เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 3 เจตนาที่มา

“ขอบคุณฟ้าดิน คุณหนู ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว!” เมื่อลืมตาขึ้นอย่างสะลืมสะลือ สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าเตียงของนางมาตลอดก็ร้องขึ้น สีหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก ในน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความดีอกดีใจ

“ลู่หลัว ข้าสลบไปนานแค่ไหนแล้ว?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พบว่าเสียงของตัวเองแหบแห้ง คิดว่าคงหมดสติหลับไปนานแล้ว

“สามวันสามคืนแล้ว คุณหนู!” ลู่หลัวยกน้ำอุ่นมาให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างคล่องแคล่ว รอให้นางดื่มอย่างระมัดระวังแล้วพูดว่า “นายท่านกับไท่ไท่มาที่นี่หลายครั้ง ท่านหมดสติมาตลอด ท่านหมอได้เดินทางมาหลายครั้ง หมอบอกว่าท่านเศร้าโศกมากเกินไป จิตใจแตกสลายถึงได้เป็นแบบนี้ คุณหนู ท่านต้องมีกำลังใจนะเจ้าคะ!”

“ช่วยพยุงข้าขึ้นมา” สายตาเย้ยหยันฉายผ่านดวงตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ท่านพ่อมาที่นี่ เขาคงกังวลว่าหากตัวเองมีอันเป็นไปจะอธิบายกับตระกูลซั่งกวนไม่ง่ายสินะ! สำหรับไท่ไท่แล้ว นางกลัวคิดว่าตัวเองจะตายไปแล้ว ครั้นแล้วก็จะให้คุณหนูหกที่เกิดมาจากนางแต่งงานเข้าตระกูลซั่งกวนไปแทนสินะ!

“คุณหนู ท่านระวังหน่อยเจ้าค่ะ” ลู่หลัวพยุงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นอย่างระมัดระวัง ให้นางพิงหมอนบนเตียงให้สูงขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าจะไปที่ห้องครัวเล็ก แล้วยกโจ๊กมาให้ท่าน แม่นมจ้าวทำโจ๊กไว้ตั้งแต่เช้า อุ่นโจ๊กมาให้ท่านตลอด!”

“ไม่ต้องรีบ! อัฐิของท่านป้าเก็บแล้วหรือยัง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กังวลเกี่ยวกับผลพวงจากอาการหมดสติของนาง

“เก็บแล้ว อยู่ในกล่องนั้นเจ้าค่ะ!” ลู่หลัวชี้ไปที่กล่องไม้จันทน์ที่เรียบง่ายใบนั้นบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนหน้านี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เคยกำชับกำชาไว้ หลังจากที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกอยู่ในอาการหมดสติก็ให้คนรับใช้ที่ใจกล้ามาช่วยเก็บรวบรวม

“เจ้าไปเถอะ!” เมื่อเห็นว่ากล่องนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็พอใจมาก และไม่ทำให้สาวใช้ที่ขวัญอ่อนของนางลำบากใจ หลังจากที่นางออกไปอย่างตกประหม่า นางก็ถือกล่องนั้นไว้ในอ้อมอก แล้วพูดพึมพำว่า “ท่านป้า ข้าจะอยู่กับท่านเสมอ จนกว่าข้าจะรู้สึกว่าข้าได้เติมเต็มความปรารถนาสุดท้ายของท่านแล้ว และมีความสุขมากๆ ในวันนั้น!”

ลู่หลัวออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทิ้งให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่คนเดียวเป็นเวลานาน นางรีบกลับมาพร้อมโจ๊กร้อนๆ ชามหนึ่ง เมื่อเห็นกล่องในอ้อมอกของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จึงมีความกลัวเล็กน้อยอยู่บนใบหน้า แต่ก็ยังคงรวบรวมความกล้าเดินไปที่เตียง

“คุณหนู ท่านไม่ได้กินข้าวมาสามวันแล้ว กินโจ๊กก่อนเพื่อให้อุ่นท้องเถิดเจ้าค่ะ” ลู่หลัวนั่งอยู่หน้าเตียงอย่างระมัดระวัง โดยให้ห่างจากกล่องอัฐิให้มากที่สุด

“อื้ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ปฏิเสธน้ำใจของลู่หลัว ลู่หลัวเป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายนางก่อนที่มารดาของนางจะเสียชีวิต เมื่อสามปีก่อน หลังจากที่มารดาจากไปก็ยืนยันที่จะรับใช้นางมาตลอด นอกเหนือจากป้าโม่แล้วสาวใช้คนนี้ก็เป็นหนึ่งในคนสนิท

“คุณหนู ได้ยินมาว่าคนจากตระกูลซั่งกวนมาที่นี่แล้ว” ลู่หลัวมองไปที่ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ และยังยืนกรานที่จะพูดต่อไปว่า “พี่จื่อหลัวไปสืบข่าวมา แต่ก็ไม่รู้ว่าคราวนี้พวกเขามาที่นี่เพื่ออะไ!”

จื่อหลัวเป็นสาวใช้ที่อายุมากอีกคนหนึ่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ฉลาดคมในฝัก กล้าหาญและสุขุมรอบคอบ ป้าโม่เลือกนางมาเป็นพิเศษ และรู้ความลับเล็กน้อยระหว่างป้าโม่กับนาง จึงถือว่าไว้ใจให้ทำงานได้ตามลำพัง

“มีใครในตระกูลซั่งกวนมาบ้าง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เคยสนใจเรื่องสัญญาหมั้นหมายของนางกับตระกูลซั่งกวนมาก่อน ต่อให้การแต่งงานจะใกล้เข้ามาก็ไม่สนใจ แต่ความปรารถนาสุดท้ายของโม่อวี๋ฮวนบังคับให้นางต้องเผชิญกับเรื่องนี้ นางจะไม่ให้โม่อวี๋ฮวนนอนตายตาหลับได้จริงหรือ!

“ได้ยินมาว่ามีหัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลซั่งกวน! คุณหนู ท่านคิดว่าเวลาแต่งงานจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าเจ้าคะ?” ลู่หลัวยังคงกังวลมาก กล่าวกันว่าซั่งกวนเจวี๋ยที่จะกลายเป็นสามีของคุณหนูห้านั้นคืออัจฉริยะที่หาตัวจับยาก ไม่เพียงหญิงสาวในยุทธภพทั้งที่ปรากฏตัวในวงสังคมและไม่ได้ออกหน้าอย่างจริงจังเหล่านั้นพยายามจะเล่นหูเล่นตากับเขา คิดหาทุกวิถีทางจะแต่งงานกับเขาให้ได้ แม้แต่คุณหนูที่มีฐานะอยู่ในตระกูลขุนนางบางคนก็ยังชอบเขา แม้คุณหนูห้าจะงดงามเพียงใดถึงขั้นพูดได้ว่าสวยงามหยาดฟ้า แต่เนื่องจากข้อกำหนดที่เข้มงวดของภรรยารองผู้ล่วงลับไปแล้ว ไม่ว่าในด้านใดก็จะไม่ยอมคน ทว่า…ลู่หลัวแอบชำเลืองมองคุณหนูห้าที่ยังมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่นั้น อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้เกิดมาจากไท่ไท่

แม้ภรรยารองจะเป็นผิงชี[1]ของนายท่าน แต่ภรรยารองก็ไม่ได้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้นายท่านก็ไม่ได้กังวลว่าตระกูลซั่งกวนจะมาถอนหมั้นหรอก!

“วันแต่งงานนั้นนายท่านซั่งกวนจะมาปรึกษาหารือกับนายท่านเป็นการส่วนตัว หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็จะไม่ถึงมือของพ่อบ้านที่จะจัดการ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้กังวลว่างานแต่งจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะนางไม่สามารถทำลายชีวิตสมรสได้ แต่ก็ไม่ได้คาดหวัง

“นั่นก็เช่นกัน! อีกอย่างพิธีใหญ่ทั้งน่าไฉ่ตอนที่ผู้ใหญ่ฝ่ายชายให้แม่สื่อไปทาบทาม ทั้งเวิ่นหมิงตอนที่ฝ่ายหญิงตกลงรับการทาบทามแล้วมอบวันเวลาเกิดให้ฝ่ายชายไปผูกดวงชะตา ตามมาด้วยน่าจี๋การตอบตกลงทั้งสองฝ่ายหลังจากผูกดวงชะตา จนมาถึงพิธีน่าเจิงอันอลังการที่ฝ่ายชายจะนำหนังสือตกลงการหมั้น และหนังสือตกลงการแต่งงานส่งมาถึงบ้านฝ่ายหญิงในวันขอหมั้น ซึ่งไม่ได้จัดเพื่อความมีหน้ามีตาเท่านั้น นับประสาอะไรกับคุณหนูหกกับคุณหนูเจ็ดที่ยังไม่ได้แต่งงานจะอิจฉาตาร้อน แม้แต่พวกคุณหนูใหญ่ก็จ้องตาเป็นมัน!” ลู่หลัวเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ตระกูลซั่งกวนให้ความสำคัญกับคุณหนูนั้นจะมองเห็นได้จากพิธีใหญ่เหล่านี้ คุณหนูแต่งเข้าไปจะมีชีวิตที่มีความสุขแน่นอน

“นั่นคือหน้าตาของตระกูลซั่งกวน จะทำลวกๆ ได้อย่างไร” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นอกจากยังไม่อาจปล่อยวางเรื่องการตายของป้าโม่ได้แล้ว ก็ยังไม่มีความรู้สึกใดๆ กับการแต่งงานที่กำลังจะมาถึง

“คุณหนู ท่านไม่ได้อยู่ตรงนั้น ข้าคิดว่า ตระกูลซั่งกวนรู้จักคุณหนูดี ให้ความสำคัญมาก! แล้วยังมีไท่ไท่ของซั่งกวนคนนั้นอีกด้วย แม้นางจะไม่ได้มาด้วย แต่นางส่งเครื่องประดับชั้นยอดมาตั้งหลายชิ้นเจ้าค่ะ! ทุกชิ้นงานประณีตละเอียดอ่อน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดีหมดทุกอย่าง คุณหนู ท่านไม่รู้หรอกว่า ไท่ไท่ขี้อิจฉายิ่งนักล่ะ!” ลู่หลัวเบิกบานใจเมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านั้นแล้วพูดว่า “คุณหนู คนเขาพูดกันว่าแม่สามีกับลูกสะใภ้เป็นศัตรูกัน แต่ข้าคิดว่า ท่านยังไม่ผ่านการแต่งงาน ไท่ไท่ของซั่งกวนก็เอาอกเอาใจท่านไว้แล้ว หลังจากที่ท่านแต่งเข้าไป นางจะรักท่านมากขึ้นเป็นแน่!”

“บางทีสินะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบอย่างปฏิเสธไม่ได้ นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ป้าโม่ยืนกรานจะให้ตัวเองแต่งงานใช่หรือไม่! เมื่อพูดถึงหวงฝู่เยวี่ยเอ้อภรรยาของซั่งกวนฮ่าว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้สึกซาบซึ้งใจมากขึ้น แม้จะเป็นเพราะนางที่มีส่วนร่วมในการแต่งงานครั้งนี้ แต่นางก็รักเยี่ยนมี่เอ๋อร์จริงๆ…บางทีอาจเป็นเพราะความผูกพันกับมารดา แต่ความตั้งใจนั้นไม่อาจปฏิเสธได้

เมื่อสามปีก่อน ในที่สุดมารดาก็ไม่อาจรอดพ้น เสียชีวิตตอนที่อายุยังน้อย นับเป็นครั้งแรกที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในวัยสิบสี่ปีได้พบหวงฝู่เยวี่ยเอ้อผู้สูงศักดิ์และสง่างามแต่มีชีวิตชีวา นางไม่ได้พูดอะไรเลยนอกจากคำแสดงความเสียใจ และเข้ามากอดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ไม่ทันตั้งตัวและจมอยู่กับความเจ็บปวดไว้ในอ้อมแขน นางเอ่ยแต่ละคำว่า ‘ลูกเอ๋ยลูกเอ๋ย’ แล้วร้องไห้เหมือนจะขาดใจ ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกถึงความจริงใจของนาง

“มี่เอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว!” เสียงที่ค่อนข้างเสแสร้งหลุดออกมาจากปากของชายที่เดินสามขุมเข้ามา นั่นคือชายในวัยสี่สิบกว่าปี ซึ่งเป็นบิดาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เมื่อเห็นเพียงสีหน้าของเขาเปล่งประกาย จึงเห็นได้ชัดว่ามีข่าวดีอะไรบางอย่าง

“ท่านพ่อมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองไปที่ชายตรงหน้าโดยไม่มีเยื้อใยใดๆ สำหรับนางแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่มีความรู้สึกอื่นใด นอกจากสายสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ไม่อาจตัดขาดได้ ความผูกพันสายใยบางๆ เมื่อครั้งยังเยาว์วัยก็มลายหาย ไปหมดเกลี้ยง ในช่วงสามปีนับตั้งแต่มารดาจากไป เพราะเป็นเรื่องที่ทนไม่ได้

“มี่เอ๋อร์ นายท่านของซั่งกวนส่งพ่อบ้านมารับเจ้า เจ้าพักผ่อนคืนนี้ให้เต็มที่ และออกเดินทางในเช้าวันพรุ่งนี้!” นายท่านเยี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “โชคดีที่เจ้าฟื้นขึ้นในวันนี้ ไม่เช่นนั้นก็จะเลื่อนเวลาออกไปอีก!”

“ออกเดินทางพรุ่งนี้? วันแต่งงานกำหนดไว้เป็นแรมสิบค่ำของเดือนหน้าไม่ใช่หรือ? เหตุใดต้องออกเดินทางในวันพรุ่งนี้?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นไปได้ไหมที่ซั่งกวนเจวี๋ยจะป่วยหรือได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องเลื่อนวันแต่งงาน และนางได้กลายเป็นเจ้าสาวที่มาขจัดเสนียดจัญไรตามที่กล่าวกันไว้ หากเป็นเช่นนั้น ก็ทำไมจะไม่ถือว่าเป็นข่าวดี…แน่นอน สิ่งที่เรียกว่าดีนั้นหมายความว่าชีวิตของซั่งกวนเจวี๋ยจะไม่ยาวนาน

“คืออย่างนี้! ตระกูลซั่งกวนไม่ได้มานับสินเดิมของเจ้าหรอก!” นายท่านเยี่ยนพูดอย่างตื่นเต้นดูเหมือนสินเดิมเหล่านั้น

จะเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี…สินเดิมของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีมากมายจริงๆ มีหนึ่งร้อยยี่สิบชั่งเต็มๆ ในหนึ่งร้อยยี่สิบชั่งนี้มียี่สิบชั่งที่เป็นของมารดาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ฝากไว้ให้

แม้นางจะเกิดในครอบครัวที่อดีตเคยมั่งคั่ง แต่บิดาพบกับอุปสรรคขวากหนาม จึงมีเหตุจำเป็นให้นางแต่งเป็นผิงชีของนายท่านเยี่ยน แต่ถึงอย่างไรก็เกิดในตระกูลปัญญาชน ปู่เคยเป็นขุนนางในราชสำนักมานานหลายสิบปี ถึงแม้บิดาจะเป็นลูกชายคนที่สอง แต่ก็เป็นลูกชายคนที่สองสายภรรยาหลวงเช่นกัน ยังมีข้าวของดีๆ อีกไม่น้อย นางจัดเตรียมของเหล่านี้ก่อนจะเสียชีวิตไว้เรียบร้อย เพื่อให้ลูกสาวไว้ใช้ยามออกเรือนจะได้ไม่น้อยหน้าใคร อย่างไรก็ตามสิ่งของเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นเครื่องเคลือบลายคราม ภาพวาดตัวอักษรและตำราต้นฉบับดั้งเดิม แม้จะถือว่าเป็นของมีค่า แต่ในตระกูลเยี่ยนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นทองแดงของผู้มีอันจะกินจึงไม่มีใครชื่นชมจริงๆ นอกจากพวกนางสองแม่ลูก จึงเป็นสาเหตุที่นายท่านเยี่ยนกับไท่ไท่ยังไม่ได้ตัดสินใจมาตลอด

เครื่องประดับและเพชรนิลจินดาที่มารดาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทิ้งไว้มีไม่มากนัก แต่ในท้ายที่สุดนอกจากสร้อยข้อมือหยกที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นแล้ว ก็ถูกสองสามีภรรยากับคุณหนูพวกนั้นพยายามเจรจาขอจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเต็มที่ ส่วนสินสอดทองหมั้นอื่นๆ มีสี่สิบชั่งเป็นของตระกูลเยี่ยนที่เตรียมไว้ดิบดีแล้ว…ไม่ว่าจะอย่างไร คู่หมั้นคู่หมายคือตระกูลซั่งกวน สำหรับตระกูลเยี่ยน ถือเป็นกรณีพิเศษ เพราะประการแรกนายท่านเยี่ยนไม่เต็มใจจะใช้เงินจำนวนมากขนาดนั้นกับบุตรสาวที่ตัวเองไม่ได้สนิทด้วย ประการที่สองคือขัดไท่ไท่ที่จุกจิกจู้จี้และพูดพล่ามไม่หยุด ดังนั้นเงินสินสอดสี่สิบชั่งส่วนใหญ่จึงเป็นของตกแต่งเครื่องเรือน นอกเหนือจากโฉนดที่ดินแปลงหนึ่งแล้ว สิ่งของที่มีค่าที่สุดคือเครื่องประดับชั้นยอดเท่านั้น ที่นาสักหมู่ก็ไม่มี ตระกูลซั่งกวนคาด การณ์สถานการณ์เช่นนี้มาก่อนแล้ว หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจึงเป็นคนใช้เงินส่วนตัวซื้อบ้านราคาหกสิบชั่ง มีบ้านพร้อมโฉนดที่ดิน ที่นาอุดมสมบูรณ์และร้านค้าทั้งหมดครบครัน กล่าวกันว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดคำหนึ่งในเวลานั้น เมื่อลูกสะใภ้ของข้าแต่งเข้ามา ไม่ต้องตระหนี่ถี่เหนียว เสื้อผ้าอาภรณ์ในระยะสิบลี้ก็ยังจำเป็น

“สินสอด? ต้องตรวจนับด้วยหรือ? นอกจากของตกแต่งเรือน เสื้อผ้า ผ้าห่มและอื่นๆ ที่จำเป็นในห้องเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้ว ตระกูลซั่งกวนจัดการทั้งหมดไม่ใช่หรือ? โอ้ ท่านแม่ยังมีของลายคราม ภาพวาดตัวอักษรและตำราที่ทิ้งไว้ด้วยก็นับเป็นของตระกูลเยี่ยน!” คำพูดเย็นชาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้นายท่านเยี่ยนรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย

“อะแฮ่ม ตระกูลซั่งกวนได้ยินมาว่าสุขภาพของเจ้าไม่ค่อยดี กังวลว่าเจ้าจะเหนื่อยจากการเดินทางไกล ดังนั้นหวังว่าเจ้าจะไปที่ลี่โจวก่อนสักหน่อย แล้วพักผ่อนในเรือนที่นายท่านซั่งกวนจัดให้เจ้าเป็นพิเศษ ถ้าเป็นแบบนี้ในวันแต่งงานเจ้าจะไม่เหนื่อยเกินไป นายท่านซั่งกวนให้คนคำนวณเวลา ถ้าเราเอาสินสอดไปในระหว่างทางด้วย จะใช้เวลาประมาณสิบสองวันจาก

อู๋โจวถึงลี่โจว บัดนี้วันที่ยี่สิบแล้ว ถ้าเราออกเดินทางในตอนนี้ เจ้าก็จะฝึกฝนที่นั่นได้นานกว่าครึ่งเดือน และจะได้ไม่มีเรื่องที่ไม่ชินกับดินฟ้าอากาศอะไรทำนองนั้นเกิดขึ้นด้วย! “นายท่านเยี่ยนอธิบาย

“พวกเรา? นอกจากสาวใช้และแม่นมที่เป็นสินเดิมของข้าแล้วยังมีใครอีกบ้าง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามอย่างเยาะเย้ยเล็ก น้อย นางมีสาวใช้ที่เป็นสินเดิมหกคน ยกเว้นสาวใช้รุ่นใหญ่สองคนคือลู่หลัวกับจื่อหลัวแล้ว ครึ่งปีที่ผ่านมายังมีสาวใช้ตัวน้อยอีกสี่คน ล้วนเป็นคนที่เพิ่งซื้อเข้าจวนได้ไม่นานจึงเรียกใช้สอยได้ไม่ถนัดมือนัก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ชอบให้พวกนางมาอยู่ใกล้ๆ นอกจากแม่นมที่เป็นสินเดิมซึ่งอยู่กับป้าโม่ คือแม่นมจ้าวที่ดูแลนางมาตั้งแต่เด็กแล้ว ยังมีแม่นมฉินกับป้าเซียงซึ่งทั้งสองเป็นสินเดิมของมารดา คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายมารดามานานหลายปี ต่างไว้วางใจได้ทั้งหมด พวกนางล้วนมีสาวใช้ชั้นสองสองคนรอรับใช้อยู่ข้างๆ

“ข้าจะให้ครอบครัวเต๋อฝูไปกับเจ้าด้วย เต๋อฝูเป็นมือเก่าในงานบัญชี ภรรยาของเขาก็เป็นคนเก่ง ลูกชายของเขาก็เป็นคนมีความสามารถ เจ้าให้พวกเขาดูแลร้านค้าและที่นาพวกนั้นได้ ชาวนาที่ให้เช่าก็ช่วยเจ้าดูแลได้เช่นกัน” นายท่านเยี่ยนพริ้มตายิ้มเมื่อพูดเช่นนี้ พลางกล่าวว่า “ข้าได้เห็นร้านค้าหลายแห่งนั้นแล้ว ล้วนเป็นสถานที่ชั้นหนึ่งในเมืองลี่โจว โดยเฉพาะร้าน อาหาร ปีๆ หนึ่งทำกำไรได้เป็นหมื่นตำลึงยอดเยี่ยมไปเลย…”

“แล้วไงเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะอย่างเฉยชา

“นั่นคือสินสอดของเจ้านะ แน่นอนว่าเจ้าต้องหาคนที่ไว้ใจได้มาจัดการไม่ใช่เหรอ!” นายท่านเยี่ยนพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ “หรือว่ายังจะให้ทาสในเรือนของตระกูลซั่งกวนมาดูแล? เจ้าไม่กลัวพวกเขาจะหลอกล่อตกแต่งบัญชีหรือ?”

“ยังมีอะไรอีกหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้กังวลกับปัญหานี้ แต่นางค่อนข้างแน่ใจว่า นางจะไม่ใช้คนที่นายท่านเยี่ยนส่งมาให้นางดูแลร้านเด็ดขาด ต่อให้จะถูกส่งคืนไปยังตระกูลซั่งกวน ก็จะไม่ให้ตระกูลเยี่ยนได้ไปครอบครอง

“ข้ากับไท่ไท่และน้องสาวสองคนของเจ้าก็จะไปด้วย…” ในขณะที่พูดถึง นายท่านเยี่ยนมองไปเห็นสีหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่วิตกกังวลเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ลี่โจวเป็นเมืองที่ร่ำรวยและมั่งคั่งที่สุดของต้าเยียน มีหลายตระกูลที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ที่นั่น น้องสาวทั้งสองของเจ้าจะได้ใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับลูกคุณหนูอีกสักสองสามตระกูล…พวกนางล้วนเป็นยอดหญิงงาม หากได้แต่งงานกับครอบครัวอย่างตระกูลซั่งกวนก็จะเป็นประโยชน์กับเจ้าด้วยนะ!”

“ตระกูลซั่งกวนส่งใครมาบ้าง ข้าอยากพบเขา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หัวเราะเยาะเย้ยอีกครั้ง ลี่โจวเป็นสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในต้าเยียนจริงๆ และเป็นสถานที่ที่รวมตระกูลขุนพลขุนคลังไว้มากที่สุด น้องสาวทั้งสองของนางก็สวยสดงดงามจริงๆ เสียด้วย แต่พวกนางจะต้องตาต้องใจลูกหลานของตระกูลผู้มีอิทธิพลเหล่านั้นได้หรือไม่? นางสงสัยอยู่มาก!

“มี่เอ๋อร์” นายท่านเยี่ยนตื่นตระหนกเล็กน้อย ถ้านางพูดอะไรบางอย่างที่ไม่ดีกับพ่อบ้านของตระกูลซั่งกวน ความคิดที่ปรารถนาของตัวเขาเองก็จะมลายหายไป

“พวกท่านอยากไปก็ไปเถอะ ข้ามีเรื่องอื่นจะพูดกับเขา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าเขาเป็นห่วงเรื่องอะไร นางไม่ได้มีเจตนาจะทำลายสิ่งใด สิ่งที่นางเชื่อได้อย่างแท้จริงคือ แม้น้องสาวทั้งสองนั้นจะรูปโฉมโนมพรรณดีเหนือกว่า แต่มีกิริยาไม่กล้าประจบสอพลอ ลูกหลานของตระกูลที่มีความสามารถจะมองพวกนางก็เป็นเรื่องยากมาก แน่นอนว่าถ้ารับอยู่ในฐานะอนุภรรยายังพอเป็นไปได้

“โอ้ งั้นดีเลย! เจ้าจะไปพบเขาที่ไหน?” นายท่านเยี่ยนถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เชิญเขาไปพบที่ห้องรับแขกในสวนดอกไม้เถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองไปที่นายท่านเยี่ยนแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนถึงจะไปพบแขก”

“ดี! ดี!” นายท่านเยี่ยนละล่ำละลักรับคำ

—————————————————–

[1] ผิงชี เป็นตำแหน่งภรรยารองลำดับต่อๆ ไปในบ้านเดียวกัน มีสถานะเป็นภรรยาเทียบเท่าภรรยาหลวง สูงกว่าอนุภรรยา

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset