เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก – ตอนที่ 156 ฉันจะนอนข้างๆ ให้คุณอุ่นขึ้นเอง

หลินเช่อรีบลนลานลงมาจากร่างใหญ่ทันที เธอประกบมือเข้าหากันแล้วพูดว่า “แหม ลืมตัวไปหน่อยน่ะค่ะ มาเถอะ ฉันจะช่วยป้อนให้”
 
 
กู้จิ้งเจ๋อเหลือบมอง
 
 
จากหางตาของเขา ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวกำลังประคองช้อนซุปส่งเข้าปากเขาอีกครั้ง และในคราวนี้คนตัวใหญ่ยอมกินแต่โดยดี
 
 
แต่ถึงจะยอมกินก็ใช่ว่าเจ้าตัวจะยอมอยู่นิ่งๆ กู้จิ้งเจ๋อยังคอยเงยหน้ามองเธอเป็นระยะด้วยสายตาที่ดูจะเต็มไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจ
 
 
แต่หลินเช่อบุ้ยปากและแกล้งทำเป็นไม่สนใจ ตราบใดที่เขายอมกินละก็นะ
 
 
“ว่าแต่คุณเป็นหวัดได้ยังไงคะ” หลินเช่อถาม
 
 
“ใครๆ เขาก็เป็นหวัดกันทั้งนั้น” เขาว่า
 
 
“ก็ใช่ค่ะ ฉันรู้ แต่แล้วทำไมอยู่ๆ คุณถึงเป็นขึ้นมาได้ละคะ”
 
 
“ทำไม แค่ฉันป่วยแล้วต้องให้เธอมาดูแลแค่นี้ก็บ่นแล้วหรือไง ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็ จะไปไหนก็ไปเลย” คนป่วยเริ่มตะบึงตะบอน
 
 
“นี่ฉันไปพูดแบบนั้นตอนไหนกันคะ!”
 
 
หลินเช่อตวัดสายตามองอย่างหัวเสีย “ถึงยังไงฉันก็ต้องเป็นเบี้ยล่างให้คุณโขกสับอยู่ดีนั่นแหละ ขนาดคุณตะคอกใส่ฉันขนาดนี้ ฉันยังต้องคอยดูแลคุณเลย น่าสงสารเป็นบ้า”
 
 
กู้จิ้งเจ๋อทำหน้าเยาะเย้ย “ก็สมควรแล้วนี่”
 
 
หลินเช่อหันไปและอธิบายอย่างไม่สู้พอใจนัก “อีกอย่าง มันไม่มีอะไรระหว่างฉันกับฉินชิงจริงๆ นะคะ” ขณะพูด หญิงสาวก็แอบเหลือบมองสีหน้าของอีกฝ่าย เธอจำที่อวี๋หมินหมิ่นบอกได้ ว่าบางทีแล้วกู้จิ้งเจ๋ออาจจะหึง…
 
 
นี่เขาหึงจริงๆ เหรอเนี่ย
 
 
แต่แล้วแววตาของเขาก็ทอประกายวาบขึ้นมาและหันขวับมามองเธอด้วยสายตาคมปลาบ
 
 
หลินเช่อว่าต่อ “จริงๆ นะคะ ฉันแค่บังเอิญเจอเขาที่ห้างสรรพสินค้า เราก็เลยทักทายกันนิดหน่อย ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีโคมแก้วจะตกลงมาจากข้างบนแบบนั้น ยิ่งคิดว่าตัวเองหวุดหวิดจะเสียโฉม ฉันก็ยิ่งสยองนะคะ แล้วด้วยความที่เรารู้จักกันมานาน ยังไงเขาก็อดช่วยฉันไม่ได้ เพราะแบบนี้เขาถึงต้องเจ็บตัวแทน แล้วจะไม่ให้ฉันอยู่ดูแลเขาฉันก็ทำไม่ลง เพราะอย่างนี้…”
 
 
“พอที” สีหน้าของเขาบึ้งตึงเมื่อขัดจังหวะเธอขึ้น “ฉันไม่อยากจะฟังคำอธิบายบ้องตื้นของเธอ”
 
 
“นี่คุณ…ก็ได้ค่ะ ฉันก็แค่อยากอธิบายให้ฟังเพราะฉันกลัวว่าคุณจะหึงน่ะ”
 
 
“…” กู้จิ้งเจ๋อหัวเราะเสียงดังสนั่น “ใครหึงกัน”
 
 
“นี่คุณไม่ได้หึงหรอกเหรอคะ”
 
 
ชายหนุ่มกัดฟันแล้วหันมองหน้า “ฉันแค่เป็นห่วงเรื่องสติปัญญาของเธอต่างหากล่ะ!”
 
 
“แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับสติปัญญาฉันตรงไหนกันคะ” หลินเช่อถามด้วยความงุนงง
 
 
ชายหนุ่มตวัดสายตามองเธอแล้วตอบว่า “ก็เพราะ…ก็เพราะว่าเวลาเกิดเรื่องอะไรแบบนี้ เธอก็ควรจะรู้จักสถานะของตัวเองสิ นั่นคือพี่เขยของเธอนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เธอก็ไม่ควรจะไปอยู่เคียงข้างเขา ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา เธอคิดว่าเธอควรจะเป็นคนที่ได้อยู่กับเขาในวาระสุดท้ายงั้นเหรอ เธอคิดว่าเธอจะรับผิดชอบชีวิตเขาไหวเรอะ คนที่ควรทำหน้าที่นี้คือพี่สาวของเธอและครอบครัวของเขาต่างหาก ไม่ใช่เธอที่เป็นแค่น้องเมีย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอควรทำตั้งแต่แรกเลยก็คือปล่อยเขาไว้ที่โรงพยาบาล แล้วก็รีบโทรบอกครอบครัวของเขากับพี่สาวเธอต่างหากล่ะ!”
 
 
“ฉัน…” หน้าของหลินเช่อเริ่มแดงด้วยความรู้สึกผิด “ตอนนั้นฉันไม่ทันได้คิดน่ะค่ะ”
 
 
“งั้นต่อไปก็คิดให้มากกว่านี้ซะ!”
 
 
“ฉัน…”
 
 
“ช่างมันเถอะ อย่าคิดมากไปเลย ต่อไปถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ให้รีบโทรหาฉันก่อนรู้มั้ย ด้วยระดับสติปัญญาอย่างเธอน่ะ ต่อให้คิดมากกว่านี้ก็ไม่ช่วยอะไรหรอก”
 
 
“…”
 
 
หลินเช่อเหลือบมองเขา “นี่คุณไม่ได้หึงจริงๆ เหรอคะ”
 
 
“หึงกับผีน่ะสิ! เอ้า ป้อนฉันเร็วเข้า!” หน้าของคนออกคำสั่งแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย เขาอดสบถออกมาเบาๆ ไม่ได้ แม้ว่าปกติจะไม่ใช่คนมีนิสัยเช่นนี้เลย
 
 
หลินเช่อรีบก้มหน้าตักอาหารป้อนเขาต่อทันที
 
 
กู้จิ้งเจ๋อสูดลมหายใจยาว และแววตาของเขาก็เริ่มคลายความขุ่นข้องลงด้วยเช่นกัน
 
 
แม้ว่าจะทุลักทุเลไม่น้อย แต่หลินเช่อก็ป้อนอาหารเขาจนเสร็จ เมื่อเธอลุกนำถาดอาหารออกไปส่งคืน เธอก็ถามสาวใช้ว่า “นี่เขาล้มป่วยได้ยังไงกันน่ะ ทำไมอยู่ๆ ถึงเป็นล่ะ”
 
 
สาวใช้ตอบ “คุณผู้หญิงคะ มีแต่คุณผู้หญิงคนเดียวนี่แหละค่ะที่ทำให้ท่านยอมทานอะไรได้ ท่านไม่ยอมกินอะไรเลยไม่ว่าใครจะเป็นคนยกอาหารเข้าไปให้ก็ตาม”
 
 
“ไม่หรอก…” หลินเช่อว่า “เป็นเพราะพวกเธอไม่มีใครกล้าอาละวาดใส่เขาน่ะสิ”
 
 
สาวใช้พูดต่อไป “เมื่อวานนี้ท่านลงไปว่ายน้ำในสระทั้งวัน พอตกกลางคืนก็เลยจับไข้ จนถึงวันนี้อาการก็ยังไม่ดีขึ้นเลยนะคะ พวกเรากลุ้มใจกันจะแย่”
 
 
เขาว่ายน้ำทั้งวันงั้นรึ
 
 
จริงเหรอนี่…
 
 
ก็ทำตัวแบบนี้จะไม่ให้ป่วยได้ยังไง
 
 
หลินเช่อส่ายหน้าขณะครุ่นคิด คงจะเป็นการดีกว่าถ้าเธอจะรีบกลับไปดูแลเด็กโข่งหัวดื้อที่กำลังนอนป่วยอยู่โดยเร็ว
 
 

 
 
เมื่อตกกลางคืน กู้จิ้งเจ๋อก็ยังคงมีไข้สูง
 
 
หลินเช่อให้เขากินยา แต่อาการไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น
 
 
เมื่อหญิงสาวเห็นเขาอาการทรุดหนักลงทุกที เธอก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมา
 
 
แต่ก็ทำได้เพียงนั่งเฝ้าไข้เขาอยู่ข้างเตียง หลังจากกินยาเข้าไปแล้ว ชายหนุ่มก็หลับๆ ตื่นๆ ด้วยท่าทีกระสับกระส่าย ทำให้หลินเช่อเองก็ไม่กล้านอนเช่นกัน
 
 
เมื่อได้ยินเสียงร้องครวญครางของเขา เธอก็รีบก้มลงดูและจับมือเขาไว้ “กู้จิ้งเจ๋อ คุณเป็นอะไรคะ”
 
 
เขาพึมพำแผ่วเบา “หลินเช่อ…”
 
 
“คะ ฉันอยู่นี่ค่ะ”
 
 
“หลินเช่อเหรอ”
 
 
“อยู่นี่ค่ะ อยู่นี่ ฉันอยู่นี่” หลินเช่อรีบกุมมือเขาแน่นเข้า เธอรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ชื้นแฉะไปทั่วฝ่ามือใหญ่ ทำให้หญิงสาวรีบคว้าโทรศัพท์ เธออยากจะลุกออกไปโทรศัพท์แต่กู้จิ้งเจ๋อยังคงรั้งมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย คิ้วของเขาขมวดมุ่น สีหน้าท่าทางดูจะเต็มไปด้วยความทรมานอย่างมาก
 
 
หลินเช่อจึงตัดสินใจโทรหาเฉินอวี่เฉิงจากข้างเตียงนั่นเอง “คุณหมอเฉินคะ ไข้ของกู้จิ้งเจ๋อสูงมาก แล้วก็ไม่ยอมลดเลย คุณอยากจะเข้ามาดูอาการเขาหน่อยไหมคะ”
 
 
[โอ้ สูงแค่ไหนรึ]
 
 
“สามสิบแปดจุดเจ็ดองศาค่ะ”
 
 
[งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก เอาไว้ขึ้นถึงสามสิบเก้าแล้วค่อยโทรหาผมก็แล้วกัน]
 
 
“นี่คุณ…”
 
 
[นี่ผมพูดจริงๆ ยาที่ให้นั่นจะทำให้เขามีไข้สูง ก่อนหน้านี้มันเคยสูงขึ้นไปถึงสี่สิบเอ็ดองศาด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแค่สามสิบแปดนี่ถือว่าธรรมดามากสำหรับเขา]
 
 
“นี่คุณพูดจริงหรือคะ…”
 
 
[หึๆ ถ้าคุณกังวลนัก…ก็ชวนเขาออกกำลังกายสิ บางทีให้ได้เหงื่อออกสักหน่อย ไข้อาจจะลดลงก็ได้นะ]
 
 
“เขาแทบไม่รู้สึกตัวแถมยังวิงเวียนแทบไม่ได้สติแบบนี้ จะออกกำลังอะไรได้”
 
 
[ก็ออกกำลังบนเตียงไงล่ะ]
 
 
“คุณ…”
 
 
แต่นายแพทย์ตัวดีชิงวางสายไปก่อนแล้ว ทิ้งหลินเช่อเอาไว้ท่ามกลางความงุนงงว่าควรจะทำอย่างไรดี เธอหันไปมองเขาพลางยกมือขึ้นแตะหน้าผากชายหนุ่มแผ่วเบา
 
 
“กู้จิ้งเจ๋อ หายเร็วๆ นะคะ”
 
 
“กู้จิ้งเจ๋อ คุณเป็นยังไงบ้าง”
 
 
หญิงสาวรู้สึกได้ว่าริมฝีปากของเขากำลังขยับ เหมือนจะพูดว่า “หนาว หนาวจัง”
 
 
เมื่อเห็นดังนั้น หลินเช่อก็แทบสติแตก เธอรีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเขา แต่ก็ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ช่วยอะไรมากนัก
 
 
หญิงสาวละล้าละลัง ก่อนจะตัดสินใจยกผ้าห่มขึ้นและสอดร่างตัวเองเข้าไปนอนข้างร่างใหญ่โดยไม่ลังเล
 
 
เธอกอดเขาเอาไว้แน่น รู้สึกได้ว่าเขาสัมผัสเธอและขยับตัวเข้ามาใกล้เธอโดยสัญชาตญาณ ความรู้สึกอบอุ่นแล่นเข้าจับหัวใจเธอโดยปราศจากเหตุผล แก้มเธอแนบแก้มเขา และกระซิบแผ่วเบาอ่อนโยนว่า “ให้ตายสิ คุณไปว่ายน้ำนานขนาดนั้นทำไมกันคะ”
 
 
กู้จิ้งเจ๋อลืมตาขึ้นอย่างไม่สู้ได้สตินัก แล้วเขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ข้างกาย ริมฝีปากของเธอกำลังขยับขึ้นลง เธอกำลังมองมาที่เขา เสียงบ่นเบาๆ และสีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใยนั้นดูจะชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดที่พรั่งพรูออกมา
 
 
“กู้จิ้งเจ๋อ รู้สึกตัวแล้วเหรอคะ ดีจังเลย ฉันกลัวแทบแย่แน่ะ” หลินเช่อโอบกอดเขาไว้ ร่างเธอเบียดแนบชิดเข้าไป ความนุ่มนิ่มของเนื้อตัวอีกฝ่ายทำให้หัวใจของชายหนุ่มเริ่มไม่เป็นปกติ
 
 
เขาหรี่ตาก้มลงมองเธอ และจากการพลิกตัวเพียงครั้งเดียว เขาก็เป็นฝ่ายสวมกอดเธอไว้
 
 
“อ๊ะ…นี่คุณ…”
 
 
หลินเช่อร้องอย่างตกใจเมื่อรู้สึกได้ถึงริมฝีปากของชายหนุ่มที่ปัดไล้ไปทั่วพลางพร่ำพูดว่า “อย่าไป อย่าไป…อย่าไปไหนนะ ตกลงมั้ย”
 
 
เสียงนั้นแทบจะทำให้หัวใจหลินเช่อหลอมละลาย
 
 
แบบนี้จะให้เธอใจแข็งทิ้งเขาไว้ได้ยังไงล่ะ
 
 
“ฉันไม่ไปไหนหรอกค่ะ…ไม่ไปหรอก”
 
 
เธอย้ำกับเขาพลางใช้นิ้วเสยไล่ไปตามเส้นผมดกหนาของเขา
 
 
เสียงอ่อนหวานนั้นทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป แล้วอยู่ๆ วงแขนแข็งแรงก็โอบรัดร่างเธอแน่นเข้า
 
 
เขาใช้วงแขนสอดประคองศีรษะเธอไว้และฝังจูบลงไป
 
 
ปลายลิ้นร้อนผ่าวรุกล้ำเข้าไปในปากของหลินเช่ออย่างรุนแรงไม่รั้งรอ

เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก

เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก

หลินเช่อ สาวน้อยนักแสดงปลายแถวตัดสินใจวางยาลักหลับดาราชายชื่อดังอย่าง กู้จิ้งอวี่ เพื่อหาทางไต่เต้าขึ้นไปในวงการบันเทิง แต่สุดท้ายทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้เมื่อเหยื่อผู้โชคร้ายของเธอดันกลายมาเป็น กู้จิ้งเจ๋อ พี่ชายของเขาแทน! ทว่าหลังผ่านค่ำคืนอันเร่าร้อนไป การแยกทางกันแต่โดยดีกลับไม่ใช่บทสรุปของคนทั้งคู่ เพราะกู้จิ้งเจ๋อมีโรคประจำตัวสุดประหลาดอย่างหนึ่ง นั่นคือเขาไม่สามารถแตะต้องผู้หญิงคนไหนได้ หากสัมผัสตัวเพศตรงข้ามเมื่อไหร่ เขาจะคลื่นไส้และมีผื่นขึ้นทันที ดังนั้นเมื่อพบว่าเขาและหลินเช่อสามารถนอนร่วมเตียงกันได้โดยไม่มีอาการใดๆ ทั้งสิ้น ครอบครัวของกู้จิ้งเจ๋อจึงใช้อำนาจบีบบังคับให้ทั้งคู่แต่งงานกัน! เมื่อระฆังวิวาห์ลั่นแบบสายฟ้าฟาด หลินเช่อและกู้จิ้งเจ๋อจึงต้องสวมบทบาทคู่สามีภรรยาและเก็บข้าวของย้ายมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันในที่สุด

Options

not work with dark mode
Reset