เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก – ตอนที่ 154 นี่แหละที่เขาเรียกว่าหึง

หลินเช่อรออยู่ที่บ้านเป็นนานสองนาน แม้เธอจะพยายามโทรหาเท่าไหร่ แต่กู้จิ้งเจ๋อก็ไม่ยอมรับสายอีก หญิงสาวพยายามถามสาวใช้และบรรดาบอดี้การ์ด แต่คำตอบที่ได้รับคือพวกเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าชายหนุ่มหายไปไหน
 
 
หลินเช่อกำโทรศัพท์ด้วยความหัวเสียและพยายามที่จะส่งข้อความหาเขา เธอไม่สนหรอกว่าเขาจะได้อ่านหรือเปล่า
 
 
[กู้จิ้งเจ๋อ ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าทำไมคุณถึงโกรธฉันน่ะ คุณเองก็รู้อยู่แล้วว่าฉันต้องไปโรงพยาบาลเพราะฉินชิงประสบอุบัติเหตุ แต่คุณรู้หรือเปล่าคะว่าที่เขาต้องเป็นแบบนั้นก็เพราะปกป้องฉันจากของที่หล่นลงมาจากเพดานห้าง และเพราะแบบนี้นี่แหละ คนที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาลตอนนี้ถึงไม่ได้เป็นฉัน เพราะฉะนั้น การที่ฉันจะตามไปดูแลเขานี่มันผิดตรงไหนกันเหรอ ทำไมคุณจะต้องโกรธด้วย ฉันควรจะตอบแทนความมีน้ำใจของเขาด้วยการไม่ใส่ใจแล้วก็ทิ้งเขาไว้อย่างนั้นเหรอ ทำแบบนั้นมันจะถูกเหรอคะ]
 
 
หลังจากส่งข้อความไปแล้ว เธอก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ กลับมาทั้งสิ้น หลินเช่อนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงตามลำพัง เธอรออยู่นานเหลือเกิน นานจนคิดว่ากำลังรอคนที่ไม่มีวันกลับมา ความเศร้าหมองหดหู่เกาะกินหัวใจ
 
 
ช่างเถอะ ถ้าเขาอยากโกรธ งั้นก็ปล่อยให้โกรธไปก็แล้วกัน
 
 
หลินเช่อไม่อยากจะง้องอนอะไรอีกแล้ว หญิงสาวนอนหลับไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่นัก พอวันรุ่งขึ้นก็รีบตื่นและตรงไปยังกองถ่ายทันที จนกระทั่งตกค่ำ หลินเช่อก็ไม่ยอมกลับบ้านแต่ขอค้างคืนอยู่ที่สถานที่ถ่ายทำนั่นเอง
 
 
ขณะที่พักกอง เธอก็อดนึกถึงฉินชิงไม่ได้ การที่เธอจะตามไปคอยดูแลเขาที่โรงพยาบาลคงไม่ใช่เรื่องที่สะดวกนัก แต่ถ้าไม่โผล่ไปเลยเขาก็อาจจะคิดมากอีก เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเช่อจึงคิดว่าเธอควรจะโทรศัพท์ไปถามไถ่อาการของเขาเสียหน่อยจะดีกว่า
 
 
เมื่อต่อสายติด เสียงหม่นหมองของฉินชิงก็ดังขึ้นที่ปลายสาย
 
 
[ฮัลโหล]
 
 
“ฉินชิง ฉันเองจ้ะ ฉันกำลังติดถ่ายละครน่ะ ออกจะยุ่งอยู่สักหน่อย ก็เลยไปเยี่ยมเธอไม่ได้นะจ๊ะ”
 
 
ฉินชิงยิ้มกับโทรศัพท์ [ฉันย้ายมาอยู่ที่โรงพยาบาลใหม่แล้วล่ะ ขอบใจมากเลยนะ]
 
 
“อ๊ะ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ แล้วมันดีหรือเปล่า ฉันยังนึกห่วงอยู่เลยว่า อะไรๆ ที่โรงพยาบาลเดิมนั่นดูจะไม่ค่อยสะดวก คงไม่ดีกับอาการบาดเจ็บของเธอเท่าไหร่”
 
 
[ขอบใจที่อุตส่าห์คิดถึงนะ อันที่จริงมันไม่เป็นอะไรมากหรอก อาการบาดเจ็บของฉันก็มีแค่บาดแผลภายนอกเท่านั้นเอง]
 
 
“ต้องมากสิจ๊ะ ก็เธอต้องบาดเจ็บเพราะฉันนี่นา”
 
 
หลินเช่อไม่รู้เลยสักนิดว่า ฉินชิงนั้นคิดว่าเป็นเพราะเธอนี่แหละที่เป็นฝ่ายขอร้องกู้จิ้งเจ๋อให้ติดต่อขอย้ายโรงพยาบาลให้เขา
 
 
ด้วยความที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครกล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ความจริงทุกอย่างยังคงคลุมเครืออยู่เช่นนั้นเอง
 
 
ฉินชิงยิ้มและบอกว่า [อย่าคิดมากน่า ต่อให้เป็นคนแปลกหน้า ฉันก็คงยอมเห็นคนอื่นต้องเจ็บตัวต่อหน้าต่อตาไม่ได้หรอก แล้วนี่เราก็รู้จักกันมาตั้งหลายปี ฉันจะไม่ช่วยได้ยังไง จริงไหมล่ะ]
 
 
อันที่จริงฉินชิงก็เป็นคนดีคนหนึ่งทีเดียว
 
 
หลินเช่อกำโทรศัพท์แน่น นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่เป็นครู่ใหญ่ และแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณนะ ฉินชิง”
 
 
[ยัยเด็กโง่] ฉินชิงว่า [ยังไงเธอก็ยังเป็นน้องสาวของฉันต่อไปอยู่ดีนั่นแหละ]
 
 
“อื้อ แล้วเธอก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีของฉันเหมือนกันจ้ะ”
 
 
หลินเช่อวางสาย แต่กลับรู้สึกเศร้าใจยิ่งกว่าเดิม
 
 
เวลาเป็นสิ่งประหลาด มันชะล้างความรู้สึกมากมายให้มลายหายไป พัดพาความเสียใจที่มีอยู่ให้หมดสิ้นไปจากห้วงคำนึงได้…
 
 
ผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆ แต่เธอก็ยังไม่ได้ยินข่าวคราวใดๆ จากกู้จิ้งเจ๋ออยู่นั่นเอง
 
 
แม้แต่อวี๋หมินหมิ่นก็ยังรู้สึกได้ว่า หลินเช่อกำลังครุ่นคิดกังวลเกี่ยวกับอะไรบางอย่างอยู่
 
 
เธอเห็นหลินเช่อกำลังนั่งงมอยู่กับโทรศัพท์จึงเดินเข้าไปหาแล้วถามว่า “นี่ วันนี้เธอเป็นอะไรไปน่ะ ดูจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลย”
 
 
“ไม่ใช่ซะหน่อย…นี่ฉันถ่ายเทคเดียวผ่านทุกฉากเลยนะคะวันนี้!”
 
 
อวี๋หมินหมิ่นบอก “ฉันไม่ได้หมายถึงการถ่ายทำ ดูตัวเองเข้าสิ พอถ่ายเสร็จเธอก็รีบมานั่งจ่อมอยู่ตรงนี้ทันที แล้วสีหน้าค่าตาก็อย่างกับไปกินรังแตนมาอย่างนั้นแหละ ไม่รู้ตัวบ้างหรือไงน่ะ วันนี้พวกทีมงานไม่มีใครกล้าเข้ามาชวนเธอคุยเลยนะ”
 
 
หลินเช่อกะพริบตาแล้วเงยหน้าขึ้นมอง “จริงเหรอคะ นี่หน้าตาฉันไม่รับแขกขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย”
 
 
อวี๋หมินหมิ่นตอบ “ก็ใช่น่ะสิ”
 
 
หลินเช่อรีบผุดลุกขึ้นทันทีแล้วมองหน้าอีกฝ่าย “แย่แค่ไหนคะเนี่ย…หน้าบึ้งสนิทเลยอย่างนั้นหรือเปล่าคะ”
 
 
“เธอคิดว่าไงล่ะ!”
 
 
“โอ๊ยตายแล้ว” หลินเช่อร้อง “ทำไมฉันถึงไม่รู้ตัวเลยเนี่ย แล้วทำไมถึงไม่มีใครกล้าเข้ามาคุยกับฉันละคะ”
 
 
“ก็เพราะกลัวจะโดนเธอเหวี่ยงเข้าให้น่ะสิ”
 
 
“ไม่มีทาง…ฉันออกจะน่ารักนิสัยดีจะตายไปค่ะ”
 
 
“ปกติเธอก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ แต่วันนี้น่ะ หน้าหงิกหน้างอเป็นแม่มดเชียว” อวี๋หมินหมิ่นว่าเข้าให้
 
 
หลินเช่อถอนหายใจ “พี่อวี๋คะ พี่ว่า…ถ้าผู้ชายเขาโกรธเราโดยไม่มีเหตุผลเนี่ย มันหมายความว่ายังไงหรือคะ”
 
 
อวี๋หมินหมิ่นตอบ “โธ่เอ๊ย มิน่าวันนี้เธอถึงได้ใจลอยนัก นี่โดนกู้จิ้งเจ๋อโกรธเข้าล่ะสิ เกิดอะไรขึ้นล่ะ แล้วไปทำอะไรเข้าเขาถึงได้โกรธ”
 
 
“…” หลินเช่อก้มหน้า นิ่งงันไปพักใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าว่า “อืม เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ค่ะ…”
 
 
หลินเช่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ โดยเว้นไว้บางช่วงไว้ เธอไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ฉินชิงอยู่ๆ ก็สารภาพรักกับเธอขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่คิดว่านั่นจะนับได้ว่าเป็นการสารภาพรัก มันออกจะเหมือนกับการถามถึงความเป็นไปได้ซะมากกว่า
 
 
อวี๋หมินหมิ่นมองหน้าหลินเช่อด้วยความประหลาดใจ “เธอนี่เยี่ยมไปเลยจริงๆ ขนาดตอนนี้เธออยู่กับกู้จิ้งเจ๋อแล้ว แต่ก็ยังมีเพื่อนชายสมัยเด็กมาคอยปกป้องและยอมเจ็บตัวแทนอีก นี่เธอกำลังพยายามทำให้ผู้หญิงทั้งโลกอิจฉาจนขาดใจตายหรือไงยะ”
 
 
“โธ่ พี่อวี๋คะ ช่วยบอกทีเถอะค่ะว่าฉันควรจะทำยังไงดี ก็ฉินชิงบาดเจ็บออกอย่างนั้น จะให้ฉันทิ้งไปได้ยังไงกันล่ะ แล้วกู้จิ้งเจ๋อก็ขี้ใจน้อยอะไรขนาดนั้น นี่เขาทำเมินใส่ฉันมาตั้งแต่วันที่ฉันปล่อยเขารอเก้อนั่นแหละ”
 
 
อวี๋หมินหมิ่นมองห้า “เธอแน่ใจนะว่าเขาไม่ได้หึงน่ะ”
 
 
“อะไรนะคะ” หลินเช่อมองหน้าอวี๋หมินหมิ่นด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างที่สุด
 
 
ผู้จัดการสาวตบโต๊ะปัง “พอเลย นี่เธอดูไม่ออกหรือไงกัน กู้จิ้งเจ๋อไม่ได้โกรธเพราะเธอปล่อยให้เขารอเก้อ แต่เขาโกรธที่เธอปล่อยให้เขารอแล้วกลับไปอยู่กับพ่อหวานใจวัยเด็กนั่นต่างหากล่ะ นี่เธอล้อฉันเล่นหรือเปล่าเนี่ย อาการแบบนี้นี่แหละที่เขาเรียกว่าหึงชัดๆ เลย”
 
 
“…” จริงเหรอเนี่ย
 
 
หลินเช่อมองหน้าอีกฝ่ายและเริ่มมีท่าทีกระสับกระส่าย “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
 
 
เธอไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง
 
 
“ผู้ชายน่ะต้องการการเอาใจนะ เธอเองก็ลดๆ ความถือดีลงสักหน่อยแล้วก็ไปง้อเขาซะ แล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อยเองนั่นแหละ เอ้า รีบๆ กลับบ้านไป อย่ามัวแต่เสียเวลาอยู่ที่นี่”
 
 
“…”
 
 
ขณะเดียวกัน ใครบางคนกำลังตามหาหลินเช่ออยู่บริเวณด้านนอก
 
 
“พี่เช่อ มีคนมารอพี่อยู่ข้างนอกแน่ะ” ผู้ช่วยผู้กำกับวิ่งเข้ามาพลางร้องบอกเธอ จากสุ้มเสียงและสายตาของเขา ดูเหมือนว่าคนที่มาหาท่าทางจะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน หลินเช่อหันมองผู้จัดการส่วนตัวของเธอ เมื่อเห็นอวี๋หมินหมิ่นพยักหน้าอย่างให้กำลังใจ เธอก็รีบลุกขึ้นและวิ่งออกไปโดยเร็ว
 
 
ทว่าเมื่อออกมาถึงด้านนอกแล้ว เธอก็ได้เห็นว่าบุคคลที่ยืนรออยู่กลับเป็นเฉินอวี่เฉิงนั่นเอง
 
 
“คุณหมอเฉิน มาทำอะไรที่นี่คะ”
 
 
เฉินอวี่เฉิงมองหน้าหลนิเช่อ “นี่คุณไม่ได้กลับบ้านมาเกินหนึ่งวันแล้วงั้นเหรอ”
 
 
หลินเช่อทำปากบุ้ย “ใช่ค่ะ ก็ฉันกลัวว่าถ้ากลับไปแล้วจะทำให้ใครอารมณ์เสียเข้าน่ะสิ”
 
 
เฉินอวี่เฉิงว่า “นี่ ผมไม่รู้หรอกนะว่ากู้จิ้งเจ๋อเขาติดค้างอะไรคุณไว้กันแน่”
 
 
“อะไรกันคะ”
 
 
นายแพทย์ตอบว่า “ชาติที่แล้วเขาคงก่อกรรมกับคุณไว้เยอะละมั้ง พอกลับมาชาติมาเกิดคราวนี้ก็เลยต้องโดนคุณทรมานเป็นการแก้แค้น”
 
 
หลินเช่องงสนิทแล้วถามว่า “ใครทรมานใครกันแน่”
 
 
เฉินอวี่เฉิงพูดต่อ “นี่คุณคิดจะกลับไปเจอหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่า”
 
 
“อะไรนะคะ” หลินเช่อช็อกเมื่อได้ยินคำถามนั้น
 
 
นายแพทย์ตอบ “กู้จิ้งเจ๋อกำลังจะตาย”
 
 
“คุณ…นี่คุณกำลังพูดเรื่องอะไรกันน่ะ…”
 
 
“เขากำลังโกรธคุณจนจะขาดใจตายอยู่แล้ว”
 
 
“…”
 
 
หลินเช่อทำตาเขียวใส่นายแพทย์ประจำตัวของกู้จิ้งเจ๋อ “ไปให้พ้นเลยนะ!”
 
 
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มไม่สบอารมณ์ เฉินอวี่เฉิงก็รีบพูดต่อไปว่า “เอาล่ะๆ เลิกพูดเล่นกันที แต่กู้จิ้งเจ๋อกำลังป่วยจริงๆ นะครับ”
 
 
สีหน้าของหลินเช่อชะงักไป
 
 
ป่วยเหรอ
 
 
ทำไมล่ะ

เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก

เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก

หลินเช่อ สาวน้อยนักแสดงปลายแถวตัดสินใจวางยาลักหลับดาราชายชื่อดังอย่าง กู้จิ้งอวี่ เพื่อหาทางไต่เต้าขึ้นไปในวงการบันเทิง แต่สุดท้ายทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้เมื่อเหยื่อผู้โชคร้ายของเธอดันกลายมาเป็น กู้จิ้งเจ๋อ พี่ชายของเขาแทน! ทว่าหลังผ่านค่ำคืนอันเร่าร้อนไป การแยกทางกันแต่โดยดีกลับไม่ใช่บทสรุปของคนทั้งคู่ เพราะกู้จิ้งเจ๋อมีโรคประจำตัวสุดประหลาดอย่างหนึ่ง นั่นคือเขาไม่สามารถแตะต้องผู้หญิงคนไหนได้ หากสัมผัสตัวเพศตรงข้ามเมื่อไหร่ เขาจะคลื่นไส้และมีผื่นขึ้นทันที ดังนั้นเมื่อพบว่าเขาและหลินเช่อสามารถนอนร่วมเตียงกันได้โดยไม่มีอาการใดๆ ทั้งสิ้น ครอบครัวของกู้จิ้งเจ๋อจึงใช้อำนาจบีบบังคับให้ทั้งคู่แต่งงานกัน! เมื่อระฆังวิวาห์ลั่นแบบสายฟ้าฟาด หลินเช่อและกู้จิ้งเจ๋อจึงต้องสวมบทบาทคู่สามีภรรยาและเก็บข้าวของย้ายมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันในที่สุด

Options

not work with dark mode
Reset