เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 54 พบหน้า

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมาถึงเรือนสดับวายุหลังจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินทางไปอารามสัตตบุษย์ได้สามวัน นางไม่ได้แจ้งให้ใครทราบจึงตรงไปที่เรือนปทุมวายุที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์อาศัยอยู่

อากาศวันนั้นตะวันฉายแสงเจิดจ้าอย่างหาได้ยาก ไอแดดอบอุ่นส่องกระทบผู้คน รู้สึกผ่อนคลายและสบายตัวจนยากจะอธิบาย ก็หาได้ยากเหมือนกันที่มี่เอ๋อร์จะไม่อุดอู้ เอาแต่ปักผ้าอยู่ในห้อง จึงสั่งให้สาวใช้หลายคนย้ายโครงปักไปใต้ต้นจามจุรีน้ำที่เพิ่งผลิใบอ่อนเขียวขจีออกมาใหม่ในเรือนปทุมวายุ ส่วนนางสวมชุดสีขาวนวลจันทร์ ปักลวดลายอยู่ใต้ต้นไม้อย่างตั้งใจ แม้จะรู้ว่ามีคนเข้ามาในเรือน แต่ทั้งสามคนก็จงใจผ่อนฝีเท้าลง เยี่ยนมี่เอ๋อร์เลยไม่ไปมองพวกเขา ง่วนปักดอกไม้ของตนเองโดยทำเป็นไม่รู้อย่างสบายใจ

พอหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเข้ามาในประตูเรือนก็เห็นฉากที่เงียบสงบและกลมกลืน หญิงสาวที่นุ่มนวลผู้หนึ่งหันหลังติดประตูเรือน ก้มหน้าปักผ้าอยู่ เกล้าผมไว้บนศีรษะ เผยให้เห็นลำคอระหงขาวนวลเนียนละเอียด แสงอาทิตย์ส่องผ่านช่องว่างของใบไม้ที่ไม่หนาแน่น แสงสีทองเป็นจุดระยิบระยับตกลงบนชุดสีขาวนวลจันทร์ของหญิงสาว ช่างงดงามและพร่างพราว ข้างกายนางมีสาวใช้เงียบกริบสี่คน คนหนึ่งกำลังถักถุง นางปักลายดอกไม้อย่างว่องไว คล่องแคล่วราวกับผีเสื้อหลากสีที่บินอยู่ท่ามกลางมวลบุปผา อีกคนกำลังปักกระเป๋าเหอเปา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและจริงจัง ดูเหมือนทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกหล้า มีสาวใช้หน้าตาสะสวยกำลังงัดแงะขวดและกระบอกเล็กๆ ชงชาเป็นระยะๆ สาวใช้ที่มีใบหน้าจริงจังก็เปลี่ยนชาให้หญิงสาวทันที ยังมีสาวอีกใช้คนหนึ่งทำหน้าสับสนและกลัดกลุ้มอยู่ด้านข้างมองไปทางสาวใช้ที่ถักถุง นางก็มีด้ายสีแดงอยู่ในมือเช่นกัน เพียง แต่เพิ่งเริ่มต้น ก็ลงมือไม่ได้เสียแล้ว…

“แค่ก…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ต้องการจะขัดจังหวะฉากที่หายากนี้ เป็นแม่นมหยางที่อยู่ข้างๆ นางจงใจกระแอมส่งเสียงออกมา

ดูเหมือนภาพตรงหน้าจะชะงักลงเล็กน้อย แล้วก็ขยับอีกครั้ง สาวใช้ที่ใบหน้าจริงจังมองเห็นเข้า ในดวงตาเปล่งประกายแวววาวเต็มไปด้วยความเข้มงวด สาวใช้ที่ถักถุงก็มองมาด้วย ดวงตากลมโตที่ตกใจตื่นเผยให้เห็นความอยากรู้อยากเห็น สาวใช้หน้าตาสะสวยจึงมองไป นัยน์ตาดั่งหงส์ที่สดใสก็ไม่พอใจอย่างมาก สาวใช้ที่ยืนดูอยู่ด้านข้างก็มองไปเช่นกัน เกิดความตื่นตระหนกนิดหน่อยในดวงตาที่กะพริบสับสน มีเพียงหญิงสาวคนเดียวเท่านั้นที่เอียงศีรษะน้อยๆ แสงแดดอันอบอุ่นในดวงตาแจ่มใสดุจน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ยังไม่ทันได้หุบรอยยิ้มที่มุมปากก็ทำให้คนทั้งคนดูอ่อนโยนไร้ใดเปรียบ

“บ่าวช่าจื่อ คารวะฮูหยินเจ้าค่ะ!” ความมึนงงในดวงตาของช่าจื่อเลือนหายไปเมื่อเห็นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ นางทำความเคารพหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างนอบน้อม จับมือที่จะเริ่มถักถุงข้างนั้นไว้แน่น

“เอ๊ะ!” หญิงสาวอุทานด้วยเสียงประหลาดใจ ทั้งแปลกใจและทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย มือที่จับเข็มอดสั่นไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าจะถูกเข็มตำโดยไม่ได้ตั้งใจ นางข่มกลั้นความเจ็บปวด ซ่อนมือไว้ข้างหลัง บนใบหน้าเจือความเสียใจระคนเจ็บปวดแล้วหยัดกายลุกขึ้น จื่อหลัวที่ไหวตัวทันเข้าช่วยประคอง นางพลางกล่าวเสียงอ่อนนุ่มอวยพรหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างสุดซึ้งว่า “มี่เอ๋อร์น้อมคำนับฮูหยิน ขอฮูหยินอายุยืนนานเจ้าค่ะ!”

ช่างเป็นคนที่เหมือนผลึกแก้ว! หวงฝู่เยวี่ยเอ้อทุ่มเทพลังเกือบทั้งหมดให้กับนาง ไหนเลยจะไม่รู้รายละเอียดหยุมหยิมนั้น ผู้หญิงคนนี้ถึงจะเป็นภาพบุตรสาวที่สมบูรณ์แบบที่สุดในใจของนาง แต่…ถ้าเป็นสะใภ้ละก็ ดูจะอ่อนแอไปเสียหน่อย…

“มี่เอ๋อร์ไม่ต้องมากพิธี” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคิดทีละเรื่องแวบเข้ามาในใจ บ่าวแต่ละคนก็ไม่รอช้า หลังจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์โค้งคำนับก็ช่วยพยุงนางขึ้นทันที หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมองใบหน้าของนางที่คล้ายกับสหายเก่า ก็ทำให้หัวใจอ่อนโยนขึ้นอีกครั้ง

“ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้นและปล่อยมือซ้ายลง จื่อหลัวที่อยู่ข้างนางหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ปักออกมาอย่างระมัดระวังในฉับพลัน แล้วเช็ดหยดเลือดที่ซึมออกมาจากนิ้วของนางให้แห้ง พร้อมกับใบหน้าที่ดูเป็นทุกข์เผยให้แม่นมหยางมองเห็นตรงๆ จึงประทับใจจื่อหลัวขึ้นเล็กน้อย

“เข็มตำเจ็บสินะ” ใบหน้าของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเต็มไปด้วยความห่วงใย บุตรสาวของนางคนหนึ่งโอหังอวดดีจึงห่างเหินและไม่ได้อยู่ใกล้นาง ส่วนอีกคนหนึ่งก็เหมือนลิงป่าไม่รู้ความ นับประสาอะไรกับเข็มตำ ต่อให้จะถูกมีดฟันหรือดาบแทง ก็จะไม่แสดงท่าทางเช่นนี้ ยิ่งไม่มีโอกาสให้นางแสดงความรักของแม่เสียด้วยซ้ำ

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ!” บนใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แดงระเรื่อขึ้นแกมความเขินอายเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ตอนที่ยังเป็นเด็กเพิ่งเริ่มเรียนงานเย็บปักถักร้อย มักจะโดนเข็มตำบ่อยๆ แต่ก็ชินแล้วเจ้าค่ะ”

งดงาม! หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมีเพียงความรู้สึกนี้อยู่ในใจ จงเสวี่ยฉิงก็เป็นคนงามที่หายากและน่าทึ่งเช่นกัน แต่นางฉลาดและมีเหตุผลมากเกินไป ไม่ค่อยแสดงความอ่อนโยนของเด็กผู้หญิงออกมา ทำให้คิดจะพึ่งพานางอย่างช่วยไม่ได้ แต่จะไม่สงสาร จึงรู้สึกเสมอว่าต่อให้ท้องฟ้าจะถล่มลงมา แต่ไหล่อันบอบบางนั้นก็จะต้านไว้ได้ ทว่าเห็นได้ชัดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เป็นเช่นนั้น ดูเหมือนนางจะเป็นกล้วยไม้ในเรือนแก้วที่ถูกเลี้ยงในห้องส่วนตัวจึงไร้ซึ่งประสบการณ์ ไม่รู้ถึงความทุกข์ทรมานของโลกมนุษย์ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมบรรดาบุตรสาวถึงพูดว่านางเป็นคนมีเหตุผล และมักจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจเล่า?

“คุณหนู บ่าวจะเก็บกวาดของพวกนี้ก่อนนะเจ้าคะ” จื่อหลัวรู้ได้ทันทีว่า หวงฝู่เยวี่ยเอ้อตั้งใจมาหาเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นพิเศษ ทั้งสองคนต้องพูดอะไรกันมากมาย ไม่มีเวลาจะปักในวันนี้แล้ว

ราวกับได้รับคำเตือนจากจื่อหลัว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลอบสูดหายใจเข้าลึก ข่มความเขินอายจางๆ บนใบหน้าลง (แต่เดิมความเขินอายนั้นถูกแสร้งทำออกมา ระงับไว้จึงง่ายมาก ช่างน่าขัน…) แล้วพยักหน้าอย่างสุขุม ทั้งยังเก็บความอ่อนแอของทั้งร่างกาย ผงกศีรษะอย่างสงบ แล้วพูดกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่ฉายแววชื่นชมอยู่ในสายตาว่า “ฮูหยินนั่งพักสักครู่ ดื่มชาพลางๆ หรือจะให้มี่เอ๋อร์เดินเป็นเพื่อนท่าน?”

สมกับเป็นลูกสาวของคุณหนูฉิง! หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้สึกชมเชยอยู่ในใจ แม้บรรดาบุตรสาวจะบอกว่านางเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ฉลาดและมีสติปัญญา แต่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตนปรากฏตัวในทันใด คาดว่าก็คงไม่ได้เห็นด้านที่นุ่มนวลของนางหรอก! ไม่ว่าจะแสร้งทำเป็นสงบและเข้มแข็งหรือไม่ แต่ในฐานะว่าที่สะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน ต่อให้จะแสร้งก็ต้องแสร้งทำออกมาอย่างพองาม มีความอ่อนโยนเปรียบดั่งวารี ทั้งมีท่าทีเข้มแข็งและนิ่งสงบ การที่สามารถหาภรรยาที่อบอุ่นอ่อนโยนให้เจวี๋ยเอ๋อร์ ทั้งทำให้ตระกูลซั่งกวนมีสะใภ้ใหญ่ที่สุขุมและใจกว้างได้เช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่สมบูรณแบบ!

ยิ่งไปกว่านั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ถึงความจงใจของตนที่มาอย่างกะทันหัน แต่ไม่ได้กระโตกกระตาก ดูท่านางจะมีความคิดหูตาว่องไวอยู่บ้าง! เพียงแต่…หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้สึกเศร้าเล็กน้อย น้องฉิงนั้นฉลาดและมีสติปัญญาเพียงใด ต่อให้ลูกสาวของนางจะเป็นอัคนีที่แข็งแกร่ง แต่ก็มิวายถูกนางเจียระไนเป็นหยกสินะ!

“วันนี้อากาศดีมาก ลมพัดโชย แสงแดดก็ไม่แรง ออกไปเดินเล่นกันเถอะ” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมีเรื่องจะพูดคุยกับนางมาก ประการแรก มาลองหยั่งเชิงดูท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์สักหน่อย ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเลือกจะเชื่อสายตาและสัญชาตญาณของตัวเองมากกว่า จึงควรสำรวจความจริงด้วยตัวเองจะดีกว่า ประการที่สอง จำเป็นต้องพูดคุยกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ในเรื่องบางอย่างของตระกูลซั่งกวน เพื่อที่นางจะได้เข้าใจว่าตัวเองเข้ามาในตระกูลซั่งกวนแล้วจะเผชิญกับสภาพแวดล้อมแบบไหนในอนาคต จะทำให้นางมีเวลาคิดพิจารณา และเผชิญกับความเป็นจริงได้อย่างไร

“เจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างโอนอ่อนผ่อนตาม นางไม่ต้องพูดอันใด จื่อหลัวก็หยิบเสื้อคลุมสีเรียบเหมือนกันออกมาจากห้องแล้วสวมให้นางอย่างระมัดระวัง

เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยุงหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างระมัดระวัง แล้วออกจากเรือน สาวใช้ใหญ่ก้าวนำไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แม่นม

หยางกับสาวใช้อีกสองคนเว้นระยะห่างจากทั้งสองคนอย่างตั้งใจ จื่อหลัวและช่าจื่อตามหลังมา ช่าจื่อต้องการเข้าใกล้อีกนิด แต่ถูกจื่อหลัวรั้งไว้ จึงเดินตามแม่นมหยางไป

แม่นมหยางเห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของจื่อหลัว ก็ประเมินสาวใช้คนนี้สูงขึ้นอีกหลายส่วน ดูท่าไม่เพียงจะจงรัก ภักดีต่อเจ้านายอย่างจริงใจ แต่ยังมีไหวพริบ เข้าใจสถานการณ์ได้ดี และคาดเดาความคิดของเจ้านายได้อีกด้วย นึกไม่ถึงว่าจะได้รับการปลูกฝังจากแม่นมฉินที่ร้ายกาจและแกร่งกล้าเช่นนั้น!

“หลายวันนี้มี่เอ๋อร์อยู่สบายดีหรือไม่?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ลี่โจวมีสภาพอากาศแตกต่างจากอู๋โจว มีตรงไหนปรับตัวไม่ได้บ้างหรือเปล่า? ถ้ายังปรับตัวไม่ได้ละก็ อย่าเก็บไว้ในใจและน้อยใจเองเลย”

“มี่เอ๋อร์สบายดีทุกอย่าง ทำให้ฮูหยินเป็นห่วงแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับไปสู่ความเย็นชาที่เคยมีมาตลอด น้ำเสียงก็ไม่ได้อ่อนนุ่มเหมือนตอนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก แต่มีรอยยิ้มบางๆ ที่ยากจะสัมผัสพลางพูดว่า “มี่เอ๋อร์มีแม่นมฉินอยู่ข้างกาย ยังมีสาวใช้อีกสองสามคนที่ทำให้แม่นมเคยชินกับความไร้ระเบียบ ต่อให้มีจุดที่มี่เอ๋อร์ไม่อยากปรับตัวก็คงทำได้ยาก”

จู่ๆ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็นึกถึงความขมขื่นของหวงจิ่วเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็รู้สึกขบขันขึ้นมาในใจเช่นกัน…

นางรู้ดียิ่งกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เสียอีกว่าทั้งสี่คนเป็นเพียงสาวใช้ชั้นสาม ซึ่งทำให้หัวหมุนได้อยู่แล้ว จึงพูดกลั้วหัวเราะว่า “พวกนางล้วนได้รับการปลูกฝังจากแม่นมฉินมาอย่างยากลำบาก ย่อมจะปรนนิบัติเจ้าได้อย่างสะดวกสบาย”

“งั้นหรือเจ้าคะ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองไปที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อแสร้งทำเป็นงงงวยแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าป้าโม่เพิ่งซื้อพวกนางมาเมื่อหกเดือนก่อนหรอกหรือ? เหตุใดถึงพูดว่าแม่นมฝึกฝนมาเป็นพิเศษเล่าเจ้าคะ?”

“ที่แท้แม่นมฉินยังไม่ได้เล่าให้มี่เอ๋อร์ฟังสินะ” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่รู้ จึงมองไปที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยความประหลาดใจพลางกล่าวว่า “พวกนางสองสามคนได้รับการคัดเลือกมาอย่างดีจากสาวใช้เกือบร้อยคนเมื่อสามปีก่อน จากนั้นก็คัดกรองจากสาวใช้ที่เลือกมาจากหลายสิบคนอีกครั้งหนึ่งถึงจะได้มาอยู่ที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงการให้พวกนางเป็นสาวใช้ชั้นสาม ต่อให้เป็นสาวใช้ชั้นหนึ่งก็เป็นได้อย่างสบาย”

“สามปีก่อนหรือ?” ทันใดนั้นเสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อ่อนลง พร้อมกับความเศร้าที่ไม่อาจพรรณนาได้แล้วกล่าวว่า “ที่แท้เป็นความคิดของท่านแม่ มิน่าเล่าพวกนางถึงเชี่ยวชาญปานนั้น และไม่น่าแปลกใจที่แม่นมฉินจะปล่อยพวกนางขนาดนั้น…”

“มี่เอ๋อร์…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อตบมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างรักใคร่เอ็นดู แต่ไม่รู้ว่าควรจะปลอบนางอย่างไรดี สาวใช้เหล่านี้เป็นคนที่จงเสวี่ยฉิงยามมีชีวิตอยู่ได้มอบหมายให้แม่นมฉินและป้าโม่ฝึกฝนมาเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะยังไม่แน่ใจถึงความตั้งใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ในการแต่งงานครั้งนี้ ทั้งคู่มีความเห็นเดียวกันว่าจะปกปิดเรื่องนี้ไว้ แต่ในบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ก็มีเซียงเสวี่ยที่พิเศษมากเช่นกัน

เมื่อเห็นเซียงเสวี่ยครั้งแรก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้ว่าไม่ใช่อย่างที่แม่นมจ้าวเคยพูดว่าได้เตรียมซื้อสาวใช้ไว้แล้วเมื่อครึ่งปีก่อน และเชื่อว่าแม่นมจ้าวที่รักตนเหมือนลูกเหมือนหลานแต่ขาดไหวพริบไปบ้างนั้น ก็คงถูกปิดบังด้วยเช่นกัน

“ไม่เป็นไร ข้าแค่…นิดหน่อย ข้าสบายดี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แกล้งทำเป็นเข้มแข็งในครั้งนี้โดยไม่ได้แสร้งทำ พลางคิดว่าท่านแม่เป็นคนเดียวที่รักนางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“น้องฉิงสอนเจ้าได้ดีมาก” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ พลันคิดถึงบุตรสาวทั้งสองของนางที่ไม่คิดสนใจอะไรเลย จากนั้นมองคนที่เหมือนผลึกแก้วตรงหน้า หวงฝู่เยวี่ยเอ้อต้องการชื่นชม แต่คนที่อยู่ตรงหน้าคือลูกสาวของจงเสวี่ยฉิง และเป็นลูกสะใภ้ของนางเอง หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ได้ลำเอียงอะไรในจิตใจ กลับกันนางรู้สึกยินดีเล็กน้อย ทั้งยังภูมิใจที่ตนเองได้จัดการงานแต่งงานครั้งนี้ได้อย่างจริงจัง…แต่ไหนเลยนางจะรู้ว่า แม้แต่เป็ดที่ปรุงสุกแล้วก็ยังไม่พร้อมกิน และยิ่งไปกว่านั้นคนที่อยู่ตรงหน้ายังปรุงยากหรือยังไม่สุกเลย?

“ท่านแม่อุทิศชีวิตเกือบครึ่งหนึ่งให้กับมี่เอ๋อร์ แม้มี่เอ๋อร์จะเทียบกับท่านแม่ไม่ได้ แต่ก็จะไม่ปล่อยให้คำสอนของท่านแม่เสียเปล่า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงเศร้าเสียใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้จมอยู่กับความเศร้าโศก นางไม่ใช่คนที่ปล่อยอารมณ์ได้ทุกที่ทุกเวลา แต่เป็นคนที่แสดงอารมณ์ได้ดีและชักจูงให้ผู้อื่นคาดเดาได้

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่สงสัยในคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ หากพ่อเป็นดั่งพยัคฆ์ลูกก็ไม่อาจเป็นดั่งสุนัข ย่อมเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แม่ที่ร้ายกาจเช่นนี้จะไม่มีลูกสาวที่อ่อนแอและไร้ความสามารถได้ เพียงแต่นิสัยโดยธรรมชาติย่อมแตกต่างกัน สภาพแวดล้อมแตกต่างกัน บุคลิกก็แตกต่างกันด้วย…แต่ธาตุแท้ภายในย่อมแข็งแกร่งเหมือนกัน!

————————————————-

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset