เคล็ดกายานวดารา (Lc by Novel Kingdom) – ตอนที่ 282 พิฆาต เย้ยจำ ต้อง สังหาร

 

“หลงเฉิน ถ้าหากเจ้ากล้าหลอกข้าอีก ข้าจะฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน”

 

ผู้อาวุโสซุนได้ทอแววตาแดงซ่านขึ้นมา ต่างก็เห็นได้ชัดว่ามืดมนอย่างถึงที่สุด คล้ายกับผีดิบที่ตายไปนานหลายปี แล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วยความอาฆาตแค้นก็มิปาน

 

ถึงแม้ครั้งนี้หลงเฉินจะให้นามของวัตถุดิบไปเพียงแค่เจ็ดชนิด ต่อให้ตัดผลกิเลนออกไปแล้ว ก็ยังเหลืออยู่อีกถึงหกชนิด

 

ทั้งหกชนิดนี้ ถือได้ว่าเป็นวัตถุดิบที่เก่าแก่อย่างถึงที่สุด และหาได้ยากโดยทั่วไป จะมีก็แต่เพียงสาขาหลักของสำนักใหญ่ที่สืบทอดกันมาหลายสิบหมื่นปีเท่านั้น แต่ก็ยังมีเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นเอง

 

เนื่องจากจำนวนที่มีน้อย ดังนั้นราคาย่อมสูงขึ้น ด้วยราคาของวัตถุดิบทั้งหกชนิดนั้น เมื่อเทียบกับที่เสียไปในครั้งที่แล้วเรียกได้ว่าราคาสูสีกันเลยทีเดียว

 

เดิมทีผู้อาวุโสซุนได้ใช้แต้มคุณประโยชน์ที่มีอยู่ไปจนหมดแล้ว แต่เพื่อที่จะได้ครอบครองวิชาทักษะให้ครบสมบูรณ์ได้ จึงได้นำเอาหนังสือล้ำค่า เพชรพลอย ยาโอสถที่ตนเองเก็บเอาไว้ไปขายให้แก่ผู้อาวุโสคนอื่นๆจนหมด

 

แม้แต่กระบี่ล้ำค่าที่อยู่ในมือของเขาก็ขายไปจนหมดสิ้น เหลือก็เพียงแค่ที่พัก และก็ไม่เหลืออะไรที่จะนำไปขายได้อีก ทำให้ในที่สุดเขาจึงรวบรวมรายการที่หลงเฉินต้องการมาได้

 

ขณะนี้ภายในหัวของผู้อาวุโสซุนเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง เพื่อให้ได้ครอบครองวิชาทักษะชุดนี้ของหลงเฉิน เรียกได้ว่าเขาทุ่มสมบัติทุกอย่างไปจนหมดเลยทีเดียว

 

“วางใจเถอะ ข้าหลงเฉินถือเป็นคนที่ทำตามสัญญาอย่างแน่นอน”

 

เมื่อหลงเฉินได้ตรวจแหวนมิติอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าภายในนั้นเป็นกลิ่นของโอสถแปรแสง แต่ทว่าในตัวของการหลอมโอสถแปรแสงนั้นกลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง

 

ทั้งการแบ่งส่วนผสมหลัก และตัวยาที่ใช้หนุนเสริม ตอนนี้หลงเฉินขาดก็เพียงแต่ตัวยาหลักอย่างผลกิเลนเพียงอย่างเดียว ก็จะสามารถที่จะหลอมรวมโอสถแปรแสงขึ้นมาได้แล้ว

 

หลังจากได้ดูอายุขัยของวัตถุดิบว่าไม่มีปัญหาแล้ว หลงเฉินก็ได้นำเอาเพทายทมิฬชิ้นสุดท้ายในมือ โยนให้แก่ผู้อาวุโสซุน

 

“การแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราสองคนถือว่าไม่ติดค้างอะไรกันแล้ว ขอลาละ” หลงเฉินกล่าวจบก็เกิดความเบิกบานและนำเอาแหวนมิติจากไป

 

และก็เป็นเหมือนกับเพทายทมิฬอื่นๆ ทว่ารอยสลักที่ด้านบนของเพทายทมิฬชิ้นนี้กลับมีความลับที่มากมายกว่าส่วนหนึ่ง ที่ด้านหลังของเพทายทมิฬสลักเอาไว้ด้วยคำว่า——จำต้อง

 

“พิฆาต” “เย้ย” “จำต้อง” “สังหาร”

 

“ช่างเป็นนามที่ยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน”

 

ผู้อาวุโสซุนมองดูเพทายทมิฬในมือ ที่บนใบหน้าก็ได้ปรากฏความลิงโลดจนแทบคลั่งออกมา ในที่สุดก็ได้มาครอบครองแล้ว

 

หลังจากที่เกิดความลิงโลดขึ้นมา ภายในแววตาก็ได้ปรากฏความดุร้ายขึ้นมา มองไปยังทิศทางที่หลงเฉินจากไป กล่าวขึ้นมาอย่างเยือกเย็นว่า

 

“หลงเฉิน เจ้ารอก่อนเถอะ ของๆข้ามิใช่สิ่งที่เจ้าจะเอาไปได้ง่ายๆ”

 

ผู้อาวุโสซุนกล่าวจบ ก็หายไปจากจุดเดิม ย้อนกลับไปยังที่พักของตนเอง เพื่อที่จะไปฝึกปรือ

 

เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนในหมู่ตึกก็เริ่มที่จะค่อยๆมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เหล่าบรรดาลูกศิษย์ที่เก็บตัวกันต่างก็พากันออกมา ตอนนี้ทางหมู่ตึกจึงได้เริ่มที่จะคึกคักขึ้นมาอีกครั้งแล้ว

 

สิ่งที่ทำให้ถู๋ฟางยินดีก็คือ บรรดาศิษย์โดยส่วนมากที่ออกมาจากการเก็บตัวในครั้งนี้ต่างก็เลื่อนขั้นระดับพลังกันอีกขั้นแล้ว ลูกศิษย์แปดร้อยกว่าคนกลับมีมากกว่าครึ่งที่ได้พัฒนาระดับพลังจนถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่สี่กันแล้ว

 

ส่วนเยี่ยจื่อชิว กู่หยาง ซ่งหมิงแหย่นและบรรดาศิษย์สายตรง ได้พัฒนาจนถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่ห้ากันแล้ว

 

คนที่น่ากลัวที่สุดก็คงจะเป็นถังหว่านเอ๋อ ถึงกับทะลวงพลังจนเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่หกได้โดยที่นางไม่รู้ตัวเลย และอีกเพียงแค่ก้าวเดียว ก็จะสามารถพัฒนาจนถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนปลายได้

 

ถังหว่านเอ๋อที่ถือเป็นหนึ่งในบรรดาศิษย์ใหม่จากทั่วทั้งหมู่ตึก กลับมีพลังการฝึกปรือที่สูงส่งที่สุดคนหนึ่ง จนคนมากมายต่างก็คิดว่าการที่ถังหว่านเอ๋อพัฒนาพลังได้เร็วจนถึงเพียงนี้ ย่อมต้องเกิดจากการที่นางได้ช่วงชิงพลังจากต้นตระกูลมานั้นเอง

 

เพราะหลังจากที่นางได้ดูดกลืนพลังจากต้นตระกูลไป ก็เห็นได้ชัดว่าแทบจะไม่มีสิ่งใดติดขัดในระหว่างพัฒนาพลังเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังไม่ส่งผลเสียอะไรต่อรากฐานเลยด้วยซ้ำ

 

ที่น่ากลัวที่สุดคือ หลังจากที่ถังหว่านเอ๋อได้ดูดกลืนพลังจากต้นตระกูลไปแล้ว พลังแห่งวายุของนางก็ยิ่งพิสดารขึ้นมา เดิมทีที่คมวายุเป็นสีขาว ขณะนี้ก็ได้เปลี่ยนจนกลายเป็นโปร่งใสไปจนหมด

 

ส่วนการลงมือกลับยิ่งเร็วดุจสายฟ้า ไปมาไร้ร่องรอย ถึงขนาดยังไม่ทันได้เห็นคมวายุ ก็ถูกคมวายุฟาดฟันเข้าใส่แล้ว นี่จึงเป็นความน่ากลัวของผู้อยู่เหนือขอบเขต

 

มีคนคาดเดาเอาไว้ว่า ในเวลานี้ถังหว่านเอ๋อ อาจจะน่ากลัวยิ่งกว่าหยินหลอเมื่อครั้งต่อสู้กันที่สนามรบเสียอีก เพราะพลังการฝึกปรือของหยินหลอในเวลานั้น ยังอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนต้นระดับสูงสุดเท่านั้น

 

ในเวลานี้ถังหว่านเอ๋อได้เข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลางระดับสูงสุด ทว่าหากมีคนเอ่ยถึง กระบวนท่าสุดท้ายของหยินหลอเมื่อวันนั้น ทุกผู้คนกลับเงียบไปเลย

 

เพราะกระบวนท่าสุดท้ายของหยินหลอนั้น ช่างน่าหวาดกลัวจนเกินไปแล้ว จนม่อเนี่ยนกับหลงเฉินต้องร่วมมือกันจึงค่อยฝืนรับเอาไว้ได้

 

ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต่างก็ยอมรับกัน นั้นก็คือยอดฝีมือที่จัดอยู่ในระดับสุดยอดรุ่นเยาว์ของทางหมู่ตึก ก็คือหลงเฉินกับถังหว่านเอ๋อนั้นเอง

 

หากทั้งสองไม่ลองสู้กันสักครั้ง ก็ไม่มีผู้ใดที่จะทราบผลลัพธ์ได้ ว่าแท้จริงแล้วหลงเฉินกับถังหว่านเอ๋อผู้ใดแข็งแกร่งกว่ากัน

 

แต่หากคิดที่จะให้ทั้งสองสู้กันนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ยากจนแทบไม่ต่างกับการปีนขึ้นสวรรค์ เนื่องจากทั้งสองคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเป็นอย่างยิ่ง ทั่วทั้งหมู่ตึกจะมีใครบ้างที่จะไม่ทราบ

 

รองจากหลงเฉินกับถังหว่านเอ๋อแล้ว คนที่มีพลังการต่อสู้ที่มากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นกู่หยาง นับตั้งแต่ที่หลงเฉินได้นำหอกยาวของหยินหลอให้แก่เขาไป ก็ได้ทำให้พลังการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นมาเท่าทวี

 

ถึงแม้ในตอนแรกจะยังไม่สามารถถือหอกยาวได้ แต่หลังจากที่ได้เลื่อนระดับพลังจนเข้ามาถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่ห้า ทั้งได้กระตุ้นพลังอักขระ ทำให้พอที่จะสามารถใช้หอกยาวเล่มนี้ได้

 

เดิมทีเยี่ยจื่อชิวที่หยิบยืมพลังจากสายน้ำแข็ง ยังพอที่จะสามารถต่อกรกับกู่หยางได้ แต่เป็นเพราะอาวุธที่มีความโดดเด่น ทั้งสองคนสู้กันสามครั้ง กู่หยางกลับชนะถึงสองในสาม จนสามารถที่จะกดดันเยี่ยจื่อชิวเอาไว้ได้

 

ศิษย์สายตรงโดยส่วนมากจะแบ่งออกเป็นสามระดับ ระดับของลำดับแรก ก็คือคนที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดอย่างหลงเฉินและถังหว่านเอ๋อ

 

พลังการต่อสู้ของพวกเขาทั้งสองคน ทำให้ทุกคนต่างก็คร้านที่จะนำมาเป็นหัวข้อสนทนาแล้ว เพราะหาได้อยู่ในระดับเดียวกันไม่ สนทนาไปก็ไร้ความหมาย

 

ในลำดับที่สอง ก็คือเยี่ยจื่อชิวกับกู่หยาง พลังการต่อสู้ของทั้งสองคน เมื่อเทียบกับศิษย์สายตรงคนอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเหนือกว่าอยู่ขุมหนึ่ง

 

และในลำดับที่สาม ก็คือระดับทั่วไป เพราะศิษย์สายตรงที่เหลือ ต่างก็มีพลังการต่อสู้ที่ไม่ต่างอะไรกันมากนัก หากสู้กันก็คงอาศัยเพียงโชคเท่านั้น

 

คงไม่มีผู้ใดที่จะไปทำเช่นนั้น หรือกล่าวได้ว่าเป็นเพราะหลงเฉินพยายามไม่ให้ทุกคนเกิดการแย่งชิงกัน เพราะจะกลายเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของพวกเขาเอง

 

หากเป็นก่อนหน้านี้ พวกเขาคงไม่เข้าใจถึงความหมาย แต่หลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายมา อย่างน้อยพวกเขาก็พอที่จะทราบถึงความหมายในคำพูดของหลงเฉินกันแล้ว

 

การต่อสู้ครั้งนี้ ทำให้พวกเขาทราบว่า การประลองยุทธ์กับการต่อสู้แทบจะคนละเรื่องกันเลยด้วยซ้ำ การประลองนั้นมีแต่เพียงความงดงาม

 

ส่วนการต่อสู้ มีเพียงเป้าหมายเดียว คือการเอาชีวิตของอีกฝ่าย เพราะถ้าเจ้าไม่เอาชีวิตผู้อื่น ผู้อื่นจะเป็นฝ่ายเอาชีวิตของเจ้าไปแทน

 

ที่แล้วมาในศึกครั้งใหญ่ธรรมะอธรรม แม้ฝ่ายธรรมะจะมีจำนวนคนที่มากมาย แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงต้องพ่ายให้แก่ฝ่ายอธรรมอยู่ดี นั้นก็อาจจะเป็นเพราะพวกเขานั้นเคยชินต่อกลยุทธ์การต่อสู้เช่นนั้นนั่นเอง

 

ทางฝ่ายอธรรมมีหรือที่จะสนใจว่าเจ้าจะออกกระบวนท่าออกมากี่ท่า และยิ่งไม่คิดที่จะสนใจว่าเบื้องหลังของเจ้าจะเป็นผู้ใด เพียงแค่ลงมือก็หมายที่จะเอาชีวิตของเจ้าแล้ว

 

พวกเขาเพิ่งเคยพบการต่อสู้ที่โหดร้าย ว่าผู้ใดจะสามารถที่จะมีชีวิตรอดต่อไปได้ ดังนั้นหลงเฉินจึงได้ใช้เวลาในช่วงสั่นๆ มิให้พวกเขาทำการประลองกันก่อน ให้พวกเขาสามารถที่จะจดจำความรู้สึกเช่นนั้นเอาไว้ เพื่อมิให้กลับไปเคยชินกับสภาพที่เป็นอยู่แต่เดิม

 

ช่วงเวลาในการประลองยุทธ์ ไม่สามารถที่จะลงมือฆ่าคนได้ ทำให้ไม่อาจที่จะจดจำอีกฝ่ายเป็นศัตรูได้ ดังนั้นการประลองเช่นนี้ ย่อมไม่อาจที่จะเพิ่มพูนพลังในการต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างถึงที่สุด ในทางกลับกันกลับจะยิ่งทำให้พลังในการฆ่าสังหารของพวกเขาลดทอนต่ำลงอย่างถึงที่สุด

 

ทว่าศิษย์สายตรงเหล่านั้นกลับไม่ได้เป็นเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างก็เข้าใจถึงแกนสารของการต่อสู้ที่มากกว่า จึงสามารถที่จะควบคุมสถานะการณ์ในการต่อสู้ได้ดีเป็นอย่างยิ่ง

 

ดังนั้นหลงเฉินจึงได้ตั้งกฎขึ้นมาว่า ใครสามารถที่จะทำได้ พวกเจ้าก็มา หากไม่สามารถทำได้ ก็จงอยู่อย่างสงบเสงี่ยมว่าง่ายให้แก่ข้าเสีย เพื่อที่จะไม่ให้ประโยชน์ที่ได้รับจากการต่อสู้สลายหายไป

 

ขณะนี้ในใจของศิษย์ทั้งหมด หลงเฉินแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากเทพเซียน วาจาของเจ้าสำนัก วาจาของหลงเฉินถือได้ว่าเป็นเสมือนดั่งวาจาที่ลั่นมาจากปากของเทพยาดา ไม่มีผู้ใดที่จะไม่ฟังได้

 

โดยส่วนมากแม้จะออกมาจากการเก็บตัวฝึกฝนแล้ว แต่ผู้คนโดยส่วนมาก ต่างก็เลือกที่จะคงสภาวะขอบเขตในระดับสูงสุดต่อไป หรือไม่ต่างก็จับกลุ่มสนทนาปราศัยกัน เพื่อทำการแลกเปลี่ยนศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นมาระหว่างการต่อสู้

 

การต่อสู้ในฉากนี้ ถือได้ว่าเป็นการจัดอันดับกำหนดพลังการต่อสู้ของทางหมู่ตึกได้เลยทีเดียว แน่นอนว่าไม่อาจปล่อยโอกาสเช่นนี้ให้หลุดลอยไปอีกครั้งแน่นอน

 

แม้ในอนาคตพวกเขาจะต้องแยกจากกัน เพื่อกลับไปยังตระกูลของตน แต่ว่าพวกเขาก็ย่อมสามารถที่จะกล่าวออกมาด้วยความกล้าหาญได้ว่า ในการต่อสู้ครั้งใหญ่นั้น ตัวข้าพเจ้าเองก็มีส่วนร่วมด้วย

 

เพิ่งจะผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่ ทั้งพลังยังเพิ่มพูนขึ้นมา พวกเขาจำเป็นที่จะต้องเก็บออมพลังขอบเขตเอาไว้ ในช่วงเวลานี้จึงยังไม่จำเป็นจะต้องมุ่งเน้นไปทางด้านวิถีแห่งยุทธ์มากนัก

 

ต่อให้เป็นวิถีแห่งยุทธ์ ก็ยังจำเป็นจะต้องมีการก้าวผ่านเป็นลำดับขั้นตอน จึงจะสามารถเพิ่มพูนพลังขึ้นมาได้เป็นเท่าตัว ไม่เช่นนั้นจะไม่อาจคงความเฉียบคมแห่งรากฐานเอาไว้ได้อย่างแน่นอน

 

หลายวันมานี้หลงเฉินเอาแต่อยู่ในห้อง ทั้งยังได้ทำการหลอมผงยาไม่หยุดวันแล้ววันเล่า ด้วยการหนุนเสริมจากพลังเพลิงกาฬกิ่งก่าอัคคีของเขา ทำให้การหลอมมิใช่เรื่องยากอะไร จะมีก็แต่ความจำเจซ้ำซากที่ทำให้ยากที่จะทนได้เท่านั้น

 

แม้ว่าสภาวะพลังที่คงที่ของหลงเฉิน แต่การหลอมยาผงที่กองเป็นสูงเป็นภูเขาโดยไม่หยุด ก็ทำให้รู้สึกแทบจะเกิดอาการสำรอกออกมาได้เลยทีเดียว

 

ภายในวัตถุดิบเหล่านี้ส่วนมากต่างก็เป็นวัตถุดิบที่ใช้หลอมโอสถแปรแสงทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าจะหาผลกิเลนไม่ได้ก็ตาม การที่เตรียมความพร้อมเช่นนี้ หากสามารถเสาะหาผลกิเลนได้ภายหลัง ก็จะทำให้หลอมรวมได้เลยเป็นการประหยัดเวลาในวันข้างหน้าเป็นอย่างมาก

 

หลงเฉินรู้สึกว่าเวลาที่มีอยู่ของตนเองกระชั้นชิดเข้ามามากยิ่งขึ้น คล้ายกับว่ามีแรงกดดันอยู่ชนิดหนึ่ง เข้ามากดดันเขาอยู่เรื่อยๆ จนแม้แต่การสูดลมหายใจก็ยังเป็นไปอย่างยากลำบาก

 

หลังผ่านไปได้ครึ่งเดือน หลงเฉินก็ได้ทำการหลอมวัตถุดิบที่กองกันเป็นภูเขาจนหมดสิ้น จึงได้รู้สึกผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก

 

วันถัดมา ก็ได้มีศิษย์มาส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ แต่สิ่งที่ทำให้หลงเฉินคิดไม่ถึงก็คือ นั่นเป็นคนที่ศิษย์พี่ว่านส่งมา

 

ในจดหมายได้เขียนไว้ว่า เขามีเรื่องที่ต้องการพูดคุยกับหลงเฉินเพียงคนเดียว ทว่าในจดหมายไม่ได้กล่าวว่าเป็นเรื่องใด

 

ใบหน้าหลงเฉินปรากฏสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา นี้มันเรื่องปัญญาอ่อนมารดามันเถอะ มันจะไม่มีขีดจำกัดกันบ้างเลยหรือไง ?

 

ในมือก็ได้ปรากฏเพลิงกาฬขึ้นมา เผาจดหมายไปจนหมดสิ้น หลงเฉินพักอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อที่จะให้ตนเองกลับคืนสู่สภาพปกติ

 

หลังจากผ่านไปสามชั่วยาม หลงเฉินมาถึงยังสถานที่นัดหมายตามที่ศิษย์พี่ว่านได้ระบุไว้ในจดหมาย สายตาก็ได้มองเห็นหุบเขาแห่งหนึ่งอยู่เบื้องหน้า

 

ไม่เลว ! ที่นี่อยู่ห่างจากหมู่ตึกอยู่ไม่น้อย ต่อให้เกิดการต่อสู้กัน ทางหมู่ตึกก็คงจะไม่สังเกตุเห็นแน่ สถานที่แห่งนี้ถือได้ว่ามีไว้เพื่อฆ่าปิดปากได้เป็นอย่างดี

 

“ฮาฮาฮา หลงเฉิน เจ้าในที่สุดก็มาจริงๆ” อยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของหลงเฉิน

 

ใบหน้าหลงเฉินปรากฏความเย้ยหยันขึ้นมาเป็นสาย ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไป แล้วกล่าวขึ้นมาด้วยความไม่แยแส “ถึงกับสวมรอยเป็นศิษย์พี่ว่านเพื่อนัดข้ามา ข้ารู้สึกว่าเจ้าไร้เดียงสามากเกินไปแล้ว”

 

หลงเฉินค่อยๆหันหน้ากลับมา มองไปยังใบหน้าที่หยิ่งผยองของผู้อาวุโสซุน ในขณะที่ผู้อาวุโสซุนกำลังเดินเข้ามาใกล้หลงเฉิน

 

“ข้าไร้เดียงสาอย่างงั้นหรือ ? ฮาฮาฮา แต่นั่นก็ทำให้เจ้ามาได้ไม่ใช่หรือ ? ” ผู้อาวุโสซุนยิ้มเย้ยแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าไม่แยแส

 

“การที่ข้ามา ก็เพื่อที่จะมาดูว่า น้ำเต้าที่เจ้าขายมานั้นมียาอะไรอยู่ หาได้มีคนที่ทำให้ข้ามีความสุขได้หรอกนะ

 

เรื่องที่ทำให้ข้ามีความสุขได้นั้น ข้ามักจะไม่ปฏิเสธอยู่แล้วละ” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยความสุขใจ

 

“มีความสุขงั้นหรือ ? ฮาฮาฮา เจ้าฝันไปเถอะ

 

ผู้อาวุโสซุนจ้องไปที่หลงเฉิน แววตาทั้งคู่ก็ได้สาดเป็นประกายรังสีฆ่าฟันไปรอบด้าน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกขึ้นมาว่า “เจ้าหลอกลวงเงินที่เก็บออมมาทั้งชีวิตของข้า เจ้าคิดหรือว่าข้าจะยอมปล่อยเจ้าไป ?

 

แต่ข้าผู้ชรายังรู้สึกขอบคุณเจ้าอยู่ดี ที่ได้มอบวิชาทักษะของจริงให้แก่ข้า เพื่อเป็นการขอบคุณต่อเจ้า

 

ข้าจะทำให้เจ้าสมความปรารถนาเอง จะให้เจ้าได้ตายด้วยวิชาทักษะที่แข็งแกร่งนี้เอง ฮาฮาฮา”

“ตูม”

 

ผู้อาวุโสซุนกล่าวจบ ก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง พลังสภาวะเดือดพร่านขึ้นมาทั่วร่างกาย พื้นดินใต้ฝ่าเท้าก็ได้เกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาไปตามๆกัน ที่แผ่นหลังถึงกับปรากฏวงแหวนพลังขึ้นมา

.

.

ช่องทางการจัดจำหน่าย : https://novelrealm.com/detail.php?novel=22 <<< (ถึงตอนที่ 816 แล้วครับ)

ฝากแฟนๆกดติดตามหรือกดLikeเพจเคล็ดกายานวดาราด้วยครับ >>> 9 ดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา
Status: Ongoing
เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset