เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 77 ล่อเสือให้ขย้ำหมาป่า (1)

“ท่านย่า พรุ่งนี้พวกเราต้องกลับเหยี่ยนโจวแล้ว!” หวังเหยียนหย่าพาทั่วป๋าฉินอินมาลาทั่วป๋าซู่เยวี่ย นี่เพิ่งจะเป็นวันที่สี่ของการแต่งงานของซั่งกวนเจวี๋ย แต่เพราะพวกนางมีแผนการอื่นอยู่ในใจ ดังนั้นจึงได้เข้ามากล่าวลาเร็วเช่นนี้

“พรุ่งนี้? เร็วขนาดนั้นเชียว?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก แม้จะกล่าวว่าตระกูลทั่วป๋ามาค่อนข้างเร็ว แต่หากยึดตามความคุ้นชินแล้ว ก็จะพำนักอยู่ที่ตระกูลซั่งกวนอยู่หลายวัน เพื่อแสดงความสนิทสนมจึงจะถูก

“หลายปีมานี้ฉินหลิ่งค่อยๆ รับช่วงต่อดูแลภาระงานในตระกูล ทางเหยี่ยนโจวนั้นไม่อาจขาดเขาได้” หวังเหยียนหย่ากล่าวทั้งเผยยิ้ม “ท่านพ่อและท่านแม่ออกเดินทางท่องเที่ยว ตอบรับคำเชิญไปหยางโจว เดือนสี่ของหยางโจว ดอกสาลี่พลิ้วลู่ลมคล้ายกับแง่งอน พวกเขาตั้งใจไปร่วมชมดอกสาลี่เบ่งบาน ทั้งถือโอกาสไปพูดคุยเรื่องการแต่งงานของฉินอินกับตระกูลซ่ง”

“ฉินอินก็เป็นสาวแล้ว ควรถึงเวลาออกเรือนจริงๆ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยผงกศีรษะ ดูท่าแล้วคงอยากจะใช้โอกาสที่ตระกูลทั่วป๋าและตระกูลซ่งเชื่อมสัมพันธ์ ขยายตำแหน่งตระกูลซ่งในหยางโจวให้มากขึ้น ตระกูลซ่งก็เป็นเพียงตระกูลอันดับสอง ใน

หยางโจวยังมีตระกูลฮั่วที่แข็งแกร่งมากกว่าตระกูลซ่ง แต่ทั่วป๋าฉินอินเป็นลูกอนุภรรยา สามารถแต่งกับลูกชายภรรยาเอกของตระกูลซ่งได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” หวังเหยียนหย่ากล่าวยิ้มๆ “คุณหนูเติบใหญ่แล้ว ไม่อาจรั้งให้อยู่แต่ในบ้าน อยู่ไปอยู่มาอาจจะไม่เหมาะสมเอาได้ ซ่งซื่อเจี๋ย ท่านย่าก็คงจะเคยเห็นแล้ว รูปลักษณ์โดดเด่น ทั้งคอยเอาอกเอาใจฉินอิน นับว่าเป็นที่พึ่งที่ดีทีเดียว”

“ใช่แล้ว เมื่อคุณหนูเติบโตก็ควรเป็นธุระจัดงานแต่งงานใหญ่ให้พวกนาง! เหยียนหย่า เจ้าเป็นสะใภ้ใหญ่ ทั้งแต่งเข้าตระกูลทั่วป๋ามานานแล้ว น้องชายน้องสาวเหล่านั้น เจ้าก็ล้วนเห็นจนเติบใหญ่มาด้วยกัน เรื่องงานแต่งงานของพวกเขาก็ต้องอาศัยเจ้าหน่อยแล้ว” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวทั้งทอดถอนหายใจ “พี่ใหญ่คนนั้นของข้าก็อายุมากแล้ว แม้แต่บ้านก็ยังไม่อยากออกไปไหน พ่อและแม่ของเจ้าก็มีงานภาระมากมาย ดีที่ฉินหลิ่งเด็กคนนี้ตั้งแต่เด็กก็ฉลาดหลักแหลม ทั้งยังแต่งเจ้าที่มีความสามารถเข้ามาในตระกูล จากนี้ตระกูลทั่วป๋าก็คงต้องฝากไว้ที่พวกเจ้าแล้ว”

“ท่านย่าอย่าได้กังวล งานแต่งงานของน้องชายน้องสาวทั้งหลาย เหยียนหย่าย่อมต้องครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน” หวัง

เหยียนหย่ากล่าวอย่างนอบน้อม “ฉินหลิ่งพาฉินเฟิงไปกล่าวลากับท่านลุง ไม่อาจมาอำลากับท่านย่าได้ ขอท่านย่าอย่าได้ถือโทษเลยนะเจ้าคะ”

พูดขึ้นมาก็น่าขัน การแต่งงานระหว่างตระกูลใหญ่ทั้งแปดนั้นมีความเป็นไปได้สูงมาก ดังนั้นนอกจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์รุ่นแรกและลูกชายลูกสาวของพวกเขา คนอื่นก็ล้วนไม่ใช้ความสัมพันธ์จากญาติมาเรียกขาน ดังนั้นแม้ว่าซั่งกวนฮ่าวและทั่วป๋าเชียนเย่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ลูกๆ ของพวกเขากลับเรียกพวกเขาว่าท่านลุง(ลุงในที่นี้คือให้ความเคารพแบบเพื่อนของพ่อ) แต่พี่น้องทั่วป๋าฉินหลิ่งเพราะว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้ขอร้องไว้จึงเรียกขานกันและกันว่าลูกผู้พี่ลูกผู้น้อง เหตุนั้นก็เพียงเพื่อว่าต้องการรักษาความสัมพันธ์ของสองตระกูลที่นับวันก็ยิ่งจืดจางลง

“ถือโทษอะไรกัน นั่นเป็นหลานชายของข้า ไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวยิ้มๆ คล้อยหลังจึงค่อยพบว่าเหมือนมีอะไรแปลกๆ ไป “ฉินซินเด็กคนนั้นล่ะ? เหตุใดจึงไม่มาด้วย? หรือไปกับฉินหลิ่งหรืออะไรอย่างไร?”

“ฉินซิน…” หวังเหยียนหย่าใบหน้าดำคล้ำ “นางรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง จึงพักอยู่ในห้องเจ้าค่ะ!”

“ไม่สบาย? นางเป็นอะไร?” สิ่งที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกังวลใจที่สุดไม่กี่วันมานี้ก็คือหลานรักของนาง ซั่งกวนอวี่ไข่ได้ต้องตาต้องใจกับคุณหนูตระกูลเหล่านั้นไปแล้วหรือยัง จึงได้ทิ้งเรื่องทั่วป๋าฉินซินไว้ชั่วคราว ไม่ได้คิดไถ่ถามอันใด และก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง

“น้องสาวเพียงแค่ดื่มสุราหลังอาหารเย็นมากไป จึงเวียนศีรษะเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ!” ทั่วป๋าฉินอินกล่าวอย่างรีบเร่ง คล้อยหลังก็ดึงซั่งกวนพิงถิงที่ดูอยากจะพูดอะไรจนปิดไม่มิดเข้ามา

“ดื่มมากไป? ฉินซินเด็กคนนั้นประพฤติตนดีว่านอนสอนง่ายมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรก็ไม่อาจแตะต้องสุราก่อนเป็นแน่ ข้ออ้างนี้ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยขมวดหัวคิ้ว “พิงถิง เจ้ารู้อะไรมา ลองพูดมาสิ!”

“ท่านย่า คุณหนูสี่ดื่มไปบ้างจริงๆ เจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยากดื่มขนาดนั้น กลับเป็นเพราะมีเรื่องคับข้องใจ ดังนั้นจึงได้ดื่มสุราเพื่อย้อมใจเจ้าค่ะ!” ซั่งกวนพิงถิงได้รับการชี้นำของหวังเหยียนหย่า ส่วนอย่างอื่น นางก็ไม่กระจ่างแจ้งกับท่าทีของทั่วป๋าฉินซินเช่นกัน นางเป็นลูกอนุภรรยา ทั้งยังเป็นประเภทที่มารดาและฮูหยินมีความแค้นแก่กัน ตัวเองก็เป็นลูกอนุภรรยาที่ไม่เป็นที่โปรดปราน แล้วจะสอดแทรกเข้าไปในสถานการณ์พิเศษเช่นนั้นทำไมกัน? เพียงแค่เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว ได้พบหน้ากันครั้งหนึ่ง ยิ้มทักทายให้แก่กันก็เท่านั้น

ไม่กี่วันมานี้ซั่งกวนพิงถิงก็ได้กระตือรือร้นในการผูกสัมพันธ์กับแขกชั้นสูงในเรือนเหนือเรือนใต้พวกนั้นเช่นกัน แต่นางกลับต้องผิดหวังเพราะว่าคุณหนูคุณชายที่ยอมคบค้าสมาคมกับนางล้วนแต่เป็นลูกอนุภรรยากันทั้งนั้น แม้ว่าคุณหนูคุณชายที่เป็นลูกของภรยาเอกจะไม่ได้วางมาดถือตัว แต่เพราะมักจะยุ่งอยู่ตลอดเวลา ยุ่งกับการที่ผูกสัมพันธ์ระหว่างคนที่มีฐานะสูงส่งเท่ากัน ยุ่งกับการทำความรู้จักมักคุ้นสองสามีภรรยาซั่งกวนเจวี๋ย ทั้งยุ่งกับการสานสัมพันธ์กับซั่งกวนอิง หลิงหลงและจิงอิ๋ง กระทั่งแม้แต่ลูกอนุภรรยาที่อยู่ในนามภรรยาเอกก็คล้ายกับไม่มีเวลาเช่นกัน

ซั่งกวนอวี่ไข่ก็เช่นกัน หญิงสาวสูงส่งของลูกภรรยาเอกพวกนั้นเอาแต่ปลีกตัวหลบจากเขา ทำให้เขารู้สึกถูกทิ่มแทงใจเป็นอย่างมาก มีเพียงซั่งกวนอวี่ฮ่าวที่คล้ายจะไม่สนใจอะไรกับสถานการณ์อย่างนั้น ทุกวันตอนเช้าก็จะปลีกตัวออกไป ทำให้ซั่งกวนอวี่ไข่และซั่งกวนพิงถิงที่ต้องการพกเขาไปเป็นเพื่อนต้องคว้าน้ำเหลวทุกครั้ง

เพียงช่วงเวลาสั้นๆ สามสี่วันก็ทำให้ซั่งกวนพิงถิงรู้ซึ้งถึงว่าอะไรคือความแตกต่างของฐานะอย่างชัดเจน ถึงแม้จิงอิ๋งจะนับว่าเป็นเด็กทโมนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงผู้หนึ่ง แม้หลิงหลงมักจะตระหนี่รอยยิ้มให้ผู้คนก็ตาม แต่ฐานะของพวกนางนั้นแตกต่างกัน คำชื่นชมย่อมไม่เหมือนด้วยเช่นกัน ก็จะกล่าวจิงอิ๋งว่าเป็นเด็กที่แก่นแก้วสดใส บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ส่วนหลิงหลงก็จะกล่าวว่านางสุขุมหนักแน่น แต่ตัวเองเล่า? คล้ายกับว่าจะไม่มีสายตาจากใครสาดส่องเข้ามา ทำให้ซั่งกวนพิงถิงที่คิดไปเองว่าตนเป็นดั่งไข่มุกของตระกูลซั่งกวนเกือบจะบ้าคลั่งขึ้นมาอยู่รอมร่อ และในเวลานั้น หวังเหยียนหย่าก็ได้เข้ามาใกล้ชิดนางอย่างอบอุ่น

หวังเหยียนหย่าเพียงแค่รู้จักกับซั่งกวนพิงถิงเท่านั้น เดิมทีก็ไม่ได้สนิทสนม แต่ครั้งนี้หวังเหยียนหย่ากลับดูอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง พูดกับซั่งกวนพิงถิงเรื่องหนึ่ง กล่าวว่าชอบลูกผู้น้องคนนี้มาก ทั้งยังไม่เข้าใจความใจแคบของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ คิดว่านางมีกิริยาวาจาเหมาะสมยิ่งกว่าหลิงหลงและจิงอิ๋งเสียอีก แต่น่าเสียดายที่นางเป็นเพียงคนนอกคนหนึ่ง ไม่อาจเข้าไปแทรกแซงเรื่องภายในตระกูลซั่งกวนได้

ซั่งกวนพิงถิงซาบซึ้งใจ นางรู้ดีว่าหวังเหยียนหย่าย่อมมีเรื่องต้องการให้นางช่วยเหลือ แต่นางก็หาสนไม่ ขอเพียงแค่หวังเหยียนหย่าสามารถเปล่งแสงสว่างนำทางให้กับนาง นางก็ยินดีจะให้ความร่วมมือกับหวังเหยียนหย่าทั้งนั้น และความต้องการของหวังเหยียนหย่าก็ง่ายดาย หากทั่วป๋าฉินซินได้กลายเป็นภรรยารองของซั่งกวนเจวี๋ย เช่นนั้นนางก็จะสามารถหาวิธีให้ซั่งกวนพิงถิงอยู่ภายใต้ชื่อของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ กลายเป็นลูกอนุภรรยาในนามลูกภรรยาเอกได้

หากเป็นก่อนหน้านี้ ซั่งกวนพิงถิงอาจจะคิดใคร่ครวญอยู่บ้าง แต่ยามนี้ไม่แล้ว นางต้องการใครสักคนที่สามารถทำให้นางได้รับฐานะที่มั่นคงต่อหน้าผู้คนอย่างเร่งด่วน ยิ่งไปกว่านั้น นางกระจ่างใจดี ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็คิดอยากจะให้ทั่วป๋าฉินซินแต่งเข้ามาเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นฐานะภรรยารองก็ไม่เป็นไร

ดังนั้น ทั่วป๋าฉินซินจึงจงใจดื่มหนักไปสองแก้ว และหวังเหยียนหย่าก็จัดการให้นางกลับไปยังห้อง จากนั้นก็มาลาทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่นี่

“ดื่มสุราย้อมใจ? ทำไม? ใครทำให้นางเสียใจ เป็นใครที่ทำให้นางคับข้องใจ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยขมวดคิ้ว “หลายวันมานี้ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าอยู่ด้วยกันหรอกหรือ? หรือว่าจะมีคนรังแกฉินซิน?”

“ท่านย่า นี่…” หวังเหยียนหย่าแสร้งมองซังกวนพิงถิงอย่างตำหนิไปทีหนึ่ง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น เพียงแต่ฉินซินคิดใจแคบไปเอง เห็นน้องเจวี๋ยและน้องสะใภ้ใกล้ชิดสนิทสนมจึงรู้สึกปวดใจก็เท่านั้น”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย!” ซั่งกวนพิงถิงกล่าวแย้ง “คุณหนูสี่ได้เตรียมใจเรื่องที่พี่ใหญ่แต่งกับคนอื่นได้ตั้งนานแล้ว จะมาถูกความสัมพันธ์ใกล้ชิดของทั้งสองยั่วยุได้อย่างไร หากไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้ที่งดงามผู้นั้นทำให้คุณหนูสี่เสียใจครั้งแล้วครั้งเล่า นางจะเสียอาการเช่นนั้นได้อย่างไร ถึงขนาดดื่มสุราหนักถึงเพียงนี้”

“เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำอะไรอีก?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยในยามนี้ยังคงไม่ชอบเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ความโกรธสุมอยู่เต็มอก แค่เพียงว่าในตอนนี้ยังอยู่ในช่วงมงคล ชายหญิงที่สนิทสนมจากตระกูลต่างๆ ล้วนเป็นแขกในตระกูลซั่งกวน จึงยังไม่คิดจะลงมือในเรื่องที่อยากกระทำ ควรจะรู้ว่าแม่นมเฒ่าผู้ที่นางส่งไปแต่งหน้าให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในวันแต่งงานก็ยังไม่กลับมา ไม่ใช่ว่าถูกขังอยู่ในเรือนสดับวายุหรือไม่ก็ถูกจัดการไปแล้ว

“ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดฮูหยินจึงได้ชอบหญิงสาวมากเล่ห์ถึงขนาดนี้ นางกล้าพูดเหลวไหล สร้างข่าวลือว่าคุณหนูประพฤติไม่งาม ไปมั่วสุมอยู่กับแหล่งกามาอารมณ์ ทำให้คุณหนูสี่ช่วงนี้ล้วนถูกคนซุบซิบนินทาทั้งต่อหน้าและลับหลัง เช่นนั้นจะไม่เสียใจได้อย่างไรกันเจ้าคะ?” ซั่งกวนพิงถิงแสร้งเป็นลืมว่ายามที่ตนได้ยินข่าวลือนี้ได้หัวเราะอย่างมีความสุขขนาดไหน ก่อนจะกล่าวต่อ “หลังจากนั้นไม่กี่วันมานี้ พวกคุณหนูและสะใภ้แต่ละตระกูลก็ล้วนคิดอยากจะใช้เวลาที่เหลือมาทำความรู้จักมักคุ้นกับสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนเสียหน่อย ภายหลังจะได้ทำเรื่องอันใดง่ายขึ้น แต่นางกลับทำเป็นลำพองตัว ลืมชาติกำเนิดต้อยต่ำที่เป็นลูกพ่อค้าเสียสิ้น ทำเป็นเชิดหน้าชูตาในฐานะสะใภ้ใหญ่ตระกูลซั่งกวน คล้ายกับคางคกขึ้นวอก็มิปาน นางรู้ว่าคุณหนูสี่และคุณหนูชุยอวี่เฟยมีความรู้สึกดีๆ ให้พี่ชายใหญ่ก็ใช้โอกาสยามสนทนากับสะใภ้และคุณหนูพวกนั้นพูดจาถากถางคนอื่น ท่านย่า ท่านคงไม่รู้ นางร้ายกาจจริงเชียว วันแรกคุณหนูสามตระกูลชุย ชุยอวี่เฟยก็ถูกนางเหน็บแนมจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทีเดียว แทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ คุณชายใหญ่และสะใภ้ตระกูลชุ่ยช่วยกันไกล่เกลี่ย วันนั้นก็ได้ส่งชุยอวี่เฟยกลับไปเลยเจ้าค่ะ”

“นางกล้าทำถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ชุยอวี่เฟยเป็นศัตรูหัวใจและคู่อาฆาตของทั่วป๋าฉินซินมาโดยตลอด หากถูกส่งกลับไปนับเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่ควรเป็นเพราะเยี่ยนมี่เอ๋อร์

“ทำไมจะไม่ได้กันเล่าเจ้าคะ น้องสะใภ้เจวี๋ยเป็นคนเจ้าแผนการ ทั้งเป็นคนหลักแหลมคนหนึ่ง ขอเพียงแค่มีข่าวลืออะไรผิดแปลกไปแม้แต่น้อย ก็ถูกนางจับไม่ปล่อยแล้ว ชุยอวี่เฟยเป็นคนไม่ทันคน คิดอยากจะให้หลิงหลงพูดแทนตน ผลปรากฏว่า…” หวังเหยียนหย่ายิ้มอย่างขมขื่น “ท่านย่าคงไม่รู้ หวังเหมยเสียนเคยลอบมาหาน้องสะใภ้เจวี๋ย กล่าวว่าอวี่เฟยยังเด็กมิรู้ความ ขอให้น้องสะใภ้อภัยด้วย แม้ไม่รู้ว่าพวกนางทั้งสองคนคุยอะไรกันไปบ้าง แต่ยามที่หวังเหมยเสียนจากไป ใบหน้ากลับบิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุด วันนี้ข้าไปลอบสืบข่าวนางมา คาดว่าหลังจากที่คนตระกูลชุยกลับไปถึงจือหยาง ก็จะจัดการให้ชุยอวี่เฟย แต่งงานทันที หาตระกูลที่เหมาะสมให้นางแต่งออกไป ข้าว่า น้องสะใภ้เจวี๋ยผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะยอมให้อภัยผู้อื่นได้ง่ายๆ!”

“ดูภายนอกคล้ายว่าไม่ได้มีนิสัยฉุนเฉียวอะไร แต่กลับมีฝีมือเช่นนี้!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยขมวดคิ้ว คำพูดของหวังเหยียนหย่านั้นนางยังคงสงสัยอยู่บ้าง

“ใช่แล้ว!” หวังเหยียนหย่าไม่กังวลว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะสงสัยอะไร ความสัมพันธ์ของนางและตระกูลทั่วป๋านั้นไร้ทางที่จะแบ่งแยกได้ ไม่เหมือนกับตนเองและตระกูลหวัง ดังนั้นนางย่อมต้องลงมือช่วย “แม้ว่าฉินซินจะมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อน้องเจวี๋ย แต่ฐานะที่วางอยู่เช่นนั้นของนาง นางเป็นลูกสาวของภรรยาเอกเพียงคนเดียว ไม่อาจแต่งเป็นอนุภรรยาได้ ฉินหลิ่งเอ็นดูน้อง สาวในไส้ผู้นี้เป็นที่สุด เขาย่อมจะจัดการอย่างเหมาะสม”

“จัดการอย่างเหมาะสมอย่างไร?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเชื่อว่าหากพวกเขามีวิธีก็คงไม่เอาเรื่องนี้มาเปิดเผยต่อหน้าของตนเองหรอก

“ความประสงค์ของฉินหลิ่งก็คือให้ฉินซินบำเพ็ญตน ฝึกฝนจิตใจอยู่ในบ้านสักปีสองปี ภายในปีสองปีนี้นางไม่เห็นหน้าน้องเจวี๋ย และช่วงเวลานั้นน้องเจวี๋ยและน้องสะใภ้ก็อาจจะมีลูกแล้ว รอหลังจากสองปีผ่านไป ฉินซินก็จะรู้ความมากขึ้น ย่อมตัดขาดจากความรู้สึกที่ไม่ควรมีนี้ได้ ถึงเวลานั้น ฉินหลิ่งก็จะจัดหาตระกูลที่เหมาะสมให้ฉินซิน” หวังเหยียนหย่ากล่าวอย่างจนใจ “ดังนั้นหากปีสองปีนี้ฉินซินไม่อาจเข้ามาเยี่ยมเยือนฮูหยินใหญ่ได้ ก็ขอให้ท่านได้โปรดอย่าถือโทษโกรธเลยนะเจ้าคะ”

———————————–

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์
‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset