเป็นการแสดงความสำนึกผิดต่อข้าก็แล้วกัน” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แววตาเต็มไปด้วยแววสนุกสนานเยาะหยั่น

 

“ส่งต้นไม้นั้นมาให้ข้า!”

 

หยินหลอแผดเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด พร้อมกันนั้นทั่วทั้งร่างกายก็ระเบิดพลังสภาวะอันมหาศาลออกมา เส้นผมยาวสีดำขลับพริ้วไสวประดุจการจุติของเทพปีศาจ พลังสภาวะที่ปะทุออกมานั้นทำให้อากาศโดยรอบสั่นไหวอย่างรุนแรง พลังแรงกดดันมหาศาลอัดแน่นในบรรยากาศ อานุภาพรุนแรงที่น่าหวาดหวั่นของสภาวะพลังนั้น ทำลายต้นไม้ที่อยู่โดยรอบจนหมดสิ้น

 

หยินหลอโกรธอย่างถึงขีดสุด ต้นกิเลนเป็นสมบัติล้ำค่า เป็นวัตถุดิบล้ำค่าที่สามารถเพิ่มพูนพลังแห่งจิตวิญญาณได้ เปรียบได้กับสมบัติจากสวรรค์ ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์แย่งชิงไปจากเขาได้

 

ทันใดนั้นหยินหลอก็ซัดหอกยาวสีทองในมือพุ่งเข้าใส่หลงเฉินทันที การออกกระบวนท่าของหยินหลอเพียงครั้งเดียว ก็สั่นสะเทือนไปทั้งสวรรค์และโลกหล้า เปลี่ยนสีทั้งผืนพสุธาและแผ่นปฐพี เกิดลำแสงสว่างเจิดจ้าสูงถึงยอดเขา

 

เห็นได้ชัดว่าการโจมตีของหยินหลอแม้เพียงครั้งเดียวก็ราวกับว่าสามารถทำลายได้ทั้งโลกและสวรรค์ เมื่อได้เผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ของหยินหลอ ใบหน้าของหลงเฉินก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา

 

หลงเฉินสะบัดดาบพุ่งตัวไปข้างหน้า ดาบทลายมารในมือของเขาในตอนนี้ เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วท้องฟ้า พลังสภาวะอันมหาศาลขุมใหญ่ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างหนักหน่วงราวกับคลื่นยักษ์ภายใต้การซัดพลังของดาบนี้

 

“ตูม!”

 

เสียงระเบิดพลังของหลงเฉินดังสะเทือนเลื่อนลั่น ภูเขาหินสั่นสะเทือนบางส่วนพังทลายลงมา เศษก้อนหินแตกกระจัดกระจายร่วงหล่น แรงระเบิดทำให้ต้นไม้บริเวณโดยรอบถูกทำลาย และบางส่วนยืนต้นตายในทันทีเมื่อถูกคลื่นแห่งอานุภาพของพลังสภาวะที่น่ากลัวพัดผ่าน

 

“เจ้าตามฆ่าข้าเมื่อครั้งที่แล้ว จนข้าเกือบไม่รอด คราวนี้ถึงตาข้าบ้างแล้ว”

 

หลงเฉินตะโกนกึกก้อง ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความแค้นเคือง เมื่อหวนนึกถึงครั้งที่ถูกหยินหลอไล่ล่า จนทำให้ในที่สุดเขาเกือบต้องตายด้วยน้ำมือของเจียงอี้ฟ่าน ทลายมารในมือถูกซัดตัดผ่านอากาศออกไป ทั้งรวดเร็วและดุดัน มองดูราวกับสายฟ้าแลบ แฝงเอาไว้ด้วยรังสีสังหารเข้มข้นมุ่งหมายเอาชีวิตหยินหลอ

 

“ตูม!”

 

หยินหลอใช้หอกยาวในมือสกัดกั้นทลายมารที่พุ่งเข้ามาของหลงเฉิน อานุภาพของแรงปะทะทำให้เกิดการระเบิดเสียงดังสนั่น บนใบหน้าของหยินหลอปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็คิดบัญชีเก่ามาให้หมด วันนี้มาสู้กันให้รู้ดำรู้แดงไป”

 

“ตูม!”

 

หลงเฉินเบี่ยงศรีษะหลบหอกยาวของหยินหลอที่แทงสวนกลับมา แล้วใช้ทลายมารในมือฟาดฟันเข้าใส่หอกนั้น อย่างรวดเร็วและหนักหน่วง จนทำให้หยินหลอต้องก้าวถอยหลังหลบหนีการโจมตีของหลงเฉินไปหลายก้าว

 

“เช่นนั้นก็มาสู้กันซึ่งหน้า แสดงพลังที่แท้จริงออกมา เลิกพึ่งพาพลังที่ไม่ใช่ของเจ้าได้แล้ว หากเป็นเพียงพลังของเจ้า ข้าย่อมเอาชนะได้อย่างแน่นอน วันนี้เจ้าจะต้องพ่ายแพ้แก่ข้าแล้ว” หลงเฉินเองก็ถอยออกมาเล็กน้อยเพื่อตั้งหลัก ดาบทลายมารพาดอยู่บนไหล่ข้างหนึ่ง กล่าวท้าทายหยินหลอด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

 

“หึ หยุดกล่าววาจาโอ้อวดเสียที ข้าหยินหลอ ในชีวิตฆ่าผู้คนนับไม่ถ้วน ชื่อเสียงเกียรติยศทั้งหมดล้วนมาจากทักษะที่แท้จริงในการต่อสู้”

 

“เจ้าคิดว่าข้าโง่อย่างนั้นหรือ น่าตลกเสียจริง เจ้ายังคิดอยู่หรือว่าจะปิดหูปิดตาผู้อื่นได้ หากคิดว่าข้าเป็นกบในกะลา เจ้าก็คิดผิดแล้ว”

 

“วันนี้เป็นวันตายของเจ้า ที่แห่งนี้แวดล้อมด้วยเขาเขียวน้ำใส เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับฝังกระดูกของเจ้า นี่นับเป็นโชคของเจ้าแล้ว!” หยินหลอกวัดแกว่งหอกยาว กระตุ้นพลังสภาวะขึ้นมาจากภายในร่างกายอย่างต่อเนื่อง

 

“ซูม”

 

พื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด กระแสพลังถูกโหมกระพือ แผ่กระจายไปทั่วสี่ทิศแปดด้าน

 

ในเวลานี้เขาเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นระดับสูงสุดแล้ว อีกเพียงแค่ก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูกได้แล้ว ในใจของหลงเฉินจึงรู้สึกราวกับว่ากำลังจะระเบิดออกมา

 

ถึงแม้ว่าพลังฝีมือและพรสวรรค์ที่แท้จริงจะยังไม่ได้ถูกปล่อยออกมาทั้งหมด แต่เขาก็พร้อมจะมุ่งเข้าสังหาร ไม่ว่าจะเป็นพลังที่เกิดจากการฝึกฝนหรือมาจากพรสวรรค์ในการต่อสู้ ทั้งหมดนี้ล้วนไม่มีผู้ใดเทียบได้

 

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง ไหลเวียนลมปราณขึ้นมาจากจุดดารากักวายุใต้ฝ่าเท้าไม่หยุด พลังอันมหาศาลหมุนวนออกมาจากดารากักวายุไหลเวียนไปทั่วร่างกายอย่างบ้าคลั่งราวกับคลื่นยักษ์จากมหาสมุทรกำลังโหมกระหน่ำสาดซัดชายฝั่งอย่างรุนแรง

 

พลังสภาวะที่หนักหน่วงทำให้อากาศเกิดการสั่นไหวไม่หยุด ก่อให้เกิดกระแสลมปั่นป่วนที่รุนแรง

 

ชายอาภรณ์ของหลงเฉินโบกสะบัด พร้อมกับผมยาวดำขลับปลิวพลิ้วไหวลอยระบำไปตามกระแสพลังมหาศาล หลงเฉินใช้ทลายมารในมือชี้หน้าหยินหลอ แล้วกล่าวท้าทาย

 

“เข้ามา! สู้กันให้ตายไปข้าง!”

.

.

ช่องทางการจัดจำหน่าย : https://novelrealm.com/detail.php?novel=22 <<< (ถึงตอนที่ 1335 แล้วครับ)

ฝากกดติดตามหรือกดLikeเพจเคล็ดกายานวดาราด้วยครับ >>> 9 ดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset